ประวัติ พระสังวรานุวงศ์เถร ( เอี่ยม ) |
พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า เอี่ยม ท่านเป็นบุตรคหบดี บิดามีนามว่าเจ้าสัว เส็ง มารดามีนามว่า จันเกิดเมื่อ วันเสาร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๙๓ ตรงกับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลที่ ๓ ที่บ้านท่าหลวง ริมคลองบางหลวง อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี มารดาบิดา ได้นำท่านมาฝากตัวเป็นศิษย์ พระญาณโกศลเถร(รุ่ง) ต่อมาท่านอายุ๑๕ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระญาณโกศลเถร(รุ่ง) เรียนอักขรสมัยในสำนัก พระอมรเมธาจารย์(ทัด) เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ตรงกับปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๕ ในรัชกาลที่๔ ได้อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม พระญาณโกศลเถร(รุ่ง) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวร(บุญ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอมรเมธาจารย์ (ทัด)เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วภายในพรรษานั้น พระญาณโกศลเถร(รุ่ง) พระอุปัชฌาย์ ของท่านก็ถึงมรณะภาพลง ต่อมาได้ศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระญาณสังวรเถร(บุญ) แล้วมาศึกษาต่อ กับพระโยคาภิรัติเถร (มี) แล้วมาศึกษาเพิ่มเติม กับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) จนเชี่ยวชาญ จบทั้งสมถะวิปัสสนากัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ต่อมาได้ท่าน ศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ กับพระอมรเมธาจารย์ (เกษ) ครั้งเป็นพระปลัดเกษ และ เหตุที่ไม่ได้เรียนบาลีมูลกัจจายน์ กับพระอมรเมธาจารย์(ทัด) พระอนุสาวนาจารย์ เพราะท่านชราทุพพลภาพมากแล้ว เมื่อออกพรรษาของทุกปี ท่านได้ออกสัญจรจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ กับพระอาจารย์บ้าง ไปเองบ้าง ไปทุกแห่งหน ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ พรรษาที่เจ็ด ได้เป็นพระปลัด ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ) และทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์บอกพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ แก่พระภิกษุสามเณรด้วย ในพรรษานั้นเองท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะหมวดด้วย คนทั้งหลายมักเรียกท่านว่าพระปลัดเอี่ยมใหญ่ พระปลัดเอี่ยมเล็กคือ ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี แต่ยังมีพระครูสังวรสมาธิวัตรนามว่า เอี่ยม อีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ที่เรียกกันว่าปลัดเอี่ยมใหญ่ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๕ พรรษาที่สิบ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็น พระครูสังวรสมาธิวัตร พระคณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ นิตยภัต ๑ ตำลึง ๒ บาท ปีนั้นเองได้มี เจ้านายในรัชกาลที่ห้า ถวายพัดลอง ทำด้วยใบลาน ให้ท่านหนึ่งด้าม สำหรับผู้เป็นประธานสงฆ์ ใช้บอกศีล และอนุโมทนากถา ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระกัมมัฏฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มีนิตยภัต ๓ ตำลึง ควรตั้งถานานุศักดิ์ได้ ๓ รูปคือ พระปลัด ๑ พระสมุห์ ๑ พระใบฏีกา ๑ ได้รับพระราชทานพัดงาสาน ทรงพระราชทานบาตรฝาประดับมุก จ.ป.ร. เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระวัดราชสิทธารามองค์ต่อมา และรักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี เจ้าคณะธนบุรี ถวายนิตยภัตเพิ่มอีก ๒ บาท เป็น ๓ ตำลึง ๒ บาท (๑๔บาท) การศึกษาสมัยท่าน การศึกษาพระวิปัสสนาธุระเจริญมาก พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระปลัดชุ่ม เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย ด้านพระกัมมัฏฐานมีพระเถรานุเถระ มาศึกษาพระกัมมัฏฐานมากมายเช่น พระภิกษุบุญ (พระพุทธวิถีนายก) วัดกลางบางแก้ว, พระภิกษุเอี่ยม(พระภาวนาโกศลเถร)วัดหนัง บางประวัติว่าศึกษากับพระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ), พระสมุห์ชุ่ม สุวรรณศร วัดอมรินทร์ , พระภิกษุมั่น หรือพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ให้พระอาจารย์มั่นไปศึกษาต่อกับ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโร ซึ่งเป็นศิษย์วัดพลับมาแต่เดิม, พระวินัยธรรมเจ๊ก วัดศาราลี ตลาดขวัญ,พระอาจารย์โหน่ง สุพรรณบุรี พระอาจารย์น้อย สุพรรณบุรี ต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ให้ทั้งสองท่านไปเรียนต่อกับพระอาจารย์เนียม ซึ่งเป็นศิษย์วัดพลับมาแต่เดิม,พระภิกษุปาน(วัดบางเหี้ย)ฯลฯ การเรียนพระปริยัติธรรมเรียนภายในวัด พระมหาสอน เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๑ จัดงานพระราชทานเพลิงศพ อดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามพร้อมกัน ๓ องค์ พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ท่านมีอุปนิสัย รักสันโดด มีของสิ่งใดมักจะให้ทานแก่ผู้อื่นหมด เมื่อท่านไปกิจนิมนต์ ได้ไทยทานมา ท่านจะนำมาแจกทานแก่พระภิกษุสามเณร ภายในวัดจนหมด แม้ของในกุฏิท่านก็ให้ทานจนหมด ท่านมีมรดก มารดาบิดายกให้ ท่านก็ไม่เอา ยกให้พี่น้องหมด ชาวบ้านมักเรียกขานนามท่านว่า หลวงพ่อใจดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ตรัสเรียกนามท่านว่า หลวงพ่อผิวเหลือง เพราะผิวท่านเหลืองดังทอง สมัยท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมีพรหมวิหารแก่กล้ามาก กล่าวว่า อีกาตาแวว อีกาขาว มักมาเกาะอยู่ที่กุฎิของท่านเสมอ เวลาท่านไปไหนมาไหนในวัดพลับ พวกอีกาตาแวว อีกาขาว มักบินตามท่านไปเสมอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระเมตตา ท่านเจ้าคุณพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม)มาก ถึงคราวพระราชทานผ้าพระกฐินทาน ณ.วัดราชสิทธาราม ต้องเสด็จมาทรงเยี่ยม ท่านก่อนเสมอ ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ทรงพระราชทานเตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่๔ ถวายพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม พร้อมกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำการซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์ในบริเวณคณะ๑ กุฎเจ้าอาวาส ที่สร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่๓ และรัชกาลที่ ๔ พร้อมกันนั้นทรงโปรดเกล้าฯให้ช่างทาพื้นกุฎิด้วยชาดแดง พร้อมทาชาด เตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่๔ ประดิษฐานไว้ที่กุฎิคณะ๑ อันเป็นกุฎิพำนักของเจ้าอาวาส ปัจจุบันนี้เตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่๔ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ คณะ๕ วัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๐ นั้นพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ท่านชราทุพพลภาพลงมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระราชทาน แคร่คานหาม ที่เก็บรักษาไว้ที่วัดราชสิทธาราม เดิมรัชกาลที่ ๓ พระราชทานให้พระเทพโมลี (กลิ่น) พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ทรงพระราชทานแคร่คานหาม พร้อมกับมีบรมราชโองการประกาศว่า ถ้าใครนิมนต์ หลวงพ่อผิวเหลือง ซึ่งหมายถึงพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) บางที่ก็เรียกท่านว่า หลวงพ่อใจดี ไปกิจนิมนต์ ต้องถวาย ๑ ตำลึง บางแห่งว่าถ้านิมนต์ท่านไปเกิดเจ็บป่วยต้องจ่าย ๑ ตำลึง ทั้งนี้เพราะมีพระราชประสงค์ ไม่ให้ใครมารบกวนท่าน เพราะท่าน ชราทุพพลภาพมาก แต่นั้นมาเมื่อท่านไปกิจนิมนต์ ได้ปัจจัยไทยทานกลับมา ท่านก็จะเอาไว้ที่หอฉัน แล้ว ประกาศว่า พระภิกษุสามเณร ขาคปัจจัยไทยทานสิ่งใดให้มาหยิบเอาที่หอฉัน แต่นั้นมาท่านมีของสิ่งไรท่านก็บริจาคจนหมด ไม่เหลือ เหลือแต่อัฏฐะบริขารเท่านั้น ปัจจุบัน แคร่คานหาม พระราชทาน ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ ที่พิพิธภัณฑ์กัมมัฏฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม(พลับ) สมัยที่ท่านครองวัดนั้น มีพระภิกษุสามเณร ปะขาว ชี มาศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับท่านกันมากมาย ท่านมีศิษย์ทั้งในเมือง และหัวเมือง ยุคของท่านนั้นมีชื่อเสียงมากทางปฎิบัติภาวนา เป็นที่เกรงใจของคณะสงฆ์ และในสมัยนั้นยังไม่มีสำนักพระกัมมัฏฐานที่ไหนเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มีสำนักวัดราชสิทธารามเป็นสำนักใหญ่แห่งเดียว เพราะเป็นวัดอรัญวาสีมาแต่เดิม เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ จะมีผู้คนเอาเงิน มาใส่พานให้ท่านทุกวัน ท่านก็จะเอาเงินนั้นแจกทานจนหมดทุกวัน โดยให้มาหยิบเอาเอง มีเรื่องเล่าว่า เมื่อคราวที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ เสด็จพระราชดำเนินมา ทอดผ้าพระกฐินทาน ต้องมากราบนมัสการ พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ทุกครั้ง คราวนั้นพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม)วัดพลับ จะเอาของมาตั้งรับเสด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระมงคลเทพมุนี(เอี่ยม)ได้บอกกับ พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม)ว่า ของนี้ให้ยืมไว้รับเสด็จ ห้ามให้ใคร ที่บอกอย่างนี้เพราะมีของอะไรใกล้มือ ท่านจะให้ทานหมด เมื่อมีคนขอ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ท่านมีสติสัมปชัญญะรู้ตัว ก่อนมรณะภาพประมาณเจ็ดวัน เมื่อสิริรวมอายุได้ ๘๒ ปีพรรษา ๖๑ ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ๒๖ ปี ท่านเป็นพระสังฆเถรที่มีชื่อเสียงผู้คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น กล่าวว่าเมื่อท่านมรณะภาพไม่นาน คณะศิษยานุศิษย์ ทั้งฝ่ายสงฆ์ และฝ่ายฆราวาส ทราบข่าวพากันมาเคารพศพท่านกันแน่นลานวัด สรีระของท่าน คณะศิษยานุศิษย์เก็บไว้บำเพ็ญกุศล ประมาณ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๑) จึงพระราชทานเพลิงศพ และอีกประการหนึ่งเวลานั้น ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี(เอี่ยม) ซึ่งเวลานั้นลาออกจากเจ้าอาวาสและยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อาพาธกระเสาะกระแสะเรื่อยมา ทางคณะกรรมการวัด และคณะศิษยานุศิษย์ เกรงว่าจะมีงานศพซ้อนกัน เหมือนกาลก่อน จึงได้พระราชทานเพลิงสรีระสังขาร พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม)ก่อน ส่วนหีบชั้นในที่ใส่สรีระของพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม)นั้น ท่านเจ้าคุณพระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม)ได้นำมาต่อเป็นเตียงไว้จำวัด สำหรับปลงพระกัมมัฏฐาน เป็นการกำหนดสติระลึกถึงความตายเนืองๆ ต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม) และคณะศิษยานุศิษย์ ได้หล่อรูปพระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ประดิษฐานไว้ที่มุมเจดีย์ด้านหน้าพระอุโบสถ ข้างทิศเหนือ เป็นที่สักการบูชามาจนทุกวันนี้ เมื่อคราวงานพระราชทานเพลิงศพ พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม)นั้น ประมาณปรพระพุทธศักราช ๒๔๖๑ สมเด็จกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จมาเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์
|