|
ปี 1969 เป็นปีที่ผมเกิด ขณะนั้นหาดใหญ่ยังไม่ได้เจริญอย่างในปัจจุบัน ผมมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซึ่งผมเป็นคนโต สมัยก่อนพ่อผมจะมีรถ 2 คันอยู่ที่คิวรถหาดใหญ่-ปาดังฯ ส่วนแม่ผมก็มีกิจการร้านทำผมอยู่ในหาดใหญ่เนี่ยหละ มีน้องชายอยู่ 1 คน (ดื้อมาก) ชื่อเล่น "สิทธิ" น้องคนนี้สมัยเด็ก ๆ จะเป็นเงาตามตัวผมตลอด เรามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอไม่ว่าจะกลับจากโรงเรียน ไปเรียนพิเศษ หรือว่าเล่นกับเพื่อน ๆ แถวบ้าน ทะเลาะกันบ่อยมากจนแม่ผมต้องจับมาตีบ่อย ๆ แม่ของผมจะตีผมทุกครั้งหากทำผิดจริง แล้วก็จะตีแบบให้ลูกจำฝังใจไปเลยจะได้ไม่ทำผิดอีก ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างยิ่งเพราะทำให้ผมไม่ทำผิดต่อหน้าแม่อีกเลย : ) น้องคนที่สองเป็นผู้หญิงชื่อ "น้องดี" จริง ๆ แล้วชื่ออื่น ๆ ที่ผมกับสิทธิตั้งให้ยังมีอีกมากเหลือเกินจนจำไม่ได้แล้ว แต่ละชื่อก็จะเป็นไปตามช่วงเวลาและความแก่นแก้วของน้องคนนี้ เอาเป็นว่าชื่อ "น้องดี" แล้วกันครับ น้องดีจะเป็นน้องที่เจ๊าะแจ๊ะและกวนใจเป็นอย่างยิ่ง ชอบถามโน่นถามนี่ตลอดไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง แต่เวลาตั้งใจจะทำอะไรก็มีความพยายามมากเหมือนกัน ส่วนน้องคนสุดท้องชื่อ "จ๋า" ชื่อนี้มากจากตอนที่คลอดออกมาใหม่ ๆ ยังไม่ได้ตั้งชื่อ เวลาจะเรียกก็จะเรียกว่า "น้องจ๋า ๆ " จนติดปากมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จ๋าจะเป็นน้องที่ไม่ค่อยยอมโตซะที (จนป่านนี้ก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่กับเขา) ขึ้อ้อนมาก ! ตามประสาน้องคนสุดท้อง กล้าแสดงออกตั้งแต่เล็ก ๆ โรงเรียนมีการแสดงเมื่อไหร่จะชอบทำกิจกรรมด้วยตลอด |
|
สมัยประถมถึงมัธยมผมเรียนที่โรงเรียนแสงทองวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนในอำเภอหาดใหญ่ เพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ป.1 ก็มีอยู่ไม่กี่คนที่ยังคบกันจนถึงทุกวันนี้ ก็มี ศร, ป๋วย, ฟาโรห์, การุณ ฯลฯ แต่ที่จำได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นปีสุดท้ายที่อยู่แสงทองคือ ม.3 ผมอยู่ห้อง ข. มีคุณครูอาคเนย์ เป็นครูประจำชั้น แก้งค์ในห้องเรียนนี้ก็จะมี ศร, ซื้อ, ติ่ง, สัน, ป๋อ, ผีดิบ ฯลฯ ทุกพักเที่ยงหลังกินข้าวเราจะจัดรายการโชว์กันในห้องเรียน (เล่นเองดูเอง) โดยเลียนแบบรายการอาทิตย์ยิ้มในสมัยนั้น มีทั้งเล่นตลก ทอล์คโชว์ เกมส์โชว์ เล่นกันเสียงดังลั่นจนอาบัง (ยาม) ต้องมาไล่ลงจากตึก ตกเย็นพวกเรามีความคิดว่าจะหารายได้กันตั้งแต่ยังเด็ก คือร้านขายน้ำในโรงเรียนจะมีการมัดจำแก้วในตอนที่ซื้อ หากนำแก้วมาคืนก็จะให้เงินคืน 50 สต. ตกเย็นงานประจำของพวกเราก็คือหาแก้วที่เด็กคนอื่นลืมเอาไว้ตามโต๊ะในห้องเรียนต่าง ๆ แล้วนำมาแลกเงินไว้กินขนม ซึ่งพวกเราเป็นพวกแรกก็ว่าได้ที่หารายได้พิเศษนี้ จนมีเด็กอื่นๆ ทำตามอย่าง ระยะหลัง ๆ รายได้ก็เลยขาดแคลนเลยเลิกทำ ก่อนจบ ม.3 (ปีการศึกษา 2525) ทางโรงเรียนก็ได้มีงานเลี้ยงส่งให้แก่รุ่นผม ซึ่งเป็นรุ่นแรกและอาจจะเป็นรุ่นเดียวก็ได้ที่โรงเรียนจัดให้ ในงานก็มีทั้งดนตรี อาหาร โชว์ ต่าง ๆ งานนี้พวกเราได้อิสระเต็มที่มันส์สุด ๆ ที่ไม่ต้องอยู่ในระเบียบทั้ง ๆ ที่อยู่ในรั้วโรงเรียน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวว่ามีการจัดงานให้รุ่นไหนอีกเลย ใครไม่เชื่อลองถามครูเจิมดูสิครับ |
จบม.3 ในรุ่นมีผมคนเดียวที่ไปสอบที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเทคนิคภาคใต้ (สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล) หรือที่ใคร ๆ เรียกกันว่าเทคโนฯ ที่ผมเลือกเรียนที่นี่ก็เพราะอยากใส่กางเกงขายาว แต่ที่ประทับใจจริง ๆ ก็เพราะเป็นวิทยาลัยที่ติดกับหาดสมิหรา เวลานั่งเรียนจะเห็นหาดทรายขาวโค้งยาวสวยงาม บรรยากาศดีมาก ผมเรียนอยู่แผนกพาณิชย์ ในห้องมีผู้ชายแค่ 6 คนเท่านั้น คือ เสริฐ, รัช, ตั้ม, หน่ำ, เจริญ และก็ผม ส่วนพวกผู้หญิงที่สนิทด้วยก็มี ลักษณ์, เยาว์, จูน, เล็ก, จิ๋ม, อุ้ย, น้วน, แต๋ว, ศรี, ทิพย์, หนู ฯลฯ กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก เรียกว่านั่งรถไปวิทยาลัยก็สามารถเหมาไปได้เลย สมัยนั้นผมจะบ้ากิจกรรมเป็นอย่างมาก โดยอาสาเป็นกรรมการฝ่ายสวัสดิการ โดยมี ลัช เป็นประธานนักศึกษาในรุ่นนั้น รุ่นผมเป็นรุ่นเดียว (อีกแล้ว) ที่สามารถจัดรับน้องใหม่หน้าตึกคณะบริหารฯ ได้ ถึงขนาดน้องใหม่บางคนวิ่งไปฟ้องอาจารย์ผัน อาจารย์ขับรถหนีไปเลย ส่วนที่ประทับใจก็คงจะเป็นตอนทำกิจกรรม ได้ทำขบวนดุริยาค์และเดินพาเหรด ต้องคัดเลือกตัวรุ่นน้องเข้ามาซ่อมตีกลอง ส่วนใหญ่มีแต่พวกซ่า ๆ ทั้งนั้น ก็มี หวี่, หวาด, เกด, เนตร ฯลฯ ซ้อมกันทุกเย็นจนมีน้อง ๆ บางคนยังจำคำเรียกซ้อมว่า "สะพายกลอง" ได้จนทุกวันนี้ | |
|
จบ ปวช.แล้วผมก็ไปสอบที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตพณิชยการพระนคร ปีแรกสอบสาขาโฆษณา ด้วยความอยากเป็น Artist เพราะชอบด้านศิลปะแต่ดันมาอยู่สายพาณิชย์ แต่ก็แห้วตั้งแต่ปีแรกเลยครับ ต้องเรียนรามฯ อยู่ 1 ปีเต็ม แล้วก็มาสอบใหม่ เลยสอบสาขาที่ถนัดคือบัญชี แล้วก็ติดจนได้ ที่เลือกที่พาณิชยการพระนครก็เพราะอยู่ติดกับทำเนียบรัฐบาล (จริง ๆ นะ) ดูแล้วเหมือนอยู่กรุงเทพฯ จริง ๆ อีกอย่างที่วิทยาลัยแห่งนี้เคยเป็นวังของเสด็จพ่อ กรมหลวงชุมพรฯ ทุกอย่างในวิทยาลัยจึงดูขลังมาก นักศึกษาที่นี่จะรักพวกรักพ้องมาก ในวันที่ 19 ธันวาคมของทุกปี คือวันอาภากร (วันเกิดของเสด็จพ่อ) ศิษย์เก่าชาวพระนครจะไปที่วิทยาลัยพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เรียกว่าเป็นวันชุมนุมศิษย์เก่าก็ว่าได้ เพื่อนที่เขายังคบผมอยู่หรือครับ ก็มี บู, ยิ้ม, เจี๊ยบ, เปิ้ล, หมู, วิ, นิด, โก๋, เล็ก, บุ๋ม ฯลฯ เรียนปีแรกแทบกระอัก เพราะเจอวิชาบัญชีตำราเป็นภาษาอังกฤษ (ความรู้สึกเหมือนกับเรียนปริญญาโทยังไงก็ไม่รู้) แต่ก็เอาตัวรอดไปได้ ก่อนจบสอบวันสุดท้ายเรานัดกันทั้งห้องเรียนไปเดินกันที่สีลม พัฒน์พงศ์ แต่งชุดนักศึกษากันหมดเลย (นิสัยไม่ดีอีกแล้ว) คิดดูแล้วกันครับเดินพัฒน์พงศ์ กัน 36 คนชุดนักศึกษาหมดทุกคนเลย แต่ไม่ได้เข้าไปในผับนะครับ เพราะเกรงว่าพวกนักเที่ยวทั้งหลายคิดว่าพวกเราจะให้มากรอกแบบสอบถาม |
|
จบ ปวส.หลังจากนั้นผมก็มาทำงานที่ธนาคารทหารไทย เป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานและมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง แรกสุดผมฝึกงานก่อนที่แผนกพัสดุ ผมถูกส่งตัวจากสำนักงานใหญ่ให้ไปฝึกงานที่นั่น อยู่แถวรามคำแหง เข้าไปแทบไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่ามาทำงานแบงก์ เพราะว่าเป็นโกดังเก่า ๆ สำหรับเก็บพัสดุของธนาคาร แถมพนักงานยังใส่เสื้อยืดทำงานกันทุกคน ผมเลยเก็บความคิดพี่ ๆ ที่นี่เป็นกันเองกับน้องใหม่มาก อยู่ได้ประมาณ 3 เดือนก็ผ่านโปรเข้ามาสำนักงานใหญ่ เข้ามาอยู่ที่ฝ่ายสินเชื่อโครงการ ได้พบกับเพื่อนรักในวัยทำงานคือ วุฒิ, ต้อม, ตั๋น (จนป่านนี้ไม่รู้หายหัวไปไหนแล้ว) ช่วงนั้นเป็นช่วงวัยเที่ยวจริง ๆ อยู่ได้ 3 ปีก็โดนเรียกตัวไปประจำที่สำนักงานกรรมการผู้จัดการใหญ่ ช่วงนั้นมี ดร.ทนง พิทยะ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่จ๊าบที่สุดในวัยทำงาน เนื่องจากอยู่ใกล้ผู้ใหญ่ เวลาติดต่องานกับฝ่ายไหนจะได้รับความสะดวกตลอดเวลา มาระยะหลัง ๆ ก็เริ่มเบื่ออะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งเบื่อกรุงเทพฯ และเบื่องานที่จำเจ เลยตัดสินใจกลับบ้านเกิด (หาดใหญ่) |