Official Website Of Strisrinan School Student Class 4/1Group 1 เว็บไซด์ของพวกเราที่ทำได้มากกว่าคุณคิด

 

เรื่องของนัท
ช่วงนี้เรื่องรักมาแรง ผมก็มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเหมือนกัน
อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ตอนที่ผมกำลังหลับอย่างสบายอยู่นั้น
ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันวุ่นวาย อยู่หน้าห้อง เลยเป็นครั้งแรกในรอบ 2 อาทิตย์
ทีมีโอกาสได้เห็นนาฬิกาบอกเลข 08:00 ซักที
เอาตาไปแนบที่มองตรงประตูจึงรู้ว่า
ห้องว่างที่เยื้องห้องเรามีคนเข้ามาอยู่แล้วซิ
ห้องนั้นเราเคยพยายามเข้าไปขโมยอะไหล่พวก ฝักบัวมาเปลี่ยนกับห้องเรา
ตั้งใจว่าวันนี้จะไปเอาบานเกล็ดมา ว้า ไม่ทันซะแล้ว
ช่วงเที่ยง ตอนออกจากห้องก็เห็นประตูห้องนั้นเปิด
สงสัยเจ้าของห้องกำลังจัดของอยู่
อ๊ะ เป็นอาม่าด้วย เราจะมีอาม่าเป็นเพื่อนแล้ว อ้าวอาม่ามีลูกเล็กด้วย
โอยอย่างงี้เด็กร้องโวยวาย เรานอนไม่หลับแน่เลย เฮ้ย มีหมาด้วย
มีครบเลยเครื่องมือโวยวาย ไปกันใหญ่แล้ว
แต่ก็ไม่ได้อยู่ดูต่อว่า อาม่ามีอะไรเป็นอุปกรณ์เสริมอีก เพราะต้องรีบไป
นัดเพื่อนไว้เดี๋ยวโดนเตะ
วันนั้นผมกลับมาดึกเพราะคืนวันเสาร์ ตามประสาคนโสด อยู่ห้องไม่เป็นหรอก
ตอนกำลังใขกุญแจเข้าห้อง
ก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากห้องนั้น อืมมม อาม่าาาา ฟังเพลงวัยรุ่นดีจัง
แล้วชีวิตผมก็ดำเนินต่อไปตามปกติ กลางคืนก็ทำงาน ตื่นตอนเที่ยง
ตอนบ่ายก็ออกไปกินข้าว
ผมทำงานเป็น Freelance นะครับ เวลาเลยไม่ตรงกับชาวบ้านเขา บางทีก็กลางวันนอน
กลางคืนทำงาน
เพราะมันสงบดี
ประมาณ 2 อาทิตย์ถัดจากนั้น ช่วงเช้าอีกแล้ว
ผมกำลังนอนอยู่เลยก็มีคนมาเคาะประตู พี่ Security นี่เอง
ผมจึงเปิดประตูออกไป
"สวัสดีครับขออนุญาติรบกวนครับ"
"ครับไม่เป็นไรครับ ผมตื่นเช้าอยู่แล้ว ฮะ ฮะ ฮะ มีอะไรครับ" หัวเราะแห้งๆ
"คือเมื่อคืนมีขโมยเข้ามาขโมยของ ไม่ทราบห้องคุณมีอะไรหายไหมครับ"
"อ้าวขโมยมาได้ไง พี่ไม่อยู่เหรอ" ผมตอบแบบเบลอ ๆ
"อยู่ครับ แต่ผมหลับ"
อ้าวไปนั่น พี่ยาม เอ้ยต้องเรียก Security ซิ หลับในเวลางาน
ขโมยเข้ามาขโมยของอีก
อย่างงี้เค้าเรียก หลับยาม เอ๊ะ หรือ หลับ Security ละ งง
"ห้องผมเหรอ ไม่มีอะไรหายหรอก เมื่อคืนผมทำงานอยู่ทั้งคืน"
"แล้วคุณเห็นอะไรที่ผิดปกติบ้างไหมครับ เมื่อคืนจนถึงวันนี้"
กำลังจะบอกว่าพี่นั่นละ มาปลุกผม ผิดปกติที่สุดแล้ว แต่กลัวโดนเตะ
เลยไม่ได้บอกไป
แล้วพี่ Security แกก็ไปเคาะห้องต่อไป แกคงเคาะมาหลายห้องแล้วละท่าทาง
คราวนี้เป็นห้องอาม่า เออ ดีๆๆ เดี๋ยวพี่ Security เห็นอาม่าเลี้ยงหมา
กฏเค้าห้ามเลี้ยง
อาม่าโดนแน่ บาปจังเราแกล้งคนแก่
ด้วยความที่อยากจะเห็นอาม่าโดนจับได้ว่าเลี้ยงหมาผมเลยแกล้ง
ทำโน่นทำนี่ โดยไม่ปิดประตู แล้วพี่ Security แกก็ดำเนินการตามบทที่แกท่องมา
ก๊อก ๆ ๆ
"สวัสดีครับขออนุญาติรบกวนครับ"
".................."
"สวัสดีครับขออนุญาติรบกวนครับ" ย้ำอีกรอบ
"ซักครู่ค่ะ" ตอนนั่นผมกำลังง่วนกับการแกล้งเก็บโน่นเก็บนี่แต่นึกในใจ
อาม่าเสียงหวานจัง
"มีอะไรเหรอค่ะ" ประตูห้องอาม่าเปิดออกมาพร้อมเสียง
"คือเมื่อคืนมีขโมยเข้ามาขโมยของ ไม่ทราบห้องคุณมีอะไรหายไหมครับ"
"ไม่มีนี่คะ คุณขึ้นมาก็ดีแล้ว ช่วยบอกช่างให้มาเปลี่ยนฝักบัวเร็วหน่อยนะคะ
แจ้งไปหลายวันแล้ว รบกวนด้วยนะคะ"
อึ๊ก นี่พูดกระแทกเราป่าวเนี่ย อาม่าเสียงเพราะแฮะ
แล้วผมก็เลยออกไปดูเจ้าของเสียง อ้าวไม่ใช่อาม่านี่ ไม่ใช่หมาด้วย
ผู้หญิงผมยาว ตัดผมไสลด์ หน้าม้านิดๆ ผิวขาว สูงพอดีๆ โหยยยย เราหลงผิดตั้งนาน
อาม่านั่นอาจจะเป็นญาติเธอก็
ได้ เธอมองมาทางผมผมก็มองมาทางเธอในใจนึกขอบคุณขโมยคนนั้นมาก
ที่ทำให้ผมได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้ตั้งแต่เช้า
พรุ่งนี้มาอีกก็ได้นะ แต่ไปขโมยห้องอื่นละกัน เรามองกันซักแว้บนึง
แต่ใจผมคิดว่ามันนานมากเลย แล้วก็มีเสียงพูดขัดขึ้นมา
"แล้วคุณเห็นอะไรที่ผิดปกติบ้างไหมครับ เมื่อคืนจนถึงวันนี้" พี่ Security
ท่องบทของแกต่อ
"ไม่มีนี่คะ อืม ไม่มีนะ" เธอหลบตาจากผมแล้วก็ไปคุยกับพี่ Security
ต่อแล้วพี่แกก็จากไป
ก่อนที่จะปิดประตูผมแอบมองหน้าเธออีกครั้ง
คือเวลาคนเรามันรุ้สึกดีกับอะไรบางอย่าง โลกมันก็ดูดีไปหมด
อาม่าของผม คงอายุไม่เกิน 22 แน่เลย จากที่ไม่เคยสนใจว่าจะมีใครอยู่รอบตัว
แต่ตอนนั้นคำถามมากมาย เกิดขึ้น
เธอเป็นใคร ชื่ออะไร เฮ้อออออออ
นี่หากพี่ Security ถามผมอีกทีตอนนั้น ผมจะบอกพี่แกไปว่า
"ผมมีของหายแล้วครับ เพิ่งหายเมื่อกี้นี่เอง หัวใจครับพี่ หัวใจ"
แล้วให้พี่แกจับอาม่าของผมไปซะให้เข็ด โทษฐานขโมย
หัวใจ =)
หลังจากวันนั้นผมก็พยายามออกนอกห้องเหลือเกิน เมื่อก่อนละเก็บตัว
เดี๋ยวนี้ขยันออกไปทิ้งขยะมาก เผื่อเจอหน้าเธอก็ยังดี
ห้องผมเลยไม่มีขยะ เลยซักชิ้น ความรักทำให้ห้องสะอาดได้ด้วยแฮะ
ผมมาเจอเธออีกทีหลังจากนั้นอีก 2 วัน ผมกลับมาจาก
ไปพบลูกค้า กำลังจะเข้าห้อง ตกใจแทบแย่ไม่คิดว่าจะเจอกัน เธอนั่นเอง
กำลังจะออกไปข้างนอก อ้าวเธอยังเรียนอยู่เลย
คงเรียนมหาลัยไกล้ๆ นี่แน่เลย โหยรู้งี้ หากมาช้ากว่านี้ 1 นาที
ตรงหัวมุมได้เดินชนกันแบบในหนังแน่ รู้ตัวอีกทีเธอเดินไป
ลงลิพท์ซะแล้ว เพ้อนานไปหน่อย
โอยทำไงละ แย่แล้วแล้ว ชื่อเค้ายังไม่รู้ แล้วเค้ายังเรียนอยู่เลย
เรามันก็ทำงานแล้วด้วยซิ เธอน่าจะอยู่ซักปี 4 ผมเรียนจบมาแล้ว 2
ปี แสดงว่าเธออ่อนกว่าผม 3 ปีอย่างมาก ทำยังไงจึงจะได้ทีโอกาสรู้จักกับเธอละ
หากเข้าไปคุยเลยจะหาว่าหัวงูหรือป่าวอะ ไม่มั้ง
หรือเป็นแบบพี่ชายดี แบบเข้าไปติว ไม่ได้อีก เธอคงไม่เรียนคณะเดียวกะเราหรอก
คณะเราไม่เคยมีหญิงงามแบบนี้ ดูจากสถิตินะครับ
คืนนั้นผมนอนคิดแผนตลอดเลย ว่าจะคุยกับเธอได้ไง ตอนนี้อยากเอาฝักบัวไปคืนจัง
แถมคนอาบให้ด้วยเลยเอ้า
หลังจากวันนั้นผมก็เจอเธอเรื่อยมา เดินสวนกันบ้าง ขึ้นลิฟท์พร้อมกันบ้าง
แต่ผมก็ยังหาโอกาสเหมาะๆ คุยกับเธอไม่ได้
ผมไม่กล้าด้วยละ มันนานเกินไปที่จะแล้วที่จะถามว่า "มาอยู่ใหม่เหรอครับ" เฮ้อ
ตกเย็นวันหนึ่ง วันนี้เป็นวันที่ผมขี้เกียจเลยไม่ทำงาน นั่งเล่นเกมส์ทั้งวัน
ตอนเย็นเบื่อๆ เลยลงไปเล่นกะน้องหมา ใต้ตึกน้องหมาเหล่านี้
เป็นหมาจรจัดที่มาเกิดลูกไว้นะครับ พวกนี้พักดีกับผมทุกตัว
เพราะผมจะเอาข้าวที่เหลือมาให้กินประจำ ผมไม่ได้เกลียดหมาหรอกนะ
อ่านแล้วจะหาว่าผมเกลียดหมาในห้องอาม่า
ระหว่างที่เล่นกับน้องหมาอยู่ก้มีรถเข้ามา ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร มองดีๆ อีกที
เธอนั่นเอง
กลับมาจากเรียน แล้วเธอก็เอารถเข้าไปจอดที่จอดรถ แต่เธอไม่ยอมลงจากรถ
นั่งฟุบหน้ากะพวงมาลัยอยู่ อ้าวเกิดอะไรขึ้นละ
ผมยืนมองด้วยความเป็นห่วง เธอเป้นอะไรหรือป่าว ทำไมนิ่งไปแบบนั้น
น้องหมาก็คงสงสัยว่าผมเป็นไรไปหรือป่าว ทำไมยืนมอง
นิ่งแบบนั้น คนมองคน หมามองคน มองด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเหมือนกัน
ผมไม่รู้ว่าเธอนั่งอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน เพราะผมขึ้นมาก่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยคือ เธอต้องมีปัญหาอะไร
แน่ หรือว่าทะเลาะกับแฟนมา หน้าตาแบบนี้เหงาหรือโสดได้ไม่นานหรอก
คงมีแฟนแล้วแน่เลย
ผมคิดไปต่างๆนาๆ
ผมกับเธอห่างกันแค่ผนังกั้น แต่เหมือนกับไกลกันคนละโลก
เรื่องผมมีแค่นี้เอง สั้นไปหน่อย นี่หากผมได้รู้จักกับเธอ
คงมีโอกาสได้มาเล่าต่อ
ทำไงดีละ

เนื่องจากผมพิมพ์เรื่องนั้นมานาน 1 อาทิตย์แล้ว
แต่เพิ่งได้ post หลังจากนั้นก็มีเหตุการ์เพิ่มเติมเล็กน้อย
เลยมาเล่าต่อ
=======================================================
ถัดจากวันนั้นอีกวัน ผมเลยคิดว่ายังไงก็ต้องให้รู้จักกับเธอให้ได้ ก็เลยคิดว่า
หากลงไปถามป้าที่ดูแลตึกอาจจะรู้อะไรก็ได้ นิดหน่อยๆ ก็เอาละ
ผมเลยแกล้ง (อีกแล้ว) ลงไปนั่งที่ชั้นล่างอ่านหนังสือพิมพ์ ซื้อหนมป้ามากิน
ป้าแกขายหนมด้วยนะ
"ป้าๆ ตอนนี้มีห้องว่างไหมครับ เพื่อนผมจะมาอยู่" เอ้อ
เริ่มเรื่องได้ดีแฮะเรานี่ ไม่ได้คิดมาก่อนเลยนะ
"ไม่มีหรอกหนู ห้องตรงข้ามหนูละ ห้องสุดท้ายแล้ว" เข้าล็อค ป้ารู้ใจจัง
"อ้าวห้องตรงข้ามนั่นมีคนมาอยู่แล้วเหรอ ผมจะถามห้องนั้นละป้า"
เริ่มเข้าเรื่องแล้ว
"ไม่มาบอกป้าก่อน แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอหนูนะ" อ้าว
ป้าอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องดิ
"วันนี้ไม่ได้ออกไป ทำที่ห้องนะป้า แล้วห้องนั้นเค้าซื้อหรือเช่าละป้า"
ผมพาป้ากลับเข้าเรื่อง
"เออ หนูไอ้หมาพวกเนี้ย ใครให้มันข้าวกินเหรอ ทำไมมันอยู่ดีกันทุกตัวเลย"
ไม่เอาเรื่องหมา เข้าเรื่องเหอะ พลีสๆๆ
"อ้อ ห้องนั้นเหรอ เค้ามาเช่านะ เห้นบอกจะซื้อต่อ เออ
ยังไม่เปลี่ยนฝักบัวให้เลย ช่างก็ไม่ยอมมา" เรื่องฝักบัวอีกแล้ว
"เห็นเมื่อเช้าเดินถือกระเป๋าออกไป"
แล้วป้าแกก็เปลี่ยนเรื่องไป ผมเลยได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกนิดหน่อย มาเช่า
กับออกไปเมื่อเช้า
แล้วมันจะช่วยอะไรผมได้ไหมเนี่ย อ้าๆๆ ยังมีอีกคน พี่ Security
อันนี้ผู้ชายอาจเปิดใจได้มากหน่อย หึหึหึ
ผมเลยตรงไปนะป้อมยาม เอ ไปเฉยๆ ไม่ดีแน่เลย แอบไปซื้อบุหรี่ กะมาติดสินบน
(หนูๆ
อย่าเอาอย่างนะ สูบ
บุหรี่ไม่ดีเน้อ) จริงๆ ผมไม่ได้สูบบ่อยหรอก กินเหล้าทีสูบที
แต่วันนี้เลยแกล้งเดินไปไกล้ๆ แล้วจุดบุหรี่ พี่แกหันมายิ้ม
เลยยื่นให้แกไป เข้าล็อคอีกราย
"ไม่ทำงานเหรอครับคุณ วันนี้" นี่หน้าเรามันขยันมากเลยเหรอ
เจอหน้าต้องถามเรื่องงาน
"ไม่ละพี่ เออพี่ตกลงจับขโมยได้ปะ" ถามโง่ๆ งั้นละ จับได้ก็บ้าแล้ว
"ไม่ได้หรอกคุณ โจรสมัยนี้"
"เอ้อพี่ ห้องที่อยุ่เยื้องๆ ห้องผมนะเค้ามาอยู่ใหม่เหรอ"
เข้าเรื่องอย่างไม่ปี่มีขลุ่ย
"อ๋อห้องนั้นเหรอ ใช่ๆ เพิ่งมาอยู่ ลูกสาวเค้ายังเรียนอยู่เลย
ว่าแต่ถามทำไมเหรอคุณ" พี่แกหันมายิ้มมีเลสนัย
"ก็ป่าวนี่ถามดูเฉยๆ " พูดไปไม่สบตา เดี๋ยวจับได้ว่าโกหก
"เมื่อวานผมเห็นด้วยละ เห็นคุณ ... " พี่แกเรียกชื่อห้องแทน อาม่า ของผม
แกคงไม่รู้ชื่อ
"เห็นนั่งร้องในรถนะ ผมจะเข้าไปถามก็ลังเล ไม่รู้เป็นอะไร"
สรุปแล้วว่าร้องจริงด้วย
"นานไหมพี่"
"ซัก 30 นาทีได้มั้ง แล้วเค้าก็ขับรถออกไปอีกที เมื่อเช้าก็ออกไปแล้วนี่
หิ้วกระเป๋าใบโตออกไป ฝากให้ผมดูห้องให้ด้วย
บอกจะไป ตจว 2-3 วันนะ"
ไปต่างจังหวัด ร้องให้ในรถ โอย อกหักชัวร์ แบบนี้ไปทะเลชัวร์เลย
คนอกหักต้องไปทะเล ว่าแต่เธอไปทะเลที่ไหนเหรอ
ใกล้ๆ ขับรถไปไม่น่าจะเกิน ชะอำ หัวหิน ระยอง หรือ เสม็ด
หากตามไปแล้วเจอกันที่ทะเลนะ โอกาสคุยกันมีแน่
"เอ๊ะ คุณเราอยู่ห้องเยื้องๆ กันนี่" อูยแค่คิดประโยคเริ่มก็สุดแสนจะเนียนแล้ว
แล้วเราก็รู้จักที่ทะเล เพ้อไปใหญ่แล้ว
คงจะหาเจอหรอกนะ แล้วเธอไปจริงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย อาจจะกลับบ้านก็ได้
เฮ้อออออ
ผมกลับขึ้นมาด้วยใจที่ห่อเหี่ยว เห็นห้องเธอล็อคยิ่งแล้วใหญ่
ถึงแม้จะไม่ได้คุยกัน แต่อย่างน้อยรู้ว่าอยู่ก็ยังดี เพราะเราห่างกันแค่
ไม่เกิน 3 เมตรใครนะทำให้เธอร้องไห้ ใจร้ายจริงๆ
หากเป็นผมละก็รับรองไม่มีวันหรอก
คืนนั้นผมรุ้สึกเหงาเป็นพิเศษนั่งทำงานไปแบบเหม่อๆ ใจนึงก็คิดถึงแต่หน้าเธอ
อีกใจก็เป็นห่วงเธอ อีกใจก็อยากรู้จักเธอ
นี่ผมหลายใจเหมือนกันนะเนี่ย ผมผ่านคืนนั้นมาอย่างเบลอๆ จริงๆ
ก่อนอื่นต้องขออภัยก่อน ตอนแรกกะว่าจะพิมพ์ให้อ่าน
เรื่อยๆ แบบว่าชวนติดตามแต่จริงๆ เรื่องนี้เกิดมา 1 ปีแล้วละครับ
ผมเอามาจากไดอารี่ของผมเอง เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของผมนะ
กะว่าจะพิมพ์ไปเรื่อยๆ แต่ผมขี้เกียจจะมานั่งแปลงเวลา
แล้วละ เอาเป็นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดตรงกับวันนี้ของปีที่แล้วละกัน =)
=====================================
เช้าวันที่ 4 ที่เธอหายไป ฝนตกหนักมาก ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลย
กิจวัตรประจำวันของผมในช่วง 2-3 วันนี้คือ เปิดประตูออกไปดูว่าห้อง
ของเธอยังล๊อคกุญแจอยู่หรือเปล่า วันนี้ก็ยังล็อคอยู่ ไม่ได้รู้ตัวเลย
ว่ามีใครที่เธอไม่รู้จักเค้ากำลังคิดถึงเธออยู่นะ ไม่ไกลเลยเยื้องๆ กันนี่ละ
เวลาที่เรารอคอยอะไรบางอย่างเนี่ย เหมือนเวลามันนานขึ้นจริงๆ เลย
เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านวันนี้เลยออกไปทำงานดีกว่า กว่าจะกลับมาก็ค่ำๆ แล้ว
แล้วสิ่งที่ผมรออยู่ก็มาซักที เธอกลับมาแล้วห้องเธอไม่ได้ล็อคกุญแจ
เย้วว ดีใจจัง
คืนนั้นผมตั้งใจไว้แล้วว่า เป้นไงเป้นกันไม่มีอะไรจะเสีย ยังไงต้องหาเรื่อง
คุยกับเธอให้ได้
รุ่งขึ้นผมกำลังดักรอเหยื่อเหมือนหมาป่าจ้องจับลูกแกะ
รอจังหวะที่เธอออกจากห้อง
ผมจะออกด้วย แล้วตอนอยู่ในลิฟท์นี่ละ ผมจะเริ่มเลย หึหึหึ ไม่ใช่ลวนลามนะ คุย
เฉยๆ ผมตื่นเช้ามาก แต่งตัวรอ แสตนบายไว้ แต่กว่าจะเริ่มแผนได้ก็เกือบ ชม
จากที่ผมสังเกตทุกวันนี้เธอจะมีเรียนนะครับ เลยแน่ใจว่าเธอต้องออกมาแน่
แล้วพอมีเสียง
ก๊อกแก๊ก ใช่แล้วเธอออกมาแล้ว ผมทิ้งระยะแป๊บนึงก็ออกตามมา
แล้วเราก็ยืนรอลิฟท์พร้อมกัน เป็นการรอที่วิเศษจริงๆ ยืนไกล้ๆกัน คนอะไรหอมจัง
ผมนึกในใจ ทำไมไม่คุยวะ คุยสิๆๆๆ แต่ตอนนั้นเหงื่อมันแตกพลักเต็มฝ่ามือแล้ว
เหมือนเด็ก 15 เริ่มจีบผู้หญิงเลย ลิฟท์ก็ลงมาเรื่อยๆๆ จะมาถึงชั้นที่ผมรอแล้ว
แล้วก็ไม่ได้คุย ลิฟท์มาซะก่อน ยังมีโอกาสในลิฟท์ไง
ในลิฟท์เพราะมีเพียงผมและเธอเท่านั้น
ตอนที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดนั่นเอง
"รอป้าด้วยหนู" ป้าเมด มาทำไมเนี่ย ไอ้ครั้นเราจะรีบปิดลิฟท์ก็น่าเกลียด
ป้าแกไม่ได้มาตัวเปล่านะ
แกหิ้วถังน้ำมากับอุปกรณ์ทำความสะอาดสารพัดมาด้วย ตอนแกจะเข้าลิฟท์ทุลักทุเล
พอสมควร
ผมเลยช่วยแกยกถังน้ำเข้ามา
"เหนื่อยเหลือเกินวันนี้ ไปทำงานกันเหรอเด็กๆ "
"ครับ"
เธอยิ้มไม่ได้ตอบอะไรเพราะเธอยังไม่ทำงานนี่เองเลยไม่มีสิทธิ์ตอบคำถามนี้
แล้วบรรยากาศที่สดใสของผมก็มาคุเลย เตรียมตัวแต่เช้าเจอสกัดดาวรุ่งเข้าไป
ตอนลิฟท์
ถึงชั้น G ป้าแกก็เริ่มขนของๆ แกออกผมก็ช่วยยกถังน้ำ ระหว่างที่กำลังยกนั่นเอง
ประตูลิฟท์ก็หนีบ
ผม โอวแม่เจ้า ผมโดนลิฟท์ต่อหน้าสุดที่รักของผม
ไอ้เจ็บนะไม่เท่าไหร่หรอกแต่อายนี่ซิ หนีบหัว
ด้วยคุณ ผมจะยื่นหัวไปทำไมเนี่ย
เธอคงตกใจเลยรีบกดปุ่มเปิดประตูให้พร้อมกับประโยคที่ว่า
"เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" ผมกำลังจะตอบ ป้าแกก็ถามบ้าง
"เป็นอะไรไหมหนู"
"ไม่เป็นอะไรครับป้า " คำตอบผมเลยกลายเป็นของป้าเค้าไป
เธอเลยช่วยอีกแรงยกของให้ป้า น้ำใจงามจังคนอะไร
แล้วเราก็แยกจากกัน ดีใจลึกๆ อย่างน้อยเธอาก็คุยกับเราแล้ว
วันนั้นหากคุณไปอยุ่ที่คอนโดผม แล้วเห็นผู้ชายคนนึง พยายามถูกลิฟท์หนีบ
ไม่ต้องสงสัยว่า
ใคร เค้าคือผมเอง
ตอนนี้อะไรๆ กำลังไปได้สวย หากเจอเธออีกครั้งเราก็มีสิทธิ์ยิ้มให้ได้แล้วซิ
เธอเห็นหน้าผมคงจำได้
"อ๋อ ไอ้ลิฟท์หนีบนี่เอง" เธออาจคิดในใจแบบนี้ แล้ววันของผมก็มาถึง ในอีก 2
วันถัดมา
คงเป็นจังหวะที่ดีเฮือกสุดท้าย ของคนเบญจเพศอย่างผม
เพราะผมเจอเธอแทบทุกครั้ง ที่ออกจากห้อง แต่ไม่ได้เจอะแบบจังๆ
เหมือนเมื่อ 2 วันก่อน
วันนี้ก็เช่นกันตอนผมกลับจากทำงาน นั่นเอง กำลังเอารถเข้าจอดเธอก็
มาด้วยเช่นกัน ผมเห็นเธอ พระเจ้าให้โอกาสผมอีกครั้งแล้ว
วันนี้ละ พี่ลิฟท์จะไม่ยอมปล่อยอาม่าไปไหนหรอก
วันนี้อารมณ์ปอดแหกของผมหายไปหมดแล้ว ไม่รู้ทำไมทำตัวได้ธรรมชาติ
มากอาจเป็นเพราะเธอเริ่มจำหน้าผมได้แล้วมั่ง
ตอนลงจากที่ลานจอดรถ ยังไงก็ต้องเดินลงตรงบันใดเดียวกันเพื่อมาที่ชั้น G
ผมเลยได้โอกาส หันไปยิ้มให้เธอ แต่เธอทำหน้างงๆ ไม่มีอาการอะไรกลับมา
ซวยละสิ หรือเธอหยิ่ง แต่สักพัก เธอก็เดินเข้ามาไกล้ๆ ผม
ผมเหมือนประกวดนางงามเลยครับ ผมยิ้มค้างไว้ เพราะไม่รุ้เธอจะเอายังไง
ในใจก็นึก "จะเอาไงกับ ku ว้า ๆ"
"อ๋อ พี่นั่นเอง มองไม่ชัด" เธอพูดกับผมแล้ว สุดยอดเลยครับ
บรรยายความรู้สึกไม่ถูก
"อ้า พี่เอง" ผมยังยิ้มค้างบวกงง ๆ
"คือวันนี้ไม่ได้ใส่คอนแทคนะค่ะ แว่นอยู่ในกระเป๋า" อ้อ มองเราไม่เห็นนี่เอง
"นี่เรียนที่ ... เหรอ"
"ใช่คะ"
"จริงสิ ผมก็จบจากที่นี่เหมือนกัน"
"พี่รหัสเท่าไหร่คะ แล้วเรียนคณะอะไร"
"ผมรหัส xxx จบคณะ xxx" ตัวย่อนะครับ ไม่ใช่ x อย่างว่า
"เหรอคะ เอ๊ะแบบนี้ตอนปี 1 พี่ก็ปี 4 นะสิ" จริงด้วยเราเดาไว้ถูกเผง
"แล้วน้องเรียนคณะอะไรเหรอ"
"คณะ rrr นะคะ" r ตัวย่อนะ ไม่ใช่ r อย่างว่า
แล้วเราก็เดินไปคุยไปสัพเพเหระ จนจะแยกจากกัน
เหมือนผมส่งเธอถึงหน้าห้องเลย แต่ป่าวหรอก ห้องเยื้องกันนิ
แล้วสิ่งที่ผมลืมสนทเลยก็คือ ผมไม่ได้แนะนำตัว และไม่ได้ถามชื่อเธอ
ซวยแน่ไม่อยากโดนเรียกพี่ลิฟท์ตลอดชาติ ก่อนที่เธอกำลังจะปิดประตู
ผมเลยรีบออกมาเพื่อถามชือ่เธอ
"โทษที พี่ชื่อพี่นัทนะ จะให้เรียกน้องว่า"
"นัท" เธอทวนซ้ำ
"ครับ พี่ชื่อนัท" ผมทวนบ้างไม่ยอมหรอก
"นัทค่ะ" ท่าทางเธอก็ไม่ยอม แต่ก่อนที่ผมจะบ้าไปกว่านี้
"ชื่อเหมือนกันคะ" เธอยิ้มแล้วปิดประตูไป
ชื่อเหมือนกัน เป็นเรื่องมหัศจรรย์อีกเรื่องของผมเลยละ คนที่ชอบชื่อเดียวกัน
คืนนั้นเป็นคืนที่หลับสนิทที่สุดในรอบ อาทิตย์ที่ผ่านมา
ก้วันนี้ของปีที่แล้ว แต่ถอยไปอีก 2 เดือน
ตอนนี้กระทู้จะตกแล้วอะ ทำไงให้มันขึ้นไปข้างบนๆ ได้บ้างละครับ
================================================
วันนี้ผมตื่นมาด้วยอารมณ์สดใสอย่าบอกใคร ตื่นเช้ายังไม่ได้ลุกจากเตียง
นอนเขิลไปเขิลมาคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว เฮ้อ ยิ้มไม่หุบจริงๆ อ๊ะ ใช่ๆ
ลืมไปเช้ามาต้องเช็คก่อนว่าไปไหนหรือเปล่า ห้องไม่ได้ล็อคนี่นา ไม่ไปไหน
จริงๆ ด้วยละ ตอนนี้ผมเหมือนพวกโรคจิต ประเภทถ้ำมองไปแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ
ตอนนี้แผนแรกของผมก็สำเร็จไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็สร้างความสนิทสนมกับเธอ
แต่ไอ้ครั้นจะรุกมากๆ ก็ไม่งามต้องทนเฉยๆ ไปก่อนซักระยะถึงแม้ในใจจะบ้าตาย
ก็กะว่าหากเจออีกทีอาจจะลองพูดๆ เล่นชวนไปกินข้าวมื้อเย็นอะไรแบบนี้
แต่วันนั้นทั้งวันผมก็ไม่ได้เจอเธอ จนตกเย็นประมาณ 3 ทุ่ม
เนื่องจากมีข้าวเหลือนิดหน่อย
ผมเลยเอาลงไปให้น้องหมาที่ข้างล่าง น้องหมาก็ระริกระรี้ตามเคย เพราะได้กิน
ข้าวแล้วนี่ ตอนนี้มีทั้งหมด 8 ตัวแล้ว แม่ 2 ลูก 6 ไม่ต้องไปซื้อสวยๆ
มาเลี้ยง
หมาไทยแท้ๆ แบบนี้ละ ผมว่าน่ารักดี
เนือ่งจากผมต้องเฝ้าน้องหมากินข้าวหากไม่เฝ้า
จะมีพี่หมาใจใหญ่มาแย่งไปกินทุกที ไม่เฝ้าเปล่านะ มีพูดกับน้องหมาด้วย
ผมพูดกับมันได้นะ
แต่มันเข้าใจหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้
ระหว่างที่กำลังดูน้องหมากินข้าวอยู่นั่นก็มีเสียงดังจากข้างหลัง
"แค่นั้นจะอิ่มเหรอค่ะ" เสียงนี้ๆ ัชวร์เลยผมหันไปยิ้ม
วันนี้เธออยู่ในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อสีขาว
น่ารักมากเลย
"อ้าน้องนัท นั่นเอง" เธอไม่ได้มาตัวเปล่านะ ถือกะละมังใส่ข้าวอันใหญ่มาด้วย
แล้วดูกับข้าว
ของเธอสิ น่ากินมากเลย อย่าหาว่าผมแย่งหมาเลยนะ มันมีไส้กรอกด้วยละ
เป็นข้าวหมาไฮโซ
จริงๆ หลังจากที่ผมดูอยู่นานก่อนที่จะเริ่มหิว เธอก็เอาไปให้น้องหมา
น้องหมาผมจากที่กินของผมอยู่นั้น ด้วยความภักดี
มันย้ายไปกินข้างหมาไฮโซของเธอหมดเลย
ข้าวของผมกลายเป็นข้าวหมาหัวเน่าไปเลย ชิๆๆๆ ใช่ซิ ชั้นมันเก่าแล้วนิ
"พี่นัทเอามาให้มันบ่อยนะ นัทเห็น" เธอเห็น เธอเห็นผม แสดงว่าตลอด 2
เดือนเธอเห็นผม
"ก็อยู่ตัวคนเดียว ซื้อไรมาทีก็เหลือบ่อยละ" ออกตัวว่า อยู่ตัวคนเดียวด้วย
"ที่บ้านนัทเลี้ยงมากกว่านี้อีก อย่าแย่งกันลูก" อ้าว
น้องหมาผมเป็นลูกเธอไปแล้ว งั้นเราก็เป้นพ่อสิ
"บ้านพี่ก้เลี้ยง แต่หลังเทรนแมวมาแรง แม่บอกแบบนั้นเลย มีแมวมากกว่าหมา"
"แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอคะ เนี่ย"
ผมเลยถือโอกาสบอกเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับงานซะยาวเลย
"แบบนี้พี่นัทก็ว่างเยอะนะซิ"
"ใช่แล้วละ บางอาทิตย์ก็ไม่ได้ไปไหนเลย ว่างจัด เบื่อๆ เหมือนกัน"
"ดีจัง อยากเรียนจบแล้วอิสระ แบบนี้บ้างจัง" ผมยิ้มไม่ได้พูดอะไรตอบไป
เรานั่งคุยกันอยู่อีกนานมาก คงราวๆ 30 นาทีได้
วันนี้ทำให้ผมได้รู้อะไรเกี่ยวกับเธอมากขึ้น
รวมถึงการได้ตั้งชื่อหมาด้วยกัน สุขอย่าบอกใครละคุณเอ้ย เนื่องจากหมามี 8 ตัว
ตอนแรก
เธอพยายามเอาชื่อนักบอลลิเวอร์พูลใส่ไป แต่ไม่ครบแบบนี้อาจไม่ได้แข่ง
ผมเลยตั้งชื่อชั่วคราว
ไปก่อน รอให้แม่เกิดอีก 3 แล้วค่อยตั้งกันใหม่ ตอนนี้เลยเรียก น้องหมาเบอร์ 1
ถึง 8 ไปก่อน
ผมแอบมองเธอ ตอนเธอเล่นกับน้องหมา อยู่หลายครั้ง เธอไม่ได้รวบผม
ผมยาวของเธอตกลงมา
เป้นภาพที่สวยงามจริงๆ
ตอนนี้เธอก็ดูมีความสุขดีแล้วเหตุการณ์ที่เธอร้องไห้ในวันนั้นละ
ผมยังไม่ลืม แต่ผมคิดว่ายังไม่สมควรที่จะถาม
เพราะระยะห่างของผมกับเธอยังมากกว่า 1 เมตรอยู่ดี
หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของผมก็เหมือนเดิม คือหากเจอกันก็ได้
คุยกัน ไม่เจอก็คือไม่เจอ ผมพอใจในความสัมพันธ์แบบนี้อยู่ 2 อาทิตย์
แต่ปล่อยไว้อาจเริ่มไม่ดีแล้ว เพราะมีเด็กนักศึกษามาตามจีบเธอ
ไอ้เราก็ไม่ชอบใจซักเท่าไหร่ หรอก ทำงี้มันหยามรุ่นพี่เกินไป
แบบนี้ต้องงัดข้อกันหน่อย มีอยู่วันนึงตอนผมลงมาซื้อของ
"พี่ๆ พี่รู้จักห้อง ... ป่ะ เค้าชื่อไรเหรอ" มันกระตุกหนวดเสือ มันถามผม
"ห้องนั้นเหรอ ไม่รู้ซิ ถามเค้าเองไม่ดีกว่าเหรอ" เรื่องไรจะบอกเด็กเวร ชิ
"ผมเคยถามแล้วแต่เค้าไม่บอกพี่ผมเห็นพี่คุยกับเค้านี่"
ข้อมูลมันใช้ได้แต่น้องนัทคนดี
อย่าไปบอกมันนะ
"พี่ช่วยผมหน่อยนะ เอานี่พี่ผมซื้อหนมมาฝาก" อ๊ะ
มีหนมอย่างงี้ค่อยว่าง่ายหน่อย
เอ้ยไม่ได้ๆ อย่าเห็นแก่กิน
"2 กล่องผมให้พี่กล่อง พี่ช่วยเอาไปให้เค้ากล่องนึงนะ"
"แล้วจะให้พี่บอกว่าใครให้ละ เดี๋ยวเค้างง"
"บอกว่าเอกนะครับ เอกที่อยู่คณะ #@$ ที่เจอกันเมื่อวานซืนนะ เธอคงจำได้"
"อย่าลืมนะพี่ ขอบคุณครับ"
คืนนั้นผมเลยได้กินขนมฟรี 2 กล่อง คิดเหรอว่าจะเอาไปให้ ผมไม่ใช่พระเอกนะ
บ้าบอที่สุด ชั้นนี่ละคู่แข่งแกเด็กเวร แต่รู้สึกผิดเล็กๆ
เหมือนกันไปกินของเค้า เออ
แล้วมันใส่นาสเน่ห์บ้างหรือเปล่าเนี่ย
เดี๋ยวเช้ามาเห็นแต่หน้าไอ้หมอนี่แทนน้องนัทละ
ซวยเลย
เหตุการณ์ของน้องเอกผู้แสนจะเวร ที่มาตามตื้อน้องนัทของผมนั้นก็ดำเนินต่อ
ไป ท่ามกลางความระแวงของผม น้องเอกแกหน้าตาดีในขั้นโคม่าเลยละ คงมีสาว
ในคอนโทรลเยอะ มีอยู่วันนึงตอนที่ผมกำลังจะออกไปทำงาน พอดีจ๊ะกะน้องนัท
ที่ชั้นล่าง เห็นเธอรีบๆ ผมก็สงสัย อ๋อ ไอ้เด็กเวร มันตามมาอีกแล้ว
หมอนี่ตื้อพยายาม
จะมาส่งน้องเค้าที่ห้องนะ เธอเห็นผมเลยเดินเข้ามาทัก
"พี่นัทไปไหน" เสียงหวานเหมือนเคย
"ไปทำงานนะจ๊ะ" หลังๆ ผมออกจ๊ะ จ๋าแล้วนะคุณ
แล้วน้องเอกตัวมารก็เข้ามา
"นัทรอเอกด้วย อ้อ พี่คนนี้นี่เอง" มันสืบจนได้ชื่อมาแล้ว
แล้งน้องเอกก็พูดอะไรไปไม่รู้นานมาก น้องนัทคนดีของผมก็ยืนฟัง ไม่พูดอะไร
ผมเลยเห็นว่าอย่าไปยุ่งกะเด็กเลย เพราะดุท่าทางเธอคงไม่ชอบหมอนี่เท่าไหร่
ผมเลยเดินออกมา แต่รักษาระยะที่แอบฟังได้ไว้ ลึกๆ ยังห่วงอยู่ ผมเดินมาถึงระยะ
ที่เธอไม่เห็นผม มุมๆ หน่อย
"เราบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่ามาตามเรา" เธอคงรำคาญแล้ว
"เราแค่อยากมาส่งเธอนะ" มันทำเสียงอ้อน
"เราบอกว่าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เข้าใจใหม" ผมไม่เคยเห็นเธอเยือกเย็น
มีรังสีอำมหิต
มากขนาดนี้มาก่อนเลย ตอนนี้น้องเอกเริ่มหน้าเศร้า หรือมันทำก็มิอาจรู้ได้
แล้วประโยคที่ออก
จากปากมันมา ทำให้เรื่องราวที่ผมสงสัยก็เริ่มเชื่อมโยงกัน
"เราพอจะรู้แล้วละ ว่านัทไม่เคยลืมพี่บอลเลยใช่ไหม"
เหมือนฟ้าผ่าเลยคุณประโยคนี้ ผมไม่น่ามาดักฟังเลย แล้วน้องเอกก็เดินจากไป
พร้อมทิ้งปรริศนาไว้ให้ผม เวรจนหยดสุดท้ายจริงหนูนี่ ตั้งแต่วันนั้น
ผมก็ไม่เห็นน้องเอกอีกเลย คงยอมไปแล้ว แต่ มันชื่อบอล มันชื่อบอล ฮึ่ม ๆ
คนนี้ละพระเอกของ
เธอ และศัตรูตัวฉกาจของผมตัวจริง
ผมไปทำงาน อีกวันที่เป็นวันไร้สมอง ประชุมไปก็นั่งเป็น สิ่งของ
ที่ไม่มีส่วนร่วมจริงๆ ใครเอาอะไรกลมทรงบอลมาไกล้เป้นอันเตะไปไกล
ช่วงนั้นเลยไม่ได้ดูบอลไปหลายคู่ ฮะ ฮะ ฮะ
ผมลืมบอกไปตลอดเวลาที่ผมเจอเธอ ผมมีเพื่อนที่คอยวางแผนและช่วยมาตลอด
ไม่รอช้าหลังประชุมเสร็จผมเลยโทรไปหามัน คุยกะมัน เพื่อนผมมันขาเชียร์อยู่แล้ว
เลยบอกว่า
"ไม่มีใครไม่มีอดีตหรอก ขนาดเอ็งเอง ยังมีแฟนมาแล้วเลย
ขึ้นอยู่กับวันนี้เท่านั้นว่า
เอ็งจะทำให้เค้าลืม ไอ้หมอนั่นได้หรือเปล่า"
ฟังเพื่อนพูดทำให้ผมฮึดขึ้นมาอีกครั้ง
เอาวะ ผมนี่ละจะมาลบอดีตเอง แล้วตัวโกงก็เริ่มแผนสามต่อไป
ก่อนกลับบ้านผมแวะร้านฮาร์ดแวร์ คุณคงเดาออก ผมไปซื้อฝักบัวครับ จะเอาไปให้เธอ
เพราะไอ้อันที่ผมแอบเปลี่ยนน้ำมันจะไม่ค่อยแรง เลือกสีที่ผมชอบด้วยละ
เมื่อซื้อของพร้อมก้ขับรถกลับมา เปลี่ยนชุดอะไรเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปห้องเธอเลย
เป็นครั้งแรกที่ผมเคาะประตูห้องเธอ รอซักพักเธอก็มาเปิด
"พี่นัทมีอะไรค่ะ"
"คือพี่ซื้อนี่มาให้นะ"
"พี่รู้ได้ไงว่าฝักบัวเสียละ"
"ก็เห็นวันนั้นนัทพูดกับยามนะ" ชั้นนี่ละคนเปลี่ยน
"ขอบคุณมากนะคะ ว่าแต่เท่าไหร่คะ"
"ไม่ต้องหรอกจ้า ขอกันกินมากกว่านี้"
"จริงๆ นัทก็ซื้อมาแล้วแต่ทำไม่เป็นนะ ช่างไม่ยอมมาทำให้"
"คือพี่ทำได้นะ" เธอนิ่งไปแป๊บ เหมือนลังเล ใครจะยอมให้ผู้ชายเข้าห้องละ
จริงๆ แผนผมในวันนี้คือ เข้าไปดูร่องรอยอดีตเธอนะ เช่นรูปถ่ายเธอกับแฟน
อาจมีตั้งไว้ที่เตียง เธอลังเลก่อนบอกว่า ให้ผมรอสักครู่ ซัก 5
นาทีเธอก็กลับมา
เปิดประตูบอก จัดห้องแล้ว เมื่อกี้ไม่เรียบร้อย เชิญค่ะ
สำเร็จ แต่ผู้ต้องสงสัยทำลายหลักฐานซะก่อนหรือเปล่า
ผมไม่รู้นะ แต่เท่าที่ดูๆ ไม่มีอะไรที่บอกว่าเจ้าของห้องมีแฟนเลย ก็ใจชื้น
ขึ้นระดับนึง ระหว่างที่ผมกำลังทำฝักบัวให้เธอนั้น เธอก็พยายามมาช่วย
แต่ซ่อมฝักบัวนะจ๊ะ
ไม่ใช่สร้างบ้าน ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ
"เสร็จละ"
"อ้าวพี่นัทเปียกเลย" จริงไม่เปียกหรอก ผมเอาน้ำมาฉีดตัวเองตะหากละ
ก้ผมมันตัวโกงนี่
"ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนได้จ้า" เธอยิ้ม แล้วเธอก็เอาน้ำ
หนมมาให้ผมกินเป็นการขอบคุณ
ผมอยู่ได้ไม่นานเพราะชักหนาว เสื้อเปียกนะ เจ้าเล่ห์ไปหน่อย อิอิ เลยขอตัวกลับ
เธอมาส่งผมที่ประตูห้อง ผมก็เดินไปที่ประตูผมก่อนที่ผมจะปิดประตู
"ขอบคุณมากนะคะ" ผมยิ้มอย่างมีความสุข
"เอ้อ พี่นัทเบอร์มือถือเบอร์ไรอะ" ตั้งแต่เจอกันผมไม่เคยขอเบอร์เธอเลย
และไม่เคยออกอาการ
ว่าจะจีบเธอ นี่อาจทำให้เธอไว้ใจผมก็ได้ ด้วยความอายและเรียบร้อยของผม
บ้ามาขอเบอร์กัน
"01-xxxxxxxx" ตอบแบบไม่คิด
"ขอบคุณค่ะ" แล้วเธอก็ปิดประตูไป
ผมยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกแป๊บก็กลับมาเปลี่ยนเสื้อ บรึ๋ยยย
หนาววววว
วันนั้นผมเข้านอนเร็วเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ในใจก็นึกให้เบอร์ไปแล้วก็โทรมาสิ
คนดีๆๆๆๆ
แต่ก็ยังเงียบ เอาไปทำสเน่ห์หรือไงฟะ
เหตุการณ์เมื่อวานทำให้จิตใจผมสงบลงได้เยอะ
เพราะมองจากเหตุผลแล้ว ตลอดเวลา 3 เดือนที่เรา
รู้จักกัน ผมไม่เคยเห็นเธอไปกับใคร หากไม่เข้าข้างตัวเอง
ผมนี่ละที่ไกล้ชิดเธอที่สุด ผมเลยลืมเรื่องของไอ้หมอนั่นไป
สนิท
แล้วก่อนเที่ยงข้อความที่ผมรอก็มาถึง
"ตื่นได้แล้ว จะนอนไปถึงไหน/ อาม่า" อ้าผมลืมบอกไป หากเราหยอก
ล้อกัน เราจะเรียกฉายากัน ผมเรียกเธออาม่า เธอเรียกผม พี่ลิฟท์ ซวยโคตรตู
"ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ก่อนหล่อนอีก แล้ววันนี้ไม่ไปไหนเหรอ/พี่ลิฟท์"
เนื่องจากวันนี้วันเสาร์
นะครับ เธอคงว่าง ปกติเธอจะกลับบ้านที่เยาวราช วันนี้ไม่กลับ สงสัยไม่ปกติ
"ยังไม่รู้เลย พี่ลิฟท์ละ" ยังไม่รู้ เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่าว่าง
"รอน้องนัทคนดีไปดูหนังด้วยกันไงจ๊ะ" ผมแหย่เล่นๆไป แต่เธอเงียบไปเลย
ไม่ยอมส่งกลับมา
ซวยแล้ว โกรธหรือเปล่า ไม่น่าไปส่งข้อความเกินเลยแบบนั้นเลย เธอเงียบไปเลยครับ
ผมละ
ไม่กล้าส่งไปอีกที เริ่มหมดหวังแล้วตอนนั้น แต่ว่า ฮะ ฮะ ฮะ
"แต่งตัวเสร็จแล้ว อย่าโอ้เอ้ เร็วๆ/อาม่า" สำเร็จ เดทแรกของผมและเธอ
เราเลยไปกินข้าวดูหนังกัน น้องนัทในชุด เสื้อยืด กางเกงยีนส์ น่ารักมากเลย
เฮ้อ
ไม่คิด
เลยว่าผมจะมีวันนี้ หนังวันนั้นก็สนุกมากเลย
โชคดีที่เราสองคนมีรสนิยมดูหนังน่ากลัวๆ คล้ายๆกัน
แต่เธอปิดตาตลอดเรื่องแล้วยังจะมาบอกว่าชอบอีก
แล้วก็ไปเดินซื้อของซักแป๊บก็กลับกัน
วันนี้ผมขับรถของผมไปกับเธอนะครับ แต่เธอบอกว่าวันนี้ตอนค่ำต้องกลับบ้าน
แต่เนื่องจากรถเธอ
อยู่ที่คอนโดผมเลยได้ที
"เอางี้ไหมละ พี่นัทขับไปส่งได้"
"แล้วนัทจะกลับมาไงอะ พรุ่งนี้"
"ก็ให้พี่นัทไปรับสิ" เข้าทางพี่นัทเค้าละครับ
"ไม่ดีกว่า พี่นัทเหนื่อยแย่ ไหนต้องทำงานอีก"
"เยาวราชๆๆ อ้อ ขึ้นทางด่วนตรงนี้" ไอ้คนขับไม่ได้สนใจเลย จะไปส่งท่าเดียว
เธอก็คงตกกระไดพลอย
โจนไปแล้ว เลยไม่ได้ปฏิเสธ บ้านเธออย่างกะวัง ผมไม่ได้เข้าไปหรอก
ส่งแค่ประตูบ้าน อยู่เลย เยาวราชไป
หน่อยเรียกไม่ถูก แต่จำทางแม่นเลย
"ขอบคุณมากค่ะ จะเข้าไปเล่นกะลูกๆก่อนไหม" เธอหมายถึงหมาเธอนะครับ
"ไม่ดีกว่า ไว้วันหลังดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้จะให้พี่มารับกี่โมง" ผมยังเกรงๆ
กับบ้านเธออยู่
"อ้อไม่เป็นไรมั้งค่ะ เดี๋ยวให้คนขับรถไปส่งดีกว่า
เดี๋ยวไปถึงแล้วจะไปเคาะกวนประสาทนะ"
"จ้า" ทำไปเหอะ ทำไป ดีหมดละ ทำไรดีหมด เราอยู่ในช่วงโปรโมชันนี่นา
วันนี้กลับห้องมา ห้องเธอล็อคแต่รู้สึกดีพิกล เป็นอีกวันทีชีวิตมีความหมายมาก
===================================================
เธอกลับมาตอนบ่ายแก่ๆ ของอีกวัน วันนั้นฝนตก เธอมาเคาะและบอกว่ากลับมาแล้ว
ก่อนกลับเข้าห้องไป หลังจากวันนั้นผมและเธอก็สนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกัน
บ่อย ผมเองก็ไม่กล้าที่จะถามถึงความสัมพันท์ เพราะ กลัวจะเสียเธอไป หากปล่อย
แบบนี้อย่างน้อยเธอยังไม่ไปไหน อีกเหตุผลหนึ่งคือ เธอจะรักษาระยะห่างได้ดีมาก
ถึงแม้เราจะไปเที่ยวกัน ไปดูหนังฟังเพลง
แต่เธอจะเก่งที่พยายามไม่พูดเรื่องความรัก
คงมีอยู่ครั้งนึง เธอคงเผลอถามผมว่าเคยมีแฟนไหม แต่คงรู้ตัวเลยเปลี่ยนเรื่องไป
1 เดือน
ผ่านไปอย่างมีความสุขจริงๆ ก่อนพายุจะมา ทะเลมักนิ่งเสมอ
ผมตื่นเช้าอีกวัน เพราะปัญหาเรื่องงานกว่าจะเคลียร์ได้ก็เกือบเที่ยง
เธอไปเรียนแล้วก็กลับมาช่วงบ่าย ซื้อขนมมาฝากผมด้วย =)
ช่วงบ่ายนั่งทำงานไปได้สักพัก ก็มีคนมาเคาะห้องอ๊ะ เธอนั่นเอง
"วันนี้ตอนเย็นพี่นัท ว่างไหมอะ"
"ว่าง !!" ตอบเสียงดังแบบไม่ต้องคิดเลย ผุ้ชายพายเรือ
"งั้นออกไปเพื่อนนัทหน่อยนะ" ก็เพราะเสียงออดอ้อนแบบนี้ละ ที่ทำให้ผมไม่เคย
ปฏิเสธเธอเลย แล้วประมาณช่วงเย็น ก็ออกไปกัน จุดหมายอยู่ที่สุขุมวิท แต่จำซอย
ไม่ได้แล้ว ระหว่างทางที่ชับรถไปเธอแผ่รังสีอำมหิตอีกแล้ว
หากเปรียบรถเป้นเตาอบ
รังสีอำมหิตคือไมโครเวฟ ผมคงหอมกรุ่นน่ากินพอดี ไม่พูดจาเลย หรือเธอจะหลอก
ผมไปปล้น ก่อนที่จะเตลิดไปกว่านั้นเลยถามไปว่า นี่เราจะไปไหนกัน
เธอไม่ตอบแต่ยิ้มๆ นิดๆอ้อ คงจะพาเราไปทำให้ประหลาดใจแน่นอน
ประหลาดใจจริงๆ ครับ ประหลาดใจยิ่งกว่าอะไรเลย
เธอจอดรถหน้าบ้านหลังหนึ่ง
ผมว่าบ้านผมหนึ่งหลังเท่ากับห้องครัวบ้านหลังนี้ได้แล้ว
เธอก็กดโทรศัพท์
"อยู่หน้าบ้านแล้ว" แล้วก็วางหูไป อีกซักแป๊บก็มีชายหนุ่มหล่อมากออกมา
ผมเห็นปุ๊บจำมันได้ปั๊บ หมอนี่เรียนรุ่นเดียวกับผม มันดังมากสมัยเรียน
"พี่นัทรออยู่ในรถนะ" เธอลงไป แต่ตอนนั้น
ถึงผมจะโง่หรือบ้าก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องออก
หากผมจำไม่ผิดหมอนี่ละชื่อบอล ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ ตอนนั้นไอ้หมอนั่นมันมองมาใน
รถหลายครั้งเหมือนกัน เนื่องจากเสียงเพลงในรถดัง
ผมเลยไม่รู้ว่าเค้าสองคนคุยอะไรกัน
แต่ก็ดีที่ไม่ได้ยิน ผมอยากจะหนีไปให้ไกลจริงๆ หากทำได้ตอนนั้น
แต่จะทิ้งเธอไปก็ไม่ได้
เพราะหลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งสองคนคุยกันประมาณ 10 นาที
แล้วเธอก็ร้องไห้ ยืนนิ่งแล้วร้องไห้ ไอ้หมอนั้นก็มองหน้าผม
อยากจะออกไปตั๊นหน้ามันมาก
แต่ผมรุ้ตัวดีว่าผมเป็นเพียงคนอื่นไกลของคนทั้งคู่ สักครู่เธอกลับเข้ามาในรถ
"ไปเถอะ" ผมต้องมาขับรถให้ เพราะหากปล่อยให้เธอขับอาจเป็นอันตรายได้
ระหว่างทางกลับเธอเงียบและไม่พูดอะไรเลย ส่วนผมก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน
ถึงแม้
จะมีคำถามมากมายแต่ถามไปก็เท่านั้นผมรู้เพียงว่าหน้าที่สุดท้ายของผมคือพาเธอไปส่ง
ที่คอนโด ประโยคเดียวที่ผมพูดคือ
"อย่าคิดมาก เดี๋ยวก็ต้องเคลียร์กันได้" เธอเงียบงันไม่ได้ตอบอะไร
พอจอดรถเสร็จแล้ว ผมบอกให้เธอขึ้นไปก่อน ผมจะเอาขนมไปให้น้องหมา
แล้วผมก็มานั่งให้ขนมน้องหมา น้องหมาริกรี้ได้ไม่นานเหมือนจะรู้ว่า ผมผิดปกติ
ซักพักมันก็มานอนไกล้ผม
อีกไม่นานผมก็คงเป็นหมาหัวเน่าเหมือนกับน้องหมาเหล่านี้
ผมไม่รู้ว่าผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมไม่มีที่จะไปจริงๆ
แล้วซักพักเธอก็ลงมาหา
ผมอีกครั้ง แล้วมานั่งไกล้ผม
"ขอบคุณพี่นัทมากนะคะ วันนี้" เสียงเธอแหบ ตาเธอบวม
"ไม่เป็นไรหรอกจ้า ยังไงนัทก็ยังมีพี่ชายคนนี้เสมอนะ" เอ้อ เอาเข้าไป
ไม่ได้อยากเป็นพี่ชายเลย
ก็เพราะเป็นคนแบบนี้นี่ละ ชีวิตเลยไม่รุ่ง
"เดี๋ยวก็เคลียร์กันได้ อย่าคิดมากนะคนดี" เธอหันมาแล้วยิ้มนิดๆ
ก่อนจะเงียบไปอีก
แค่ทำให้เธอยิ้มได้ ผมก็ดีใจแล้ว
เกือบๆ เที่ยงคืนเธอจึงขึ้นไปนอน เพราะพรุ่งนี้มีเรียน
ส่วนผมนั่งอยู่แป๊บก็ออกไปกินเหล้ากับเพื่อน เหล้าไม่ใช่การแก้ปัญหา
แต่บางครั้ง
เราก็ต้องการลืมปัญหาแม้มันจะเพียงครึ่งคืนก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันกัดกินจิตใจเราต่อไป
หลังจากนั้น 3 วันผมไม่ได้คุยกับเธอเลยส่วนหนึ่งก็เพราะ
ผมต้องการหลบหน้าเธอ ไม่มีข้อความจากเธอ ก็ในเมื่อเค้า
คืนดีกันแล้วผู้ร้ายอย่างผมก็ต้องไปซักที ห้องเยื้องกันจากที่เคย
เป็นสวรรค์ ตอนนี้ยิ่งกว่านรกอีก
เย็นวันนั้นตอนผมกลับมาจากทำงาน ตอนออกจากลิฟท์เพื่อเข้า
ห้องก็เจอเรื่องร้ายๆ ตอกย้ำอีกครั้ง หมอนั่นมาหาเธอที่ห้อง
ยืนคุยกันอยู่หน้าห้อง เนื่องจากผมเดินเลี้ยวเข้ามาเลยไม่รู้ตัวก่อน
ไม่งั้นผมคงไม่เอาตัวเองไปอยู่ที่ตรงนั้นเด็ดขาด
และคนทั้งคู่ก็เห็นผมแล้ว ก็ไม่รู้ทำอย่างไรจะกลับไปก็ไม่ได้
เลยเดินก้มหน้า ไม่ได้มองไปทางทั้งคู่และก็เข้าห้องไป เข้ามาถึง
ห้องก็เปิดเพลงดังๆ เพื่อกลบเสียงที่เราเคยอยากได้ยิน เสียงที่เรา
คิดว่าเป็นเสียงที่เพราะที่สุด ลูกผู้ชายอย่างผมน้ำตาคลอเบ้าก็หนนี้
ละ หลายครั้งที่เพื่อนผู้ชายร้องไห้ ผมไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรจะรัก
กันขนาดนั้น วันนี้ผมเข้าใจจริงๆ
ผมเสียใจกับเหตุการณ์ต่อไปอีก 3 วัน เธอก็เงียบหายไป
งานการก็ไม่ได้ทำ พอดีวันนี้นั่งเช็คเมล์ ผมมีเพื่อนสนิทที่อยู่แก๊งเดียว
กันแต่ตอนนี้ไปทำธุรกิจอยู่ที่ภูเก็ต เราเมล์คุยกันตลอด
ผมอ่านเมล์ฉบับล่าสุด ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า ผมควรจะหลบไปไหนดี
หันไปมองเป้ใบเก่ง รองเท้าผ้าใบคู่เก่าทุกอย่างพร้อม โทรไปเลื่อนนัด
เกี่ยวกับงาน พร้อมฝากความรับผิดชอบให้น้องที่บริษัท โทรไปจองตั๋ว
เย็นวันนั้นผมก็ถึงสนามบินภูเก็ตเพื่อนมารับ แต่ผมไม่ได้บอก
เพื่อนว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงมา ตั้งใจว่าจะมาพักร้อนซัก 2 อาทิตย์
ผมมาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นมาดำน้ำกันกับเพื่อนในกลุ่ม
5 คน เพื่อนผมคนนึงชื่อหนึ่ง ติดใจเลยขอเงินพ่อแม่ไปเรียนจนได้ license
ดำไปดำมาเลยได้เปิดร้านดำน้ำที่ภูเก็ต เปิดมาได้เกือบปีแล้วทุกอย่างกำลัง
จะไปได้สวย ตอนที่หนึ่งจะเปิดร้านดำน้ำ เคย
ชวนผมลงหุ้นด้วยแต่เนื่องจากผมไม่ถนัดและจบทาง ITเลยไม่ได้ทำด้วยกัน
แต่วันนี้หุ้นส่วนคนนึงกำลังจะถอนหุ้นไป ทำให้ร้านเกิดปัญหา เพราะต้นทุนเรื่อง
พวกนี้สูง หากไม่ทันก่อนไฮซีซันนี้ ธุรกิจก็มีปัญหาแน่ หนึ่งเลยชวนผมอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมเริ่มลังเลเพราะ ผมชอบทะเล ถึงแม้จะไม่สามารถคาดหวังกับรายได้
แต่ผมคิดว่ามันหล่อเลี้ยงจิตใจได้ดีทีเดียว ผมมาคราวนี้ พอเพื่อนๆ
รู้ข่าวก้ตามลงมา
อีก 2 คนพวกเราเลยได้ไปดำน้ำกันอีกครั้ง สนุกมาก
เสียดายจังที่บัดดี้ที่ดำเป็นเพื่อน
หากเป็นเธอ ปลาการ์ตูนที่ว่าสวยยังชิดซ้าย ขนาดดำน้ำยังคิดถึงได้
ตั้งใจว่าจะไม่
คิดถึงแล้วเชียว
อยู่ภูเก็ตได้ 10
วันตกลงกับหนึ่งว่าจะไปเคีลยร์เรื่องที่กรุงเทพแล้วจะให้คำตอบภายใน
เดือนนี้พอดีกับที่น้องที่ออฟฟิซโทรมาตามว่างานมีปัญหาผมเลยต้องกลับเร็วกว่ากำหนด
3 วัน
11 วันที่ไม่ได้เจอ เธอโทรหาผมหลายครั้ง แต่ผมให้เพื่อนรับแล้วบอกว่า
เจ้าของเบอร์ไม่ได้ชื่อนี้ เธอเลยไม่โทรมาอีกเลย
เวลามีเรื่องไม่สบายใจ ทะเลช่วยเราได้จริงๆ
กลับมาถึงกรุงเทพรู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนไป ส่วนหนึ่งเพราะได้
คุยกับเพื่อนด้วย ผมเข้าคอนโดอย่างกับขโมย ไขกุญแจห้อง
ด้วยความเงียบเพราะไม่อยากให้เธอรู้ว่าผมกลับมาแล้ว
ถึงผมกลับมาหรือจากไปมันก็คงไม่สำคัญอีกแล้วสำหรับเธอ
กลับมาถึงก็ต้องออกไปทำงานเลย เธอไม่รู้ตัวผมหลบหน้า
ต่อได้อีก 1 วันแต่ตอนที่ผมกลับมาจากทำงานนี่ซิ
ตอนที่กำลังไขกุญแจนั่นเอง เธอคงรู้ตัวและเปิดประตูออกมา
"พี่นัท" ผมตกใจ คิดอีกทีเราไม่ได้ทำผิดนี่
ได้ยินแต่ก็ไม่ตอบ มุมานะไขกุญแจต่อไป
"พี่นัท" เสียงเริ่มเข้มขึ้น
"อืมม ว่าไง" ตอนนี้รังสีมาคุ ของทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าใส่กัน
"ขอคุยด้วยหน่อย" เธอวีนแล้ว ผู้หญิงน่ากลัวเหมือนกัน
เธอเข้ามาคุยที่ห้องผมเลย
"มีอะไรก็ว่ามา" ทำเป็นไม่แคร์
"ไปไหนมา" สนใจด้วยเหรอ ผมตัดพ้อในใจ
"อ้อ พี่ไปติดต่อธุรกิจมานะ"
"ไปเป็นอาทิตย์เนี่ยนะ"
"ก็แวะไปเที่ยวกับเพื่อนนิดหน่อย พอดีรีบๆ ไม่ได้ซื้ออะไรมาฝาก"
"แล้วทำไมไม่ติดต่อมาเลย จะไปก็ไม่บอก"
"พอดีมันรีบๆ นะ" ทุกถ้อยของผมเป้นคำพูดประชดทั้งนั้น โดยเฉพาะ
"ตอนนี้พี่ตกลงกับเพื่อนได้แล้ว อีกไม่นานพี่คงไม่ได้อยู๋ที่นี่แล้ว เพราะ
ต้องไปช่วยเพื่อนดูแลงานที่ภูเก็ต" โอ้ยถึงแม้จะงอนเธอแต่ผมจะประชดทำไมเนี่ย
โกหกด้วย ปากไวไปหน่อย เธอไม่พูดอะไรแล้วงอนไปเลย ผมไม่ได้ตามไปง้อ
เพราะคิดว่าเรื่องราวตอนนี้เป้นแบบนี้ละดีแล้ว ยังไงเรามันก็ส่วนเกินนี่
หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตตามปกติ เจอกันก็คุยนิดๆหน่อยๆ เหมือนไม่สนิทกันเลย
เอาข้าวไปให้น้องหมาก็เอาไปให้คนละที น้องหมาคงงงตกลงจะกินของใครดี
แต่ช่วงหลังๆ ผมเริ่มลังเลเหมือนกันว่าจะปล่อยให้เรื่องมันจบแบบนี้เหรอ
ผมไม่เคย
ได้บอกจากปากว่าคิดยังไงกับเธอเลย และไม่เคยถามเธอเลยว่าเรื่องของเธอมัน
ลงเอยยังไง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผมคิดเองสรุปเองทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าเธอจะลงเอยกับไอ้หมอนั่น แต่ผมก็ไม่มีสิทธ์ที่จะไปโกรธเธอเพราะเธอ
ไม่ได้ทำผิด เธอไม่เคยบอกว่าจะคบกับผม เธออาจคิดว่าผมเป็นพี่ชายคนนึง
ก็ได้ ยิ่งคิด จากที่เคยคิดว่าฝ่ายโน้นผิดกลายเป็นเราเองซะแล้ว
หลังจากที่ปรึกษากับเหล่าบรรดาที่ปรึกษาทั้งหลายแล้ว
ผมจึงตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องพูดกับเธอให้ได้ แต่เธอก็ไม่อยู่ห้อง
ซักที รอมาหลายวันแล้ว โทรไปก็ไม่รับสาย คงยังโกรธอยู่
กะว่าเดี๋ยวดักเจอแล้วค่อยบอกก็ได้ 2 วันก็แล้ว 3 วันก็แล้ว
ผมเริ่มชักระแวงแล้ว แล้วคำตอบก็เฉลย
"หนูๆ ที่บอกว่าเพื่อนหนูจะมาอยู่นะ ตอนนี้ห้องว่างแล้วนะ" อ่ะ ซวยแล้ว
ไปโกหกไว้เรา
"เหรอ ครับ พอดีเพื่อนผมเค้ารอไม่ไหว ได้ที่อื่นไปแล้วละครับ"
"เหรอ แหมพอว่างแล้วไม่เอา ห้องที่ถามวันนั้นพอดี"
อะไรนะ ห้องที่ถามวันนั้น ไปกันใหญ่แล้ว
"ป้าว่าไงนะ พูดอีกที" ผมใจหายวูบ
"ห้องนั้นละ ที่รู้จักกับหนุ่มนั่นละ ย้ายออกไปเมื่อวานซืนเอง"
เมื่อวานซืนเธอเลือกเวลาย้ายได้ดี เพราะผมออกไปทำงานเลยไม่รู้
หมดแรงเลยคุณ รีบกดโทรศัพท์หาเธออีกที แต่ก็เหมือนเดิมเธอไม่รับสาย
เลยทิ้งขอ้ความไว้ แต่ก็ไม่โทรกลับอยู่ดี ผมลืมไปสนิทเรื่องนึง เธอเรียนจบแล้ว
เธอเรียนจบ
3 ปี ครึ่ง นี่แสดงว่าเธอเรียนจบมาเดือนกว่าแล้วแต่ผมไม่ได้นึกเอะใจเลย
อาจเป็นช่วงที่
กำลังงอนก็ได้
ผมกลับขึ้นมา ห้องนั้นไม่ได้ล๊อคกุญแจ คงรอทำความสะอาด
ฝักบัวที่ผมเปลี่ยนให้เธอก็ยัง
อยู่ที่เดิม ห้องมันว่างเปล่ามาก
วันนี้ผมนั่งอยู่ในห้องคนเดียวเหมือนทุกวันแต่สิ่งที่ต่างไปคือ
ไม่มีคนมาเคาะกวนประสาท
ไม่มีเสียงเรียก พี่นัท ไม่มีคนมานั่งเล่นกับน้องหมาอีกแล้ว
แล้วก็ไม่รอช้า ผมขับรถไปหาเธอที่บ้านทันที แต่ไม่ได้เข้าไปในบ้านหรอก
เพราะมีคนออกมาบอกว่า
คุณนัท ไม่อยู่มีอะไรให้สั่งไว้ คงเป็นเด็กในบ้านเธอ
ผมถามต่อไปว่าจะกลับเมื่อไหร่ เด็กก็บอกไม่รู้
ผมรุ้ว่าเธออยู่ในบ้าน แต่ไม่ยอมออกมาพบผม ผมเลยฝากไปบอกว่าให้โทรกลับมา
หาผมมีเรื่องจะคุย
แต่เธอคงสวมบทใจแข็งแล้ว ไม่มีอะไรติดต่อกลับมาจากเธอเลย
หลังจากนั้นผมก็เพียรโทรหาเธอทุกวัน จนเริ่มท้อใจ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
สวมบทโหดบุกบ้าน
เธออีกครั้ง ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย อย่างดีก็แค่โดนข้อหาบุกรุก
แต่ได้บอกสิ่งที่อยากบอกเธอก็ถือ
ว่าคุ้ม ด้วยความที่เพื่อนผมเป็นห่วงเลยตามมาด้วยอีกสองคน แต่เอ๊ะไม่ดี
เหลือไว้คนแสตนบาย
เผื่อประกันตัวดีกว่า
ผมไปถึงบ่ายเธอช่วงบ่าย กะว่ายังไงอย่าให้เจอพ่อแม่เธอดีที่สุด
อาจเป็นผลต่อการขอลูกสาวในอนาคต
คิดไปโน่น แต่แผนการบุกของหน่วยสวาทไม่สำเร็จ เพราะบ้านเธอไม่มีใครอยู่เลย
แถมเพื่อนผมยังโดนหมา
ในซอยไล่อีกกว่าจะกลับมาขึ้นรถได้แทบแย่
3 อาทิตย์ผมไม่ได้ข่าวคราวเธออีกเลย ทางหนึ่งก็ถามเพื่อจะเอาคำตอบจากผม
ผมเลยตอบตกลงไป
แต่โชคดีที่ทางหนึ่งบอกว่าให้ผมเป้นนักลงทุนอย่างเดียวเพราะไปทำก็เกาะกะ
เพราะจะมีเพื่อนในแก๊งอีกคนไปทำเอง ผมเลยยังได้อยู่ที่นี่ต่อ
ถึงวันเปิดร้านใหม่ ฝั่งอันดามันเข้า High Season แล้ว หนึ่งเปลี่ยนชื่อร้าน
(ผมอยากบอกชื่อร้านจังแต่อย่าเลย
เดี๋ยวหาว่าเอาไดอารี่มาหากิน) มะรืนนี้เป็นวันกำหนดตัดริบบิ้น
ผมเลยต้องลงไปซะหน่อย เนื่องจากช่วงนี้
งานที่ กทม เริ่มซา ผมเลยมีเวลาว่าง
ก่อนไปผมเลยส่งข้อความไปบอกเธอว่าจะไปแล้วนะ ไม่กี่วันกลับ
ก่อนไปอยากเจอ จะรอที่ .....
เมื่อก่อนเราจะไปออกกำลังกายที่นี่เป็นประจำ น้องนัทเธอเฮลตี้
ต้องได้เหงื่อทุกวัน
ผมรอจนถึง 2 ทุ่ม แต่เธอก็ไม่มาเลยตัดสินใจโทรไปอีกที คราวนี้มีคนรับสาย
"ฮัลโหล สายนัทครับ"
"พี่นัทไม่อยู่นะคะ" คงเป้นน้องสาวเธอ เธอมีพี่น้อง 2 คน
"แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ"
"ไม่แน่ใจคะ แต่น่าจะประมาณปีหน้า" ผมงง นี่มันปลายปี ไปไหนถึงปีหน้า
"ขอโทษนะครับ เค้าไปไหนเหรอ"
"พี่นัทไปเรียนต่อคะ" วูบยิ่งกว่าวูบ
กลั้นใจถามต่อไปได้ความว่าเธอไปเรียนต่อที่อังกฤษ
ผมพยายามขอที่อยู่กับเบอร์โทร
แต่น้องเธอบอกว่าให้ผมทิ้งเบอร์ไว้แล้วจะบอกพี่นัทให้เวลาโทรกลับมาเมืองไทย
ผมมาถึงภูเก็ตได้ไงก้ไม่รู้ 25 ปี โหดร้ายจัง
ผมเลือกที่จะจบวันนี้เพราะวันนี้เป็นวันครบ 1 ปีที่
เรารู้จักกันและขอจบเรื่องไว้แค่นี้
วันนี้ผมยังใช้ชีวิตตามเส้นทางของตัวเองต่อไป
และเธอก็จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป
ขอบคุณเธอที่ทำให้ผมมีวันดีๆ ในชีวิต
รอยยิ้มของทุกคนที่เกิดจากเรื่องราวเหล่านี้
ผมขออุทิศให้แด่เธอ .... ผู้ซึ่งจากไปไกลแสนไกล ....
:_ )
===========================================
พฤษภาคม 2545
มรสุมเริ่มเข้าฝั่งอันดามันแล้ว ลูกทัวร์ดำน้ำก็น้อยลง ผมมาอยู่ที่นี่ได้
เกือบอาทิตย์
แล้ว วันนี้มีปาร์ตี้ส่งลูกทัวร์กลุ่มนึง เป็นปาร์ตี้เล็กจัดแถวๆ บังกะโลที่
Co
กับทางร้าน
หลังงานเลิก ผมก็มาเดินเล่นที่ชายหาด วันนี้อากาศดี พระจันทร์เต็มดวง
เลยเห็นดาวน้อยกว่าปกติ ฟ้าผืนเดิมก็ยังสวยเหมือนเดิม ทุกครั้งที่มีเวลา
ผมจะทำแบบนี้
เสมอ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเธอการแหงนดูท้องฟ้า ทำให้ผมสบายใจ
เพราะอย่างน้อยเราก็อยู่
ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน ห่างกันแค่ซีกโลก แต่ผมก็ไม่เคยหมดหวังที่จะรอเธอกลับมา
และปลอบใจตัวเองเสมอว่า
ความทุกข์ของผมนั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้
ขอโอกาสให้ผมอีกครั้ง ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมรอแค่จะบอกเธอว่า ผมรักเธอ
ผมรอด้วยศรัทธาที่ว่า
ในเมื่อโชคชะตาพาเรามาเจอกัน
ก็ต้องมีอีกครั้งที่เส้นทางของเราจะต้องมาเจอกันอีกที

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันผมก็เดินทางกลับกรุงเทพ เวลาเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน
ผมไม่ได้อยู่ที่คอนโดเดิมแล้ว เนื่องจากออฟฟิซใหม่ค่อนข้างไกล
เลยย้ายออกมาอยู่อีกที่ ส่วนห้องผมก็ให้คนอื่นเช่าต่อ
ห้องของเธอก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้วเช่นกัน
ตอนนี้ที่นั่นเหลือเพียงความทรงจำเท่านั้น
เย็นวันศุกร์ ผมเลิกงานเกือบ 2 ทุ่มเพราะต้องเคลียร์งาน
ที่ทำงานเหลือผมเพียงคนเดียว
ตอนนี้เพื่อนๆ ผมเริ่มจะไม่ค่อยมีเวลาออกมากินเหล้ากันแล้ว
เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ภาระต่างๆ
ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว บางคนก็แต่งงานไป
จะเฮไหนเฮนั่นเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้
ศุกร์นี้ผมเลยไม่มีที่ไป เรียกว่าไม่มีใครสักคนเลยก็จะดีกว่า
หากเธอยังอยู่ไกล้อะไรๆ มันคงดีกว่า
นี้ วันนี้ผมคิดถึงเธอมาก เลยขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย
ผมมารู้ตัวอีกทีก็อยู่แถวๆ บ้านเธอ
แล้ว คิดว่าไหนๆ ก็ผ่านมาเลยแวะเข้าไปดีกว่า จอดรถหน้าบ้านเธอ
ก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าจะมาทำไม
เจ้าของบ้านเค้าไม่รู้อยู่ไหน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังไม่ดึก
ไปลองถามๆดูก็ไม่เสียหาย ผมเลยกดออด
เด็กในบ้านออกมา ผมบอกว่ามาหาคุณนัท เธอบอกว่าคุณนัทไม่อยู่ ยังไม่กลับมา
จะเข้ามานั่งก่อนไหม ผมก็เข้าไป หวังเล็กๆว่าหากเจอพ่อแม่หรือใครก็ตาม
ผมอาจจะรู้
อะไรของเธอเพิ่มเติมก็ได้ นั่งรออยู่ในห้องรับแขก เด็กเอาน้ำมาให้กิน
บอกว่ารอซักแป๊บ
ผมนั่งรออยู่ประมาณ 15 นาที ยืนดูรูปโมเน่ต์ที่ติดผนังอยู่
แล้วก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง
"รอนานไหมคะ" เสียงที่ผมคุ้นเคย เสียงที่ผมรอคอย ผมงงมาก
"จำรถได้" เธอยิ้ม แวบแรกที่เห็น เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
อาจดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
"พี่นัททานไรมาหรือยัง" แต่สำเนียงการพูดอ้อนๆ เหมือนเดิม
"ยังเลย"
"งั้นรอแป้บนะ ออกไปหาอะไรทานกัน เดี๋ยวเอาของไปเก็บก่อน"
ผมรอเธออีกประมาณ 15 นาที บวกกับอาการงงๆ เอามือหยิกแก้มตัวเอง เออแฮะ
โลกแห่งความจริงนี่นา
บทที่จะเจอก็ง่ายเหลือเกิน
เราหาร้านทานกันแถวๆ บ้านเธอ เธอเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมากมาย
ไปเรียนก็คอร์สสั้นๆ และเพิ่งกลับมาเมื่อ
2 อาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้ทำงานให้กับที่บ้านอยู่
เราพูดแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกันจนออกจากร้าน
ระหว่างทางขับรถไปส่งเธอที่บ้าน ผมมีความสุขมาก ความสุขอยู่ข้างๆผมแล้ว
และจะไม่มีทางปล่อยให้
ความสุขไปไหนอีกแล้ว ผมตัดสินใจบอกสิ่งที่ผมรอที่จะบอกเธอมานาน
และแม้ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง
"พี่รักนัท" เธอเงียบไป แล้วยิ้มมาทางผม
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..

วันนี้ผมต้องไปภูเก็ตอีกวัน เพราะมีหุ้นส่วนคนใหม่คือเพื่อนในกลุ่มอีกคน
กลายเป็นว่าทั้งร้านมีเรา 4
คนทำงานสบายใจมากเลยนัดไปฉลองกัน ตอนเที่ยงแล้วผมเพิ่งจะขึ้น Taxi
มีเมสเสจเข้ามา
"อยู่สนามบินแล้ว อย่าโอ้เอ้ เร็วๆ กระเป๋าหนักนะ/อาม่า"


=============================================================
หากคุณรักใครซักคนในขณะนี้ และยังไม่ได้บอกเค้าให้รู้
อย่าอ้างว่า ไม่มีโอกาส
อย่าอ้างว่า ไม่กล้าพอ
อย่าอ้างว่า กลัวผิดหวัง
อย่าอ้างว่า ยังไม่ถึงเวลา
ความสุขของการได้รักคือการให้คนที่เรารักมีความสุข
และการได้บอกรักครับ
วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุด ตื่นมาสดใสมาก เพราะอะไรนะเหรอ
ก็เมื่อคืนผมได้บอกสิ่งที่เก็บมาตลอดแล้วนะซิ ถึงแม้จะไม่ได้รับคำตอบใดๆ
จากเธอ แต่รอยยิ้มนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธหรือรังเกียจแม้แต่น้อย
ที่เหลือก็รอเพียงเวลาเท่านั้นที่จะนำคำตอบของเธอมาให้ผม
คืนนั้นเลยตามเพื่อนออกมาฉลอง บอกมีข่าวดีจะบอก หากไม่งั้นพวกมันคง
ไม่ออกมา เหล่าที่ปรึกษาทั้งหลายก็มีความสุขกันถ้วนหน้า
ไม่รู้สุขเพราะเรื่องผมหรือสุขเพราะได้กินเหล้า
แต่หลังจากนั้นเราแทบไม่ได้เจอกัน เพราะต่างคนก็งานยุ่ง เธอมีงานของเธอ
ผมก็มีงานของผม เรียกว่าว่างแทบไม่ตรงกันเลย
ผ่านมา 2 อาทิตย์เราเจอกันครั้งเดียว ไปทานข้าวเย็นกัน
และโทรคุยกันก็ไม่กี่ครั้ง จนผมเองก็เริ่มหวั่นๆ
ว่าเป็นการปฏิเสธกันทางอ้อมหรือเปล่า
แต่แล้วก็มีเหตุให้ผมต้องมีอันไปภูเก็ตหลายวัน ปกติไปแค่ไม่เกินอาทิตย์
แต่คราวนี้
อาจต้องไปเป็นเดือน
ก็เพราะเพื่อนผมอีกคนที่อยู่ร้านมีเหตุจำเป็นต้องไม่อยู่ขึ้นมา
งานทางกรุงเทพก็ยุ่ง แต่ครั้นจะไม่ไป เพื่อนคนเดียวก็ไม่ไหว
เลยต้องโอนงานให้น้อง
ที่ออฟฟิซทำแทน คืนก่อนไปก็เลยโทรไปบอกน้องนัทคนดีซะหน่อย
"เอ้อ พี่มีเรื่องจะบอก" ตัดมาตอนบอกเลยนะ
"มีอะไรเหรอ"
"คือพรุ่งนี้ ต้องไปภูเก็ตนะ แต่คราวนี้อาจนานหน่อย ไม่แน่ใจว่าจะ 1
เดือนหรือเปล่า"
เสียงอ่อยแล้วก็ขนาดอยู่ไกล้กันยังหาโอกาสเจอเธอยากเลย ไปอยู่โน่นยิ่งแล้วใหญ่
"พรุ่งนี้ว่างไหม ไปส่งหน่อยดิ" อยากเจอเธอก่อนไปนะครับ
"คงไปไม่ได้ละพี่นัท พรุ่งนี้ติดงานจริงๆ" เอาแล้วครับ
"........ งั้นก็ไม่เป็นไร แล้วจะโทรหานะ ฝันดีละกัน"
งอนแล้วผมงอนแล้ว รีบวางไปเลย คนจะไปหลายวันยังเห็นงานดีกว่าอีก โป้ง !!
วันเดินทางเลยเซ็งๆ คนที่อยากให้มาก็ไม่มา เลยเอ้อระเหยกว่าจะออกเดินทาง
ได้ก็เกือบเที่ยงแล้วก็มีเมสเสจเข้ามา (ข้อความจริงๆ เป็นภาษาอังกฤษนะครับ)
"อยู่สนามบินแล้ว อย่าโอ้เอ้ เร็วๆ กระเป๋าหนักมาม่า"
อ่านข้อความก็งง อยู่สนามบินกระเป๋าหนักมาม่า แล้วจะเอามาม่าไปทำไม
ยังไม่ทันรู้ว่าใครส่งมา ก็มีมาอีกอันนึง
"อยู่สนามบินแล้ว อย่าโอ้เอ้ เร็วๆ กระเป๋าหนักนะ/อาม่า" อ้อพิมพ์ผิด
เฮ้ย นี่มันๆๆ บอกพี่ Taxi ด่วนเลยพี่
จะขึ้นกี่ทางด่วนไปเลยเพราะกลัวว่าเดี๋ยวต้องขึ้นเครื่อง
เวลาร่ำลาหวานซึ้งจะน้อย แต่พอไปถึงมันไม่ใช่ เธอไม่ได้มาส่ง
เธอมาในชุดไปเที่ยว
ไอ้ผมนะดีใจมาก แต่ไอ้ครั้นจะวิ่งเข้าไปกอดก็ไม่ได้ แต่ในใจคิดไปแล้วอะ
"กลัวมีคนงอน" ประโยคแรกที่เธอพูด ผมนะยิ้มอย่างเดียว
มาถึงภูเก็ตตอนเย็น เพื่อนมารับ เพื่อนผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีเซอร์ไพรซ์
ท่าทางมันตกใจเหมือนกัน หันมายิ้มมีเลสนัยอีก หึหึหึ เที่ยวนี้มันมากับสาว
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใสมากเลยจะพาเธอไปดำน้ำซะหน่อย
พอดีวันนี้ที่ร้านไม่มี
แขกเลย เรือก็เป็นของเรา เพื่อนผมก็อาสาขับเรือให้ วันนี้สิ่งมีชีวิตหลากสีสัน
ใต้ทะเล
ชิดซ้ายไปถนัดตา เพราะเจอสิ่งมีชีวิตขาวหมวยเข้าไป
น้องปลาการ์ตูนคงประชดประชัน
"ต๊ายเธอดูสิ ระริกระรี้ยิ่งกว่าพวกเราอีก ทีมาคนเดียวละหงอย" น้องปลาเบอร์ 1
กระแนะกระแหนผม
"อ๊างงง จริงด้วย แล้วดูสิพาปลาอะไรไม่รู้ ไม่มีสีอื่นนอกจากสีขาว"
น้องปลาเบอร์ 2 กระแนะกระแหนเธอ
เอ้อ ผมบ้าไปแล้ว
เวลาดำน้ำ(เรียกว่าดำก็ไม่ถูกเพราะ สนอกเกิ้ลเอง)
เหมือนกรณีเธอเนี่ยไม่ได้ดำบ่อย
หน้าที่เราก็ต้องพาเธอไปดูตรงโน้นตรงนี้ นั่นปลาปักเป้านั่นปลานกแก้ว
นอกจากจะทำให้เธอรื่นเริงแล้ว =) ยังได้จับมือเธอด้วย แผนนี้แยบยลครับ
ดูจริงใจยังไงไม่รู้
ตกกลางคืนเราก็มีงานเลี้ยงปกติตามประสาคนรักงานเลี้ยง บังกะโลหลังเดิม
ทะเลเดิมๆ ฟ้าก็ยังผืนเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือ
ไม่ต้องเดินคนเดียวที่ชายหาดอีกแล้ว
หลังงานเลิกผมออกมาเดินเล่นกับเธอ
"ดีจังเลยนะคืนนี้" ผมพูดลอยๆ
"ดีอะไรเหรอ"
"ก็ดีไง แบบว่า .... ช่างมันเถอะ ดาวสวยดีนะ เคยเห็นดาวตกป่ะ" พูดไม่ออก
เลยเปลี่ยนเรื่องถามเธอ
"เคยเห็นตอนเด็กๆ นานนนมากแล้ว" เธอตอบพร้อมเงยหน้าแหงนมองฟ้า
คืนนี้ดาวเกลื่อนฟ้า สวยจริงๆ
"แล้วหากเห็นจะขออะไร"
"บอกของตัวเองมาก่อน" เธอถามผมกลับ
"ไม่รู้สิ สิ่งที่ขอไปก็สมหวังแล้ว ขอไปอีก เดี๋ยวจะโดนหาว่าโลภ
พระเจ้าจะลงโทษ"
สิ่งที่ผมขอประจำเวลาที่อยู่ที่นี่
เวลาที่แหงนมองฟ้าก็คือให้ผมได้เจอเธอนั่นละครับ
"สมมุติพระเจ้าใจดี บอกว่าให้ขอได้อีกข้อละ" ตอนนี้เราทั้งคู่หยุดเดิน
มองดูฟ้าทั้งคู่
"......................" ผมเงียบ ก่อนที่จะพูดว่า
"งั้น...ขอให้คนที่เรารักอยู่กับเราตลอดไป"
ผมไม่รู้ว่าเราสองคนเงียบไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าเวลานั้น
ผมและเธอต่างก็แหงนมองฟ้าเหมือนต้องการจะหาดาวตกจริงๆ
แล้วเธอก็กลบความเงียบนั้น
"คนที่พี่นัทรักเค้าไม่ไปไหนอีกแล้วละ
เค้าก็อยากอยู่ไกล้คนที่เค้ารักเหมือนกัน"
ภาพที่สวยที่สุดในคืนนั้น คือภาพคนสองคนเดินจับมือกันไป
ทะเลเป็นที่ๆ ดีที่สุดสำหรับผม
แต่ทะเลที่มีเธอเนี่ยมันยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
คำตอบของข้อสงสัยต่างๆ มันอาจทำให้เรื่องของ
ผมและเธอที่เคยสร้างรอยยิ้มให้กับหลายๆคนหมดไป
บางทีชีวิตคนก็เหมือนนิยายจริงๆ ครับ
ถ้าคุณมองความรักในแง่ดี ก็ขอให้เรื่องของผมจบไว้เท่านั้น
อย่าได้อ่านต่อจากนี้เลย ผมเองยังอยากให้เวลาผมหยุดแค่ตอนนั้น
และไม่อยากอ่านเรื่องราวต่อไปจากนี้เหมือนกัน
================================================
วันที่เธอพาผมไปหาแฟนเก่านั้น ในวันนั้นเธอยังไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับผม
เธอรู้แต่เพียงว่า เธอคงรู้สึกดีมากกว่าหากมีผมอยู่ข้างๆ ในตอนที่เธอร้องให้
คนทั้งคู่เคยคบกันสมัยเรียน แต่ฝ่ายชายเรียนจบและไปเรียนต่อเมืองนอก
และก็ไปมีคนใหม่ ทิ้งเธอไปตอนเธอเรียนปี 3 เธอพยายามทำใจอยู่หลายเดือน
ผ่านไปเกือบปีฝ่ายโน้นเรียนจบแล้วกลับมาขอคืนดี เธอเริ่มทำใจได้และปฏิเสธ
วันที่เธอพาผมไปหาก็เพื่อบอกว่า เธอไม่ได้คิดอะไรกับฝ่ายโน้นแล้ว
แต่ที่ร้องไห้
ก็เพราะความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันบางส่วนยังคงอยู่
เธอเริ่มมองเห็นผมหลังจากวันนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าใช่ความรักหรือเปล่า
และเธอกลัวจะต้องเสียใจอีกครั้ง
ในตอนที่เธอตัดสินใจไปเรียนต่อ ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอไม่มั่นใจในตัวเธอเอง
และไม่มั่นใจในตัวผม รวมถึงทางบ้านต้องการให้ไป ตอนแรกเธอยืนยันว่าจะไม่ไป
และรอให้โอกาสผม แต่ผมก็ปล่อยโอกาสนั้นไปอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยการหนี
เธอตัดสินใจไปเพราะคำพูดของผมที่ไปบอกเธอว่าจะไปอยู่ภูเก็ต
คำตอบทั้งหมดนี้ผมได้มาจากไดอารี่ของเธอ
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
จะมีสักกี่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราแล้วยังคงติดอยู่ในความทรงจำ
จะมีสักกี่ความทรงจำที่ทุกครั้งที่คิดถึงก็ยังให้รอยยิ้มแก่เรา
และจะมีสักกี่รอยยิ้มที่จะนำพาน้ำตามาด้วยทุกครั้ง
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
ปลายเดือนกรกฏาคม เธอจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ
เนื่องจากเธอประสบอุบัติเหตุ
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
..
เธอเคยพูดกับผมว่า หากมีใครสักคนต้องจากไป ผมจะเลือกใคร
ผมตอบว่าผมขอเลือกไปเองดีกว่า เพื่อให้อีกคนได้อยู่ต่อไป
แต่เธอบอกว่า
เธอเลือกเป็นฝ่ายอยู่ เพราะคนที่อยู่ต้องทนรับรู้ถึงความเป็นไปทุกอย่าง
ต้องทนผ่านวันคืนที่แสนเนิ่นนานเพียงลำพัง
ผมได้ไดอารี่ของเธอในงานวันสุดท้าย น้องเธออยากให้ผมเก็บมันเอาไว้
ในบันทึกมีเรื่องราวของผม มีความฝันของเธอ ประโยคสุดท้ายของเธอคือ
"เสาร์นี้นัดไปเที่ยว ตจว กัน ต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ =) "

วันนี้ผมเป็นฝ่ายอยู่ และใช้ชีวิตผ่านวันเวลาเพียงลำพังต่อไป
ผมมั่นใจว่าเธอไม่เคยจากไปไหน ยังคอยเฝ้ามองและให้กำลังใจผมอยู่จากที่ไกลๆ เสมอ

ที่มา : http://www.loveconcept.com