บทที่1 ทฤษฎีอิเล็กตรอนและไฟฟ้าสถิต
ทฤษฎีอิเล็กตรอน Electron Theory
จากการวิจัยสมัยใหม่
ทำให้ทราบว่าสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของแข็งของเหลวหรือก๊าซ
ต่างก็ประกอบขึ้นจากส่วนที่เล็กๆ ที่เรียกว่า โมเลกุล (Molecules) ซึ่งในแต่ละโมเลกุลของมันประกอบด้วยอนุภาคเล็กๆ
ที่เรียกว่า อะตอม (Atom) สารที่โมเลกุลของมันประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกันเรียกว่า ธาตุ (Element) และสารที่โมเลกุลของมันประกอบด้วยอะตอมต่างชนิดกันเรียกว่า
สารประกอบ
(Compounds) ธาตุต่างๆ
ที่ได้ค้นพบมีอยู่ประมาณ 100 กว่าธาตุ
ซึ่งธาตุเหล่านี้สามารถจัดไว้เป็นตารางตามลำดับน้ำหนักที่มากขึ้น
และแบ่งเป็นกลุ่มตามสกุลของวัตถุที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน
ตารางแบ่งธาตุแท้เช่นนี้เรียกว่า Periodic
Table of The Elements
นักฟิสิกส์ได้ค้นพบว่า
ภายในอะตอมนั้นประกอบด้วยส่วนที่สำคัญสองส่วน คือ
ส่วนที่เป็นแกนกลางเรียกว่า นิวเคลียส (Neutron)
ภายในนิวเคลียสนี้ยังประกอบด้วย
โปรตอน (Proton)
ซึ่งมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็น
ประจุไฟฟ้าบวก (Positive charge) และ Neutral charge)
อีกส่วนหนึ่งนั้นจะเป็นอนุภาคเล็กๆ โคจรอยู่รอบๆ นิวเคลียส
ด้วยความเร็วสูงและวงโคจรของมันอาจจะมีเพียงวงเดียวหรือหลายวงก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของอะตอมของธาตุดังแสดงให้เห็นในรูป 1.1 ส่วนที่โคจรอยู่รอบๆ นิวเคลียสนี้เรียกว่า อิเล็กตรอน (Electron)
ซึ่งมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็น
ประจุไฟฟ้าลบ (Negative Charge) โครงสร้างของอะตอมของธาตุต่างๆ
จะมีลักษณะคล้ายกับระบบสุริกยะจักรวาล
ที่มีดวงอาทิตย์เป็นแกนกลางและมะดาวนพเคราะห์โคจรอยู่รอบๆ
ในอะตอมของธาตุหนึ่งๆ
นั้น ตามสภาพปรกติแล้วจำนวนโปรตอนจะเท่าอิเล็กตรอนเสมอ
ในสภาพที่สมดุลย์เช่นนี้อะตอมของธาตุจะไม่แสดงคุณสมบัติทางไฟฟ้าออกมาหรือเรียกว่ามีคุณสมบัติเป็นกลาง
คือไม่มีอำนาจไฟฟ้าเป็นบวกหรือลบ
จำนวนโปรตอนและจำนวนอิเล็กตรอนของอะตอมของธาตุนี้เองจะเป็นตัวบอกให้ทราบถึงชนิดธาตุต่างๆ
ในรูป 1.1
รูป 1.1 โครงสร้างของอะตอมของธาตุต่างๆ
ได้แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของอะตอมของธาตุต่างๆ
ที่ได้อาศัยวงจรโคจรของระบบสุริยะจักรวาลเป็นพื้นฐาน ในการแสดงวงโคจรของอิเล็กตรอนรอบๆ
นิวเคลียส เช่น อะตอมของไฮโดรเยน (Hydrogen)
นั้น
ที่นิวเคลียสจะประกอบด้วยโปรตอนเพียง 1 ตัว และอิเล็กตรอนที่โคจรรอบๆ
อีก 1 ตัว ส่วนอะตอมของฮีเลียม (Helium) นิวเคลียสจะประกอบด้วยโปรตอน 2 ตัว และอิเล็กตรอนโคจรรอบๆ 2 ตัว และอะตอมของฟลูออรีนนั้นนิวเคลียสจะประกอบด้วยโปรตอน 9 ตัว นิวตรอน 10 ตัว
และอิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบๆ อีก 9 ตัว
ตารางแบ่งธาตุแท้ (The Periodic Table of the elements) คือ การจัดลำดับของธาตุต่างๆ
ตาม อะตอมมิคนัมเบอร์ (Atomic Number)
ซึ่งหมายถึงจำนวนอิเล็กตรอนทั้งหมดในวงโคจรและอะตอมมิคเวท (Atomic Weight)
ซึ่งหมายถึงจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ในนิวเคลียส อะตอมชนิดต่างๆ
จะมีมวลหรือน้ำหนักแตกต่างกันไปเมื่อเทียบกับธาตุอื่น อะตอมมิคเวทของ
ออกซิเจนจะมีค่าเป็น 16 เท่า
อะตอมมิคเวทของฮีเลี่ยมมีค่าประมาณ 4 เท่า ลิเที่ยม 7 เท่า ฟลูออรีน 19 เท่า และนิออน 20 เท่า ดังแสดงในรูป 1.1
ชั้นและระดับพลังงานของอิเล็กตรอน (Electron
energy levels and shells)
เนื่องจากว่าอิเล็กตรอนแต่ละตัวมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่รอบๆ
นิวเคลียส ดังนั้นจึงทำให้เกิดพลังงานเกี่ยวกับการเคลื่อนที่หรือ พลังงานจลน์ (Kinetic energy) และเล็กน้อยนี้เรียกว่า
ตัวนำที่เลวหรือฉนวน ในงานที่เกี่ยวกับไฟฟ้า
จะใช้ตัวนำที่ดีเป็นสายตัวนำกระแสไฟฟ้า
และใช้ฉนวนเป็รเครื่องป้องกันการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าไม่ให้ออกไปจากสายตัวนำ
รายการ้างล่างนี้เป็นเพียงบางส่วนของตัวนำและฉนวนที่ดี
ซึ่งได้จัดเรียบเรียงตามลำดับความสามมารถในการเป็นตัวนำและการเป็นฉนวน
ตัวนำ
ฉนวน
เงิน อากาศบริสุทธิ์
ทองแดง แก้ว
อลูมินัม
ไมก้า
สังกะสี
ยาง
ทองเหลือง
แอสเบสตอส (Asbertos)
เหล็ก เบคไลท์ (Bakelite)
ไฟฟ้าสถิต
(Static
Electricity)
ตามที่ได้กล่าวไว้ในตอนแรกแล้วว่า
อะตอมของสารต่างๆ นั้น ในสภาพปรกติจำนวนของอิเล็กตรอนจะเท่ากับจำนวนของโปรตอนเสมอ
จึงไม่แสดงคุณสมบัติทางไฟฟ้าหรือมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นกลาง นั่นก็คืออะตอมของสาร
จะมีประจุไฟฟ้าเป็นศูนย์จึงไม่มีแรงไฟฟ้าเกิดขึ้น และเมื่อนำสารที่เป็นกลางสองชนิดมาแตะกัน
ก็จะไม่มีการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนเข้าหรือออกภายในสารทั้งสองนี้
อย่างไรก็ตามถ้าหากสารอันหนึ่งถูกทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ออกไปหรือหลุดออกไปจากอะตอมของสารนั้น
จะทำให้สารนั้นมีจำนวนโปรตอนมากกว่าอิเล็กตรอน จึงทำให้สารนั้นกลายสภาพมาเป็นประจุไฟฟ้าบวก
เมื่อนำสารที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบก็จะทำให้มีอิเล็กตรอนไหหลระหว่างสารทั้งสองโดดยที่อิเล็กตรอนจะไหลออกจากสารที่เป็นประจุไฟฟ้าลบ
เข้าไปในสารที่เป็นประจุไฟฟ้าบวกซึ่งการไหลของอิเล็กตรอนจะมีต่อเนื่องกันไปจนกว่าประจุไฟฟ้าทั้งสองของสารเท่ากัน
เมื่อนำวัตถุสองชนิดที่มีประจุไฟฟ้าไม่เท่ากันเข้ามาใกล้กัน
จะทำให้เกิดแรงไฟฟ้าขึ้นระหว่างวัตถุทั้งสอง
แต่เนื่องจากวัตถุทั้งสองไม่แตะกันจึงไม่สามารถทำให้ประจุไฟฟ้าเท่ากันได้
แรงไฟฟ้าที่เกิดขึ้นแต่ไม่ทำให้อิเล็กตรอนหรือกระแสไฟฟ้าไหลไปได้เช่นนี้ เรียกว่า ไฟฟ้าสถิต Static
Electricity คำว่า
สถิต Static
นั้นหมายถึงไม่มีการเคลื่อนที่ซึ่งก็หมายถึง
แรงไฟฟ้าสถิต Static Force นั่นเอง
การที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นนั้น
มีวิธีง่ายๆ คืออาศัยการถู การถูนี้จะต้องนำวัตถุที่ต่างชนิดกันมาถูกัน
ผลจากการถูจะทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากวัตถุที่ได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นจะเป็นประจุไฟฟ้าลบถ้าหากนำวัตถุที่เป็นตัวนำมาถูกัน
ก็เป็นการยากที่จะทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น
ทั้งนี้ก็เพราะว่าตัวนำยอมให้ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ได้สะดวก
ดังนั้นเมื่อทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นแล้วมันก็จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหหลระหว่างตัวนำทั้งสอง
ดังนั้นในขณะที่ถูจึงทำให้ตัวนำทั้งสองมีประจุไฟฟ้าเท่ากันตลอดเวลา
ไฟฟ้าสถิตทำให้เกิดขึ้นได้ง่ายจาการเอาฉนวนที่แข็งถูกับฉนวนที่อ่อนหรือเป็นปุย
การทำเช่นนี้จะทำให้อิเล็กตรอนจากวัตถุหนึ่งหลุดเข้าไปในวัตถุหนึ่งดังรูป 1.2 ซึ่งใช้แท่งยางแข็งถูกับขนสัตว์
รูป 1.2 ไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นจากการถู
ผลจากการนำแท่งยางแข็งถูกับขนสัตว์
ก็ปรากฏว่าแท่งยางแข็งได้รับอิเล็กตรอนจากขนสัตว์
และเนื่องจากวัตถุทั้งสองนี้เป็นฉนวน
การไหลของอิเล็กตรอนระหว่างวัตถุทั้งสองในขณะทำการถูจึงมีน้อยมาก
ดังนั้นจึงทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นโดยแท่งยางแข็งเป็นประจุไฟฟ้าลบและขนสัตว์เป็นประจุไฟฟ้าบวก ทั้งนี้เพราะมันสูญเสียอิเล็กตรอนไป
ถ้าหากปรุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นระหว่างวัตถุทั้งสองมีมากพอ
ก็จะทำให้เกิดแรงไฟฟ้าสถิตได้มากพอที่จะทำให้อิเล็กตรอนไหหลผ่านวัตถุทั้งสองได้
ซึ่งถ้าหากวางอยู่ในที่มืดก็สามารถมองเห็นประกายไฟฟ้าและได้ยินเสียงเกิดขึ้น
ฟ้าผ่า ในสมัยแรกๆ
ของประวัติศาสตร์นั้น มนุษย์ได้รู้ว่า ไฟฟ้าเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ จากฟ้าผ่า
มาจนกระทั่งในสมัยต่อมามนุษย์ก็ยังไม่สามารถให้คำอธิบายความเป็นไปที่แท้จริงของไฟที่ดูเหมือนว่าวิ่งลงมาจากฟากฟ้าได้
ในเวลาฟ้าผ่ามนุษย์ก็ได้แต่มองดูด้วยความหวาดกลัวและความตกใจ
ที่เห็นสายฟ้าพังทลายของทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ขวางทางของมันได้
รูป 1.3 ฟ้าผ่า
ฟ้าผ่าและการนับถือเทพเจ้า การนับถือเทพเจ้าของคนในสมัยก่อนๆ
มาเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ตามธรรมชาตินี้ และการที่พวกเขาถือว่า
เมื่อมีไฟลงมาจากสวรรค์นั่นก็คือการลงโทษมนุษย์โลกของพระผู้เป็นเจ้า
จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดเลย สำหรับเราก็เป็นเช่นเดียวกันมิใช่หรือ
ที่ในเวลาที่ฟ้าแลบแปลบปลาบ และเสียงฟ้าร้องครืนๆ ก็อาจจะทำให้เราเกิดตกใจกลัวและเส้นประสาทเสียได้
พวกติวตันถือว่าพลังจากธรรมชาตินี้เกิดจากเทพเจ้าแห่งฟ้าผ่าชื่อ ธอร์
ซึ่งเป็นโอรสของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าชื่อ โอดิน และเทพธิดาแห่งดินชื่อ เยอร์ด
พระเนตรของเทพเจ้าองค์นี้
ส่งแสงออกมาเป็นฟ้าแลบและฆ้องเม์จอลล์เนียร์ของพระองค์จะทำให้เกิดเสียงครืนๆ
ทางเดินของสายฟ้า ความเชื่อที่ว่าท้องฟ้าและแผ่นดินเป็นพ่อและแม่ของฟ้าผ่านั้น
เป็นความเชื่อที่มีเหตุผลใช้ได้ ตามสัญชาติญาณทำให้เราคิดได้ถูกทาง
ความจริงฟ้าผ่าไม่ได้ผ่าลงมาจากเมฆแต่อย่างเดียว แต่จากผลการทดลองปรากฏว่า
สายฟ้าวิ่งจากพื้นดินขึ้นไปข้างบนในเวลาเดียวกันกับที่วิ่งจากเมฆลงมาข้างล่าง
ทั้งข้างบนและข้างล่างต่างก็มีส่วนร่วมในการถ่ายเทประจุนับเป็นระยะเวลานานจากพลังธรรมชาติของฟ้าผ่าที่น่ากลัวและมีอำนาจในการทำลาย
จนกว่าจะมาถึงการค้นคว้าและนำไฟฟ้ามาใช้งานได้
ที่มาของคำว่า ไฟฟ้า
อำพัน ในสมัยโลหะบรอนซ์ ประมาณ 3000 ปีก่อนคริตส์กาล
ธนพวกติวตันที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งแซมแลนด์ของทะเลบอลติค ในปรัสเซียตะวันออก
ได้พบหินสีเหลืองชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็จะมีประกายคล้ายทองคำ ทองคำจากทิศเหนือ
มีคุณสมบัติพิเศษในตัวของมันเองเมื่อโยนลงในกองไฟมันก็จะลุกสว่าง
มันคือหินซึ่งติดไฟได้ (เยอรมัน : Brennstein) ภายหลังต่อมาอีกหลายศตวรรษ คำนี้จึงได้ค่อยๆ
กลายมาเป็น Bernstein หรือในภาษาไทยเรียกว่า
อำพัน
แท่งอำพันเป็นไฟฟ้า
อำพันได้ถูกนำมาทำเป็นเครื่องประดับและหวี
และได้มาที่ถนนอำพันซึ่งเป็นทางค้าขายที่สำคัญจากทางภาคเหนือมาจนถึงประเทศกรีกด้วย
เราได้พบว่าเมื่อเราถูหินชนิดนี้ด้วยผ้าขนสัตว์จะเกิดประกายไฟแตกเปรียะๆ ขึ้นได้
เมื่อผู้หญิงหวีผมด้วยหวีที่ทำจากอำพันก็จะมีเสียงดังอย่างลึกลับ
และหวีก็จะดูดผมเส้นละเอียดเข้าหาตัว
ดูเหมือนว่าภายในหินจะมีแรงลึกลับอย่างหนึ่งซ่อนตัวอยู่
อิเล็กตรอน ดูเหมือนว่าแรงนี้จะเกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธ์และคอยป้องกันความชั่วร้ายต่างๆ
ได้ ดังนั้นอำพันจึงเป็นของที่ทุกคนต้องการจะมี
และชาวกรีกผู้ดีต่างก็ใช้เป็นเครื่องประดับ
พวกเขาพากันเรียกหินนี้ว่าอิเล็กตรอนราว ค.ศ. 1600 นักฟิสิกซ์ชาวอังกฤษชื่อ กิลเบอร์ท ได้นำชื่อนี้มาใช้อีก
และจากความจริงที่ว่า
มนุษย์เราได้รู้เป็นครั้งแรกว่าแรงลึกลับของไฟฟ้ามาจากหินชนิดนี้
เขาได้ใช้คำในภาษากรีก elextron (อิเล็กตรอน) มาใช้เรียกแรงที่เขาทำการทดลอง คำๆ
นี้จึงเป็นที่มาของคำว่าไฟฟ้า สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จากแรงธรรมชาติทั้งหมด