ประวัติ
พระญาณสังวร(ด้วง)

 
 
         (ตัดคำว่า เถร ออก เพราะต่อมาคำรงตำแหน่งพระราชาคณะผู้ใหญ่ ในราชทินนามเดิม เทียบเท่าตำแหน่ง พระพุฒาจารย์)

        พระญาณสังวร หรือพระอาจารย์ด้วง ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๒๘๙ - ๒๒๙๐ ในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ท่านบรรพชา-อุปสมบท ประมาณปลายกรุงศรีอยุธยา ที่วัดน้อยใน แขวงกรุงเก่า ในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์

         อุปสมบทแล้วไม่นาน บ้านเมืองไม่สงบ ท่านจึงจาริกออกไปจำพรรษา ณ วัดป่า แขวงอุตรดิตถ์ พระอาจารย์ด้วง พบพระอาจารย์สุก ที่ป่าลึก แขวงเมืองพิษณุโลก สมัยเริ่มต้นธนบุรี

        พระอาจารย์ด้วง เกิด ความเลื่อมใสในปฏิปทาอันงาม ของพระอาจารย์สุก จึงติดตามพระองค์ท่านมาอยู่ที่วัดท่าหอย ประมาณต้นปีพระพุทธศักราช ๒๓๑๑ ท่านเดินทางสัญจรจาริกมาพร้อมเพื่อนสหธรรมิก ๓-๔ องค์ แต่ได้แยกย้ายกันระหว่างทาง

        พระอาจารย์ด้วง ท่านมาสถิตวัดท่าหอยแล้ว ท่านได้ศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระอาจารย์สุก อยู่นานประมาณ ๕ เดือนจึงจบ ทั้งสมถะ-วิปัสสนามัชฌิมา แบบลำดับ

        ต่อมาพระอาจารย์ด้วง ท่านได้เล่าเรียนศึกษา พระบาลีมูลกัจจายน์ หรือพระบาลีใหญ่ กับพระอาจารย์สุก จนสิ้นความรู้พระบาลีเบื้องต้นจากพระอาจารย์สุก ต่อมาพระอาจารย์สุก ส่งพระอาจารย์ด้วง พร้อมกับพระอาจารย์แก้ว มาศึกษาพระบาลีชั้นสูง ต่อที่กรุงธนบุรี ณ วัดสลัก กับพระศรีสมโพธ์(ศุก)

       ต่อมาภายหลัง ประมาณปลายรัชสมัยธนบุรี เกิดมีการจราจลวุ่นวาย พระอาจารย์ด้วง และพระอาจารย์แก้ว จึงออกสัญจรจาริกธุดงค์ หนีการจราจลวุ่นวาย ออกเดินทางไปทางเหนือ จำศีลภาวนาอยู่ ณ ป่าลึก แขวงเมืองอุตรดิตถ์

        ปีพระพุทธศักราช. ๒๓๓๐ ท่านทราบข่าวว่า พระอาจารย์สุก หรือพระญาณสังวรเถร(สุก) พระอาจารย์ใหญ่ มาสถิต ณ.วัดพลับ จึงเดินทางจาริก ออกมาจากวัดป่า แขวงเมืองอุตรดิตถ์ มาวัดพลับ มาครั้งนั้นท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์แก้ว มากราบนมัสการพระอาจารย์สุก พร้อมกับมาขอศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ต่อกับพระญาณสังวรเถร(สุก) กาลต่อมาพระญาณสังวรเถร(สุก) แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในรุ่นแรกๆของวัดพลับ

        ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นพระครูปลัด ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่หนึ่ง ของสมเด็จพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)

         ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ ณ. วันพฤหัส เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมะโรง โทศก ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณสังวรเถร พระคณาจารย์เอก เมื่ออายุได้ ๗๓ ปี นิตย์ภัต ๒ ตำลึงกึ่ง รับพระราชทานพัดงาสาน สมัยที่ท่านดำรงชีวิตอยู่ ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียง ผู้คนนับถือเคารพยำเกรงมาก

      กล่าวว่า ท่านมีความประพฤติ วัตรปฏิบัติงดงาม ทรงคุณธรรมสูงอย่างบูรพาจารย์มี สมเด็จพระสังฆราช(สุก ไก่เถื่อน) เป็นต้น

         ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ ท่านได้รับอาราธนาจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๒ ให้เข้าร่วมเป็นพระคณะกรรมการ เข้าควบคุมการสอบสมาธิจิต ในการทำสังคายนาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์

          ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ ประมาณปลายปี เป็นคณะกรรมการ หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน    
          ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ พระญาณสังวรเถร(ด้วง) นิตยภัตเดิม ๒ ตำลึงกึ่งได้รับพระราชทานนิตยภัต เพิ่มอีกกึ่งตำลึง เป็น ๓ ตำลึง ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี และเป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม

การศึกษาสมัยท่านครองวัดราชสิทธาราม

        ด้านการศึกษาวิปัสสนาธุระ พระญาณสังวรเถร(ด้วง) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระครูศีลวิสุทธิ์(รุ่ง) ๑ พระครูศีลสมาจารย์(บุญ) ๑ พระอาจารย์มี ๑ พระอาจารย์เมฆ ๑

       ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมบาลี พระมหาทัด เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์มหาเกิด ๑ พระอาจารย์มหาเกด ๑

         ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ ต้นปี ได้รับพระราชทานนิตยภัตเพิ่มเป็น ๔ ตำลึงกึง

        ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ กลางปีพระญาณสังวรเถร(ด้วง) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ในราชทินนามเดิมที่ พระญาณสังวร (ตัดคำว่า เถร ออก) ได้รับพระราชทานนิตยภัตเป็น ๕ ตำลึง สูงกว่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ว่างมาแล้ว ๗ ปี มีสร้อยนามดังนี้

สำเนา แต่งตั้ง

      ให้พระญาณสังวรเถรเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระญาณสังวร สุนทรสังฆเถรา สัตตวิสุทธิ์ จริยาปรินายก สปิฏกธรา มหาอุดมศิลอนันต์ อรัญวาสี สถิตในวัดราชสิทธาวาส พระอารามหลวง

        ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระราชทานพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ให้พระญาณสังวร(ด้วง)อีก ๑ ด้าม พระราชทานพัดงาสาน ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๑ ด้าม

         เวลานั้นพระญาณสังวร(ด้วง) ท่านมีพรรษายุกาลมากกว่า พระมหาเถรผู้ใหญ่ทั้งปวงในสมัยนั้น โดยเฉพาะท่านมีพรรษายุกาลมากกว่า สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) เมื่อมีกิจนิมนต์ในพระบรมมหาพระราชวัง พระญาณสังวร(ด้วง) นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) สมัยนั้นพระสงฆ์เคารพพรรษา เคารพพระวินัย เคารพคุณธรรมเป็นอย่างยิ่ง พระญาณสังวร(ด้วง) ท่านเป็นสัทธิวิหาริก เป็นศิษย์พระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน และเป็นอาจารย์ของสมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) เวลานั้นยังไม่ ทรงยกเลิกธรรมเนียมอาวุโสทางพรรษา

       อธิบาย ตำแหน่งพระญาณสังวรเถร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ทรงแต่งตั้งเมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ ทรงอาราธนาพระอาจารย์สุก มากรุงเทพ ทรงแต่งตั้งเป็น พระญาณสังวรเถร เจ้าคณะรองอรัญวาสี ต่อมาเป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี เมื่อคราวสถาปนาเป็นสมเด็จราชาคณะ ส่วนเจ้าคณะรองอรัญวาสีเดิม คือพระญาณไตรโลก อยู่วัดเลียบ เลื่อนเป็นที่พระพรหมมุนี ในรัชกาลที่ ๑ ตำแหน่งพระญาณไตรโลกจึงว่างลง

         อนึ่ง หลวงธรรมรักษา เจ้ากรมสังการีขวา ในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นอดีตพระพิมลธรรม มาก่อนนั้น ต้องสึกครั้งแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี ว่าต้องอธิกรอทินนาทาน ทรงแคลงพระราชหฤทัยอยู่ จึงทรงให้พิจารณาไล่เลียงดูใหม่แล้ว ทรงเห็นว่าบริสุทธิ์อยู่หาขาดสิกขาไม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บวชเข้ามาใหม่ ให้เป็นพระญาณไตรโลก อยู่วัดสลัก(วัดมหาธาตุ) แต่นั้นมาตำแหน่ง พระญาณไตรโลก ก็เป็นตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ,

         จากหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัด สมุดไทยดำ เล่มที่ ๑๐ เลขที่ ๒ ง. ๒๘ ว่า พระพิมลธรรม ๑ พระธรรมอุดม ๑ พระญาณสังวร ๑ พระมหาสุเมธ ๑ พระพุทธโฆษา ๑ พระพรหมมุนี ๑ พระธรรมเจดีย์ ๑ พระธรรมไตรโลก ๑ พระธรรมราชา ๑ ราชาคณะผู้ใหญ่ ๙ องค์นี้ ถึงแก่มรณะภาพเข้าโกศ

        ตำแหน่งพระญาณสังวร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี วัดราชสิทธาราม(พลับ) เมื่อมรณะภาพเข้าโกศมี ๓องค์คือ

           ๑.พระญาณสังวรเถร (สุก) ทรงแต่งตั้งพ.ศ. ๒๓๒๖ เป็นเจ้าคณะรองอรัญวาสี พ.ศ. ๒๓๕๙ สถาปนาเป็นสมเด็จราชาคณะ ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี สิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๒ พระราชทานพระโกศทองใหญ่

       ๒.พระญาณสังวรเถร(ด้วง) ทรงแต่งตั้งพ.ศ. ๒๓๖๓ ตำแหน่งเจ้าคณะรองอรัญวาสี ต่อมาพ.ศ. ๒๓๖๙ เลื่อนเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ในราชทินนามเดิมที่ พระญาณสังวร สูงกว่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ดำรงค์ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มรณะภาพในรัชกาลที่ ๓ พระราชทานโกศเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี

       ๓.พระญาณสังวรเถรเถร(บุญ) ทรงแต่งตั้งพ.ศ. ๒๓๘๖ เป็นเจ้าคณะรองอรัญวาสี ปีนั้นทรงแต่งตั้งพระพรหมมุนี(สนธ์)วัดสระเกศ เป็นพระพุฒาจารย์ด้วย พ.ศ. ๒๓๘๘ พระญาณสังวรเถร(บุญ)เลื่อนที่เป็นราชาคณะผู้ใหญ่ ในราชทินนามเดิมที่ พระญาณสังวร เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ให้พระพุฒาจารย์(สน) เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี กิตติมาศักดิ์ พระญาณสังวร(บุญ)มรณะภาพในรัชกาลที่ ๔ พระราชทานโกศเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี

สิ่งที่พระญาณสังวร(เถร) ทรงเหมือน และเหมือนกันคือ

        ๑.ได้รับพระราชทานพัดสองด้ามคือ พัดงาสานฝ่ายวิปัสสนาธุระ๑ พัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สำหรับตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ๑ แต่ต่างชั้นกัน

       ๒.นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากทั้งสามท่านมีพรรษายุกาลมากกว่า สมเด็จพระสังฆราชถึง ๑๕ พรรษา คณะสงฆ์ราชาคณะสมัยรัชกาลที่ ๑-๒-๓ ถืออาวุโสทางพรรษาตามพระธรรมวินัยมาก่อนอาวุโสทางสมณศักดิ์ เรื่องนี้ถกเถียงกันมานาน มาเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯถืออาวุโสทางสมณศักดิ์

       ๓.เป็นรัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนาน เป็นพระอาจารย์กัมมัฏฐานของ สมเด็จพระสังฆราช พระเถรผู้ใหญ่ และได้การยอมรับนับถือจากพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ วงศ์การคณะสงฆ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อยว่า เป็นผู้ทรงคุณธรรมสูง ทรงคุณวิเศษในพระพุทธศาสนา

        สมเด็จพระญาณสังวร(สุก)ไก่เถื่อน ทรงนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช(มี)

        พระญาณสังวร (ด้วง) นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช(ด่อน)

       พระญาณสังวร(บุญ) นั่งหน้าสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ต่อมาถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงยกเลิก ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ให้คำรง ตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก แทน

      เหตุที่ พระญาณสังวร(บุญ) นั่งหน้าพระเถรผู้ใหญ่ทั้งปวงเวลานั้นเพราะท่านมีพรรษายุกาลมากกว่าพระเถรทั้งปวงถึง ๑๐ กว่าพรรษา

       ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๙ สมเด็จพระสังฆราช(นาค) วัดราชบูรณะ ได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช ขณะมีพระชนมายุได้ ๘๕ พรรษา ทรงปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ๓ ปี ต่อมาทรงชราทุพพลภาพ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ทรงทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ๓ ปี

       พระญาณสังวร(บุญ)(เกิด๒๓๑๗) นั่งหน้ากรมหมื่นนุชิตชิโนรส(ประสูติ๒๓๓๓) เพรามีชนมายุพรรษามากกว่า กรมหมื่นนุชิตชิโนรสถึง ๑๖ พรรษา ต่อมาปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๒ สมเด็จพระสังฆราช(นาค) วัดราชบูรณะ และสมเด็จพระพนรัตน์(ฤกษ์)วัดระฆัง มรณะภาพลง ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตำแหน่งสมเด็จพระพนรัตนว่างลง เวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ยังไม่ทรงสถาปนา ทรงปล่อยว่างไว้ทั้งสองตำแหน่ง เป็นเวลาถึงสองปี ทรงมาสถาปนาในรัชกาลที่ ๔ รวมทั้งตำแหน่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็ว่างเช่นกัน เวลานั้นคงมีแต่ ตำแหน่งพระพุทธโฆษาจารย์(ฉิม) วัดโมลีโลก พระพุฒาจารย์(สนธิ์) วัดสระเกศ

        ครั้งนั้น พระญาณสังวร(บุญ) ท่านเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ในราชทินนามเดิม จึงมีพรรษายุกาลมากที่สุด จึงนั่งหน้าพระมหาเถรทั้งปวง แต่ท่านไม่ได้นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช(นาค) เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราช(นาค)มีพรรษามากกว่าพระญาณสังวร(บุญ) ถึง ๑๖ พรรษา แต่พระญาณสังวร(บุญ)ท่านนั่งหน้ากรมหมื่นนุชิตชิโนรสฯ

         ต่อมาปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๔ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯได้ทำพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก สถาปนากรมหมื่นนุชิตชิโนรสฯเป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก แทนตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เดิม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งตั้ง ตำแหน่งพระราชาคณะผู้ใหญ่ ที่ว่างอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่๓ ดังนี้………..

         ให้พระธรรมอุดม(เซ่ง) วัดอรุณราชวราราม เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระวันรัต

      ให้พระพุทธโฆษาจารย์(ฉิม) วัดโมลีโลก เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ โปรดเกล้าฯให้ย้ายไปครองวัดมหาธาตุฯ

         ให้พระพุฒาจารย์(สนธิ์) วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์

      ครั้งนั้นพระญาณสังวร(บุญ) ยังคงนั่งหน้าพระมหาเถรทั้งปวง เพราะเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่มีพรรษาสูงกว่าพระมหาเถรทั้งปวง

        สมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๒ พระองค์ สมเด็จสกลมหาสังฆปริณายก ๑ องค์ คือสมเด็จพระสังฆราช(มี) สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) และกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส สกลมหาสังฆปริณายก ล้วนทรงเป็นศิษย์เสด็จมาทรงศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในสำนักสมเด็จพระสังฆราช(สุก ไก่เถื่อน) ในครั้งนั้นพระญาณสังวร(ด้วง) พระญาณสังวร(บุญ) เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกัมมัฏฐาน

      ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสฯ ยังได้ทรงมาต่อพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระญาณสังวร(ด้วง) พระญาณสังวร(บุญ) เนืองๆก่อน และหลังสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช และสกลมหาสังฆปรินายก

       ๔.พระญาณสังวรทั้งสามพระองค์ ได้รับพระราชทานพระโกศ และโกศ จากพระเจ้าแผ่นดิน แต่โกศนั้นต่างชั้นกัน ตำแหน่งพระญาณสังวร สุนทรสังฆเถราฯ เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี เมื่อมรณะภาพเข้าโกศ

       สมัยรัชกาลที่๔ ทรงแต่งตั้งตำแหน่ง พระสังวรานุวงศ์เถร แทนตำแหน่ง พระญาณสังวรเถร ชั้นสามัญเดิม ตำแหน่งพระญาณสังวรเถรเดิมนั้น ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ สูงกว่าตำแหน่ง พระพุฒาจารย์

 

         ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๓–๒๓๗๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว ทรงให้สถาปนาพระสถูปเจดียย่อมุมไม้สิบสอง พร้อมเจดีย์เล็ก ล้อมเป็นบริวาร ๔ ทิศ ไว้ที่หน้าพระอุโบสถ ด้านทิศใต้ เพื่อบรรจุ พระอัฏฐิธาตุ ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน พระอาจารย์สี พระญาณโพธิ์เถร(ขาว) พระวินัยรักขิต(ฮั้น) พระครูวินัยธรรม(กัน) พระญาณวิสุทธิ์เถร(เจ้า) พระญาณโกศลเถร(มาก) พระเทพโมลี(กลิ่น) พระปิฏกโกศล(แก้ว) และพระอาจารย์ดำ

         ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๕ พระญาณสังวรเถร(ด้วง) ครองวัดราชสิทธารามอยู่ประมาณ ๔ ปี ทางวัดประยูรวงศ์เกิดเหตุการณ์บางอย่าง เนื่องจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ผู้สร้างวัดถึงแก่พิลาลัย

         พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯให้อาราธนานิมนต์ พระญาณสังวร(ด้วง) ผู้เป็นศิษย์ สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ไประงับเหตุ และให้ไปครองวัดประยูรวงศ์ด้วย

        สมัยนั้นท่านเป็นพระมหาเถระที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เจ้านายในพระราชวงศ์ ทางราชการคณะสงฆ์ และบรรดาญาติโยมทั้งหลาย ให้ความเคารพนับถือยำเกรงท่านเป็นอันมาก ท่านเป็นผู้ทรงคุณธรรมสูง ทรงคุณวิเศษในพระพุทธศาสนา เป็นรัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน ผู้คนทั้งหลายในสมัยนั้น มักเรียกขานนามของท่านว่า หลวงปู่ใหญ่ เมื่อหลวงปู่ใหญ่ ไปครองวัดประยูรวงศ์แล้ว เรื่องราวต่างๆก็สงบราบคาบลง ท่านครองวัดประยูรวงศ์แล้ว ท่านก็ยังคงครองวัดพลับอยู่เช่นเดิมด้วย ท่านครองทั้งสองพระอาราม ท่านไปๆมาๆ ระหว่างวัดพลับ กับวัดประยูรวงศ์ กลางวันไปวัดประยูรฯ กลางคืนมาวัดพลับ ที่วัดพลับท่านมีภาระหน้าที่ใหญ่คือ เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

        ในสมัยนั้นมีพระสงฆ์มาศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ที่วัดพลับกันมากมาย พระญาณสังวร(ด้วง)จึงแต่งตั้งให้ พระครูญาณมุนี(สน) ๑ พระครูญาณกิจ(ด้วง) ๑ พระอาจารย์รุ่ง ๑ พระอาจารย์บุญ ๑พระอาจารย์มี ๑พระอาจารย์เมฆ ๑ และอีกหลายท่านที่ไม่ปรากฏนาม เป็นผู้ช่วยท่านบอกพระกัมมัฏฐาน รักษาความเรียบร้อย ของวัดราชสิทธาราม

        เหตุนั้นคนทั้งหลายจึงเรียกขานนามท่านว่า หลวงปู่ใหญ่ เพราะท่านควบคุมพระอาจารย์บอกพระกัมมัฏฐาน วัดพลับถึง ๑๐ กว่าองค์ เหตุที่ท่านปกครองทั้งสองวัด เพราะพระสงฆ์ที่วัดพลับ และวัดประยูรส่วนใหญ่เวลานั้นเป็นสัทธิวิหาริก และเป็นศิษย์ของท่าน เคารพในพระอาจารย์ผู้มีคุณธรรมสูง เมื่ออาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังไม่มีใครกล้าทับที่ตีเสมอครูบาอาจารย์

       เวลานั้น พระสงฆ์ในกรุงนอกกรุง และหัวเมืองใกล้เคียง ล้วนเดินทางมาศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับในสำนักพระญาณสังวร(ด้วง) กันเป็นอันมาก เพราะเป็นวัดกัมมัฏฐานหลักวัดอรัญวาสีใหญ่ เสมือนมหาวิทยาลัยกัมมัฏฐานที่มีชื่อเสียง ทางราชสำนักจึงได้ถวายนิตยภัต แก่พระสงฆ์ที่มาศึกษาพระกัมมัฏฐานในวัดราชสิทธารามนี้ด้วย

       ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๙ ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคชรา อยู่ที่วัดประยูร ต่อพระญาณสังวร(ด้วง) ขอย้ายมาพักฟื้น อยู่วัดราชสิทธาราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เสด็จมาทรงเยี่ยมอาการอาพาธของพระญาณสังวร(ด้วง) เนื่องจากทรงคุ้นเคยกับพระญาณสังวร(ด้วง)มาช้านาน แต่ครั้งพระองค์ทรงผนวชอยู่ที่วัดราชสิทธาราม และทรงนับถือว่าพระญาณสังวร(ด้วง) เป็นพระอาจารย์องค์หนึ่ง

         เมื่อพระญาณสังวร(ด้วง) ถึงแก่มรณะภาพลงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชทานโกศเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ถวายพระญาณสังวร(ด้วง) ตามตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี

          ก่อนพระญาณสังวร(ด้วง) จะถึงแก่มรณะภาพที่วัดราชสิทธารามนั้น ท่านได้มอบไม้เท้าไผ่ยอดตาลของ สำคัญประจำวัด ประจำพระกัมมัฏฐาน ไว้ให้แก่พระอาจารย์บุญ หรือพระญาณสังวร(บุญ) ผู้สืบทอดพระกัมมัฏฐานองค์ต่อมา

         ทรงคณะสงฆ์วัดราชสิทธาราม ตั้งสรีระของท่านไว้ในหีบทองทึบด้านหลังฉาก พระโกศ ตั้งไว้ด้านหน้าฉาก ตั้ง ณ. ศาลาการเปรียญหลังเก่า ด้านหลังพระอุโบสถ ท่านมรณะภาพที่วัดราชสิทธาราม ซึ่งเป็นพระอารามเดิมของท่าน สิริรวมอายุได้ ๘๙ - ๙๐ ปี สรีระของท่านเก็บบำเพ็ญกุศลไว้ถึง ๕ ปี จึงพระราชทานเพลิงศพ ณ. เมรุวัดราชสิทธาราม

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สร้างเมรุลอยทำด้วยโคลงไม้ ขึงผ้าขาว ประดับด้วยลวดลายกระดาษทอง กระดาษเงิน ห้อยพวงดอกไม้ประดับบนเมรุ

          การประดับประดาครั้งนั้นมากนัก และสวยงาม เมื่อใกล้เวลาประชุมเพลิง พระสงฆ์สมถะวิปัสสนา มากันมากมาย นั่งล้อมรอบเมรุเป็น ๓-๔ ชั้น ผู้คนแน่นขนัดลานวัด ถึงเวลาพระราชทานเพลิง เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ เหตุที่เก็บสรีระสังขารของท่านไว้นานเพราะ ท่านมีลูกศิษย์ทั้งพระสงฆ์ ฆราวาสมากมาย ตลอดระยะเวลาเกือบ ๕ ปีมีการบำเพ็ญกุศลตลอด อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ยังไม่ทรงว่างพระราชภาระกิจ การพระราชทานเพลิงศพจึงยังคงค้างอยู่หลายปี

       หลังจากงานพระราชทานเพลิง พระญาณสังวร(ด้วง) เสร็จสิ้นแล้ว เกิดเหตุการณ์ยุ่งยากขึ้นบางประการ เกี่ยวกับอัฏฐิธาตุ บริขาร และไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ของพระญาณสังวร(ด้วง) คณะญาติโยม คณะขุนนาง คณะสงฆ์ ทางวัดประยูร มาทวงอัฏฐิธาตุ บริขาร และไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ของพระญาณสังวร(ด้วง) เพื่อนำไปบรรจุ ไว้ ณ วัดประยูรวงศ์

         ต่อมา คณะญาติโยม คณะขุนนาง คณะสงฆ์ วัดราชสิทธาราม ได้มอบอัฏฐิธาตุ และบริขาร ของพระญาณสังวร(ด้วง) ให้ทางคณะญาติโยม คณะขุนนาง คณะสงฆ์ ทางวัดประยูร แห่นำไปบรรจุไว้ ณ พระเจดีย์ใหญ่ วัดประยูร อัฏฐิ และบริขาร ของพระญาณสังวร(ด้วง) จึงสถิต ณ พระเจดีย์ใหญ่ วัดประยูร จนถึงทุกวันนี้

        ส่วนไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล พระญาณสังวร(ด้วง) ท่านได้มอบให้แก่ พระอาจารย์บุญ หรือพระญาณสังวร(บุญ) วัดราชสิทธารามไว้แล้ว คณะสงฆ์ คณะญาติโยม คณะขุนนาง ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเหมาะสมแล้ว เรื่องราวทั้งหลายจึงยุติลงด้วยดี

         ทางวัดประยูรวงศ์ได้ อัฏฐิธาตุ และบริขาร ของ พระญาณสังวร(ด้วง) ทางวัดราชสิทธาราม ได้ไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ของพระญาณสังวร(ด้วง) อันสืบทอดมาแต่โบราณกาล ครั้งสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ยังทรงพระชนม์อยู่