บรรยายนิรภัยการบิน ทอ.

เรื่อง สภาพอากาศที่เป็นอันตรายต่อการบิน

หัวข้อการบรรยาย

- ลักษณะทั่วไป

- สิ่งปิดบังทัศนวิสัย

- หมอก(Fog)

- หมอกแดด(Haze)

- ควัน(Smoke)

- กระแสอากาศปั่นป่วน(Turbulence)

- คลื่นภูเขา(Mountain Wave)

1. คำนำ ระยะนี้(ม.ค.47) ยังคงอยู่ในช่วงฤดูหนาวของประเทศไทย ตามปกติจะเริ่มประมาณกลางเดือน ต.ค. - กลางเดือน ก.พ. ดังนั้นในช่วงนี้ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลของบริเวณความกดอากาศสูงจากสา-ธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นมวลอากาศที่มีคุณสมบัติเย็นและแห้ง จึงนำเอาความหนาวเย็นและแห้งลงมาด้วย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นลงเป็นระยะๆ โดยจะไม่หนาวเย็นตลอดช่วงของฤดูหนาว บริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นจริงๆก็คือภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้ได้รับอิทธิพลของลมบกลมทะเล อากาศจึงแทบจะไม่หนาวเย็นเลย แต่จะมีฝนตกชุกเนื่องจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มาพร้อมกับมรสุมฤดูหนาว พัดผ่านอ่าวไทย นำความชื้นเข้าสู่ภาคใต้

ในช่วงนี้อากาศบริเวณประเทศไทยจะค่อนข้างมีเสถียรภาพ(Stable Air) และเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าชั้นอุณหภูมิผกผันตามระยะสูง(Temperature Inversion) จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาต่างๆตามมา ปรากฏการณ์ที่สำคัญและนับว่าเป็นอันตรายต่อการบินได้แก่สิ่งที่ปิดบังทัศนวิสัย เช่น หมอก หมอกแดด และควัน

2. การเกิดหมอก(Fog) หมอกเป็นอันตรายอย่างหนึ่งในการบิน เนื่องจากเกิดขึ้นบนพื้นโลก อันตรายจึงอยู่ที่ขณะวิ่งขึ้นและจะลงสนามบินเท่านั้น หมอกหนาทำให้ทัศนวิสัยต่ำมาก การนำ อ.วิ่งขึ้นย่อมเสี่ยงอันตรายเพราะมองเห็นทางวิ่งไม่ชัดเจน หรือแม้จะวิ่งขึ้นแล้วก็อาจมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางต่างๆในบริเวณใกล้สนามบิน เช่น อาคาร หอสูง สายไฟฟ้า ฯลฯ อาจจะชนสิ่งเหล่านี้ได้ การนำ อ.ร่อนลงในขณะที่เกิดหมอกหนา ยิ่งเสี่ยงอันตรายมากกว่า เพราะอาจจะชนสิ่งกีดขวางที่สร้างขึ้นหรือมีอยู่ตามธรรมชาติ นักบินอาจนำ อ.ลงพลาดทางวิ่งได้

หมอกมีหลายชนิด แต่ที่พบมากในประเทศไทยได้แก่ หมอกที่เกิดจากการแผ่รังสีความร้อน(Radiation Fog)หรือหมอกพื้นดิน(Ground fog) หมอกชนิดนี้มักพบได้ทั่วไปในประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณที่ราบหุบเขา เนื่องจากอากาศเย็นจมตัวลงมารวมกันที่หุบเขา หรือเกิดจากการเย็นตัวลงในเวลากลางคืนของพื้นดิน อากาศที่อยู่ติดพื้นดินจะเย็นลงจนเข้าใกล้หรือเท่ากับอุณหภูมิจุดน้ำค้าง จะเกิดการ -

กลั่นตัวเป็นละอองน้ำเล็กๆ แขวนตัวลอยอยู่ในบรรยากาศระดับต่ำ และรวมตัวกันเป็นหมอก

2

3. สิ่งปิดบังทัศนวิสัยที่ผิวพื้นนอกจากหมอก

ในช่วงฤดูร้อนมักจะเกิดชั้นอุณหภูมิผกผันตามระยะสูงอีกชนิดหนึ่ง เกิดจากการจมตัวลงของอากาศชั้นบน(Subsidence Inversion) ขณะที่อากาศจมตัวลงจะเกิดการอัดตัวของอากาศทำให้เกิดความร้อน จึงเกิดเป็นชั้นของอากาศที่มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น และอากาศในชั้นนั้นจะมีการทรงตัวดี(Stable Air) เกิดเป็นชั้นปิดกั้นหรือกักเก็บอนุภาคต่างๆที่ฟุ้งกระจายจากพื้นโลก ได้แก่

3.1 หมอกแดดหรือฟ้าหลัว(Haze) เป็นอนุภาคเล็กๆของผง, ฝุ่นละอองเล็กๆ, ผงเกลือ, สิ่งเจือปนต่างๆ(Impurities) ที่ฟุ้งกระจายและแขวนลอยอยู่ในอากาศ จะทำให้ทัศนวิสัยถูกจำกัดเพราะแสงผ่านได้ไม่สะดวก เกิดขึ้นในสภาวะอากาศที่ทรงตัวดี ปกติจะมีความหนา 2,000 - 3,000 ฟุตเหนือผิวพื้น แต่บางครั้งแผ่สูงขึ้นไปถึง 15,000 ฟุต

ในประเทศไทย หมอกแดดจะเกิดได้ดีและปิดบังทัศนวิสัยได้มาก ปกติจะอยู่ในช่วงเดือน ก.พ. - มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน เพราะแผ่นดินแห้งทำให้มีอนุภาคต่างๆมาก

การทำการบินเหนือระดับยอดของชั้นหมอกแดด มองไปรอบๆจะเห็นว่าทัศนวิสัยดี แต่เมื่อมองลงไปเบื้องล่างทัศนวิสัยจะไม่ดี หรือเมื่อทำการบินอยู่ในหมอกแดด ทัศนวิสัยในทางดิ่งเมื่อมองลงเบื้องล่างจะดี บางครั้งมองลงข้างล่างจะเห็นทางวิ่ง แต่พอตั้งลำจะร่อนลงสนามบิน มองลงทางเฉียง(Slant Visibility)อาจจะมองไม่เห็นทางวิ่งก็ได้ การบินเข้าหาดวงอาทิตย์(ย้อนแสง)ทัศนวิสัยจะต่ำมากบางครั้งเป็นศูนย์ ดังนั้นการลงสนามบินที่มีทิศทางเข้าหาดวงอาทิตย์อาจเกิดอันตรายได้

3.2 ควัน(Smoke) ควันเกิดจากการเผาไหม้ บริเวณที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมาก ควันจะถูกพ่นขึ้นไปในอากาศ ขณะที่อากาศมีการทรงตัวดี ควันจะลอยขึ้นไม่สูงนักจึงสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศตอนล่างจึงทำให้ทัศนวิสัยต่ำมาก ทัศนวิสัยในบริเวณที่มีควันก็คล้ายกับในบริเวณที่มีหมอกแดด

4. กระแสลมเจ็ตในระดับต่ำ(Low Level Jet at Top of Radiation Inversion) การเกิดอุณหภูมิผกผันตามระยะสูงอันเนื่องมาจากการแผ่รังสี นอกจากทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ปิดบังทัศนวิสัยแล้ว ยังมีโอกาสเกิดกระแสลมเจ็ตในระดับต่ำ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเหนือชั้นอุณหภูมิผกผัน โดยปกติจะมีความเร็วลมประมาณ 30 นอต แต่บางครั้งอาจพบได้มากกว่า 50 นอต ที่ระดับตั้งแต่ 300 - 1,000 ฟุต มักจะเกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตก และจะมีความรุนแรงสูงสุดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น จากนั้นจะสลายไปประมาณเวลา 1000 เนื่องจากโลกได้รับรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้ทั่วทุกภูมิภาคของโลกที่มีการเกิด Radiation Inversion

นอกจากนั้น ในบางช่วงที่ความกดอากาศสูงมีกำลังแรงแผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศไทย ส่งผลให้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้นด้วย และเมื่อพัดผ่านภูมิประเทศที่ขรุขระหรือภูเขา ก็อาจทำให้เกิดกระแสอากาศปั่นป่วน และคลื่นภูเขาได้

 

3

5. กระแสอากาศปั่นป่วน(Turbulence) เมื่อมีกระแสลมพัดผ่านบริเวณพื้นที่ขรุขระหรือเนินเขาหรือภูเขามักก่อให้เกิดกระแสอากาศปั่นป่วนขึ้น จะมีความรุนแรงมากเมื่อมีลมพัดแรง กระแสลมจะขดม้วนตัว

เป็นวงขนาดต่างๆเคลื่อนตัวไปตามการไหลของกระแสลม โดยจะเกิดทางด้านหลังลมของยอดเขา จะส่งผลกระทบต่อการบินมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของอากาศยาน ดังนั้นควรระลึกไว้เสมอว่าเมื่อทำการบินสู่ด้านหลังลมของภูเขาในขณะที่มีลมพัดแรงผ่านบริเวณภูเขา ควรบังคับให้อากาศยานไต่ขึ้นสู่ระดับความสูงเหนือยอดเขาขึ้นไป

6. คลื่นภูเขา(Mountain Wave) เกิดขึ้นเมื่อมีกระแสลมแรงพัดผ่านแนวเทือกเขา ก่อให้เกิดกระแสอากาศปั่นป่วนขึ้นจากระดับต่ำถึงระดับสูง และแผ่ออกไปทางระดับทางด้านหลังลม(Leeward side)ของแนวเทือกเขา เมื่ออากาศยานบินผ่านหรือเข้าใกล้มักเกิดอาการกระแทก(Bumping)คล้ายตกหลุมอากาศ เกิดการสูญเสียระยะสูง(Altitude)อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดคลื่นภูเขาขณะที่บรรยากาศมีความชื้นสูง อาจปรากฏเมฆชนิดต่างๆให้เป็นข้อสังเกตได้อย่างดี

สำหรับประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูหนาว ซึ่งจะมีลมพัดแรงเป็นช่วงๆ ทำให้มีโอกาสเกิดคลื่นภูเขา โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ความรุนแรงของคลื่นภูเขา ความรุนแรงและการแผ่ออกไปทางระดับหรือสูงขึ้นไปในบรรยากาศจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ทิศทางกระแสลมที่พัดเข้าสู่ด้านรับลม ถ้าตั้งฉากกับแนวสันเขาหรือเบี่ยงเบนไม่เกิน 50 องศา ความเร็วลมตั้งแต่ 25 นอตขึ้นไป คลื่นจะมีความรุนแรงและแผ่ออกไปได้ดี

เมื่อเกิดคลื่นภูเขาขณะที่บรรยากาศมีความชื้นสูง อาจปรากฏเมฆชนิดต่างๆให้เป็นข้อสังเกตได้อย่างดี

6.1 เมฆที่เกิดจากคลื่นภูเขา

6.1.1 เมฆคลุมสันเขา(Cap Clouds) เป็นเมฆชั้นต่ำที่เกิดปกคลุมด้านรับลม(Windward side)และแผ่ขยายไปถึงด้านปลายลมของแนวเทือกเขา เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำเมื่อกระแสอากาศไหลขึ้นด้านรับลมของแนวเทือกเขาในขณะที่อากาศทรงตัวดี เมื่อทำการบินเข้าใกล้จะสังเกตเห็นกลุ่มเมฆบางส่วนย้อยลงมาด้านปลายลมมีขอบชัดเจน ซึ่งแสดงถึงบริเวณที่มีกระแสอากาศไหลลง(Downdraft) ควรหลีกเลี่ยงบริเวณดังกล่าวเพราะอาจมีความเร็วสูงถึง 5,000 ฟุต/นาที

6.1.2 เมฆม้วน(Roll or Rotor Clouds) รูปร่างเป็นก้อนๆคล้ายเมฆ Cumulus จะเกิดทางด้านหลังลมวางตัวขนานกับแนวสันเขาเป็นแนวยาวกระจายออกไปด้านหลังลม เป็นผลมาจากกระแสอากาศปั่นป่วนที่รุนแรง บริเวณที่ปรากฏเมฆม้วนบ่งบอกถึงกระแสอากาศปั่นป่วนที่รุนแรง เคยตรวจพบว่ามีกระแสอากาศไหลขึ้นและไหลลงภายในก้อนเมฆมีความเร็วประมาณ 5,000 ฟุต/นาที ส่วนใหญ่เมฆม้วนมักไม่เคลื่อนที่หรือเคลื่อนตัวช้ามาก บางครั้งถ้าความชื้นไม่เพียงพอก็อาจไม่ปรากฏเมฆให้เห็น

 

 

4

6.1.3 เมฆรูปเลนส์(Altocumulus Standing Lenticular : ACSL) มักพบเสมอขณะเกิดคลื่นภูเขา เป็นเมฆชั้นกลางจำพวก Altocumulus มีขอบชัดเจนตัดกับท้องฟ้ารูปร่างคล้ายๆกับเลนส์วางตัวเป็นแนว-

ยาวเหนือแนวสันเขาและกระจายออกไปด้านหลังลม เกิดเหนือระดับ 20,000 ฟุต บางครั้งเกิดสูงถึง 40,000 ฟุต ส่วนใหญ่แล้วโปร่งแสง จะเกิดขึ้นตรงส่วนยอดของคลื่น จะไม่เคลื่อนไปไหนแม้ว่าลมจะแรง ถ้าขอบของเมฆไม่คมชัดมีการฉีกขาดเป็นริ้วๆ แสดงถึงมีกระแสอากาศปั่นป่วนขั้นรุนแรง

6.2 การปฏิบัติเมื่อทำการบินบริเวณคลื่นภูเขา

6.2.1 ใช้ความสูงให้มากกว่าความสูงของแนวสันเขา อย่างน้อย 50 %

6.2.2 หลีกเลี่ยงบริเวณที่เกิดเมฆม้วน

6.2.3 หลีกเลี่ยงบริเวณเมฆรูปเลนส์

6.2.4 หลีกเลี่ยงบริเวณของเมฆคลุมสันเขา

………………………………….

ผภอ.กขอ.คปอ.บยอ.

 

 

น.ท.เกรียงไกร แสนทวีสุข

โทร 21112