ประวัติวัดราชสิทธาราม (พลับ) |
||||||||||
|
||||||||||
วัดราชสิทธาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท
ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ใกล้คลองบางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ
และใกล้ถนนอิสรภาพ ด้านตะวันตก แขวงท่าพระ
เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ |
||||||||||
หลังจากสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร เจษฏาบดินทร์ ทรงผนวช และทรงลาผนวชแล้ว ทรงมีพระดำริว่า จะบูรณะพระประธานที่วัดพลับนั้นขึ้นใหม่ ให้วัฒนาถาวรดีขึ้นกว่าเดิม ครั้นถึง วันพฤหัสบดี ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๗๑ เป็นฤกษ์ดี เป็นมหาสิทธโชค เพลาสามโมงเช้า เก้าบาท กรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ จึงขอพระบรมราชานุญาติ จากสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ขอบูรณะอง๕พระปฏิมาประธานวัดราชสิทธาราม โดยปั้นพระพุทธรูป ปูนปั้น คลอบองค์ พระพุทธรัตนจักร พระพุทธรูปทองสำริด พระประธานในพระอุโบสถ วัดราชสิทธารามนั้น ครั้งนั้น มีช่างพระสงฆ์ทางวัดราชสิทธาราม ๓ องค์ มีท่านขรัวตาดำ เป็นหัวหน้า ช่างหลวง ๓ ท่าน มีหลวงรจนามัย เป็นหัวหน้า มีท่าปขาวสกตามี อีก ๑ ท่าน ช่วยกันปั้น ครั้งแรกกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ ทรงปั้นพระองค์พระพุทธรูปเอาฤกษ์ ส่วนพระเศียร ของพระพุทธรูปประธาน เป็นของกรมหลวงอิศสุนทร กรมพระราชวังบวรสถาณมงคล (รัชกาลที่ ๒) ส่วนพระเกศมาลา เป็นของสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก การปั้นนั้น ใช้เวลานานถึงแปดเดือนจึงแล้วเสร็จ พระพุทธรูปปั้นเป็นปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๒ นิ้ว สูงจรดพระรัศมี ๖ ศอก ๑ คืบ พร้อมกับปั้น รูปพระพุทธสาวก ๓ องค์ ด้านขวาคือพระสารีบุตร ด้านซ้ายพระโมคคัลลานะ องค์กลางพระอานนท์ ทรงทอดพระเนตรเห็นว่างามแล้ว จากนั้นจึงขอพระราชทาน พระนามพระพุทธรูปจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวๆ ทรงพระราชทานพระนามว่า พระพุทธจุฬารักษณ์ หมายความว่ามีพระลักษณะงามเลิศ |
หนังสือประชุมพงศาวดารประกาศ รัชกาลที่ ๔ ภาค ๒๕ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๖๕ หน้า ๗๒ ตอนหนึ่งว่า “พระสถูปเจดีย์ทั้งคู่มี พระอัคฆิยเจดีย์ ๔ ทิศเป็นบริวาร ที่หน้าพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระบรมเชษฐาธิราช ทรงสถาปนาไว้ในหมู่ข้างใต้แต่ก่อน ครั้งนี้มีพระราชศรัทธา (หมายถึงรัชกาลที่ ๔) ทรงอุตสาหะปฏิสังขรณ์ ให้วัฒนาถาวรดีกว่าเก่า “ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาเป็นพระเจดีย์แบบลังกาทรงเครื่อง มีสังวาลย์พาดห้อยประกอบด้วยลวดลาย ปิดทองประดับกระจก คลอบพระเจดีย์แบบย่อมุมไม้สิบสององค์เดิม มีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองขนาดเล็ก ๔ ทิศ ๔ มุมเป็นบริวาร อันเป็นของพระบาทสมเด็จนั่งเกล้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ที่ทรงสถาปนาไว้หน้าพระอุโบสถ ข้างทิศใต้มาแต่ก่อน และพร้อมกันนั้นก็ได้ทรงสถาปนาพระเจดีย์แบบลังกาทรงเครื่องอย่างเดียวกันไว้ ทางหน้าพระอุโบสถข้างทิศเหนือ แล้วพระราชทานนามพระเจดีย์ของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัวว่า พระสิราศนเจดีย์ และพระราชทานขนานพระนามพระสถูปเจดีย์ ด้วยการสถาปนาไว้ด้วยพระองค์เองว่า พระสิรจุมภฏเจดีย์ |
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สร้างพระตำหนักจันทร์ สร้างก่อนกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ทรงผนวช ๓ เดือน ทำด้วยไม้จันทร์หอมทั้งหลังขนาดสองห้อง ขนาดเล็ก สร้างอยู่กลางสระ ครั้งแรกตั้งพระทัยจะถวาย พระญาณสังวร ไว้ทรงเข้าสมาบัติ แต่ พระญาณสังวร ไม่ทรงยอมรับ เพราะพระองค์ท่าน ชอบเสนาสนะที่เก่าอันเป็นผาสุขวิหารของพระองค์ท่าน พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ จึงพระราชทานกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ เมื่อคราวทรงผนวช ไว้สำหรับทรงใช้ลับพระเนตร บำเพ็ญวิปัสสนา แต่ก่อนที่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ จะทรงใช้พระตำหนักจันทร์นี้ ทรงถวายพระญาณสังวร ประทับนั่งเจริญวิปัสสนาเป็นปฐมฤกษ์ก่อน และได้สร้างพระตำหนักเก๋งจีน ก่ออิฐถือปูน เป็นตึก ๒ ชั้น สำหรับทรงรับแขก. |