22
กุมภาพันธ์ 2533
ปีนี้พวกเราได้พาคณะออกะองค์อีกเช่นเคย
โดยเริ่มเดินทางไปทางจังหวัดราชบุรี ถึงตำบล ชัฎป่าไม้
เห็นบ้านร้างหลังหนึ่งในเย็นวันนั้นคณะของเรา จึงได้พักที่บ้านร้างนั้น
ปักกลดเรียบร้อยสักครู่ก็เห็นญาติโยมเดินมาเป็นทิวแถว
ต่างคนต่างถือน้ำปานะมามากมาย ตั้งแต่เย็นถึงเวลาหนึ่งทุ่ม
ญาติโยมขอให้สอนกรรมฐานเราก็บอกวิธีนั่ง แล้วให้ภาวนาว่า พุมโธ
โยมนั่งกันเงียบสักครู่ประมาณสักหนึ่งชั่วโมง จึงเลิก
และเล่าอารมณ์กรรมฐานให้พวกเราฟัง
แล้วช่วยบอกวิธีแก้ไขให้แล้วญาติโยมก็ลากันกลับไป
รุ่งเช้าก็นำอาหารมาถวายที่กลดจากนั้นควกคณะของเราก็เดินหาความสงบวิเวกต่อไป
23
กุมภาพันธ์ 2533
คณะของเราได้เดินทางมาเรื่อยๆ พอตกเย็นก็ถึงภูเขาสองลูกเล็กๆ ณ
ตำบลทุ่งแหน ราชบุรี พวกเราก็พากันปักกลดอยู่ที่เชิงเขานั้น
เวลาค่ำก็พากันสร้างน้ำที่ธารน้ำช้างภูเขา
เวลานั้นได้มีตายายสองคนได้นำเอาน้ำปานะมาถวายและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง
โดยบอกว่าที่เขาสองลูกนี้มักมีพระธาตุลูกสีเขียวๆ
ลอยออกมาและแกได้พบบ่อยๆ แล้วแกก็สนทนาธรรมกับเราจนใกล้ค่ำจึงกลับไป
พวกคณะของเราก็พากันสวดมนต์ทำวัตรนั่งกรรมฐาน พอตอนเช้า สองตา
ยาย
ก็นำเอาอาหารมาถวาย แล้วบอกว่า ตอนเพลขอพวกท่านอย่าเพิ่งไปจะมาถวายอีก
คณะของเราก็อยู่คอย แล้วตอนบ่ายก็เดินทางต่อไป
24
กุมภาพันธ์ 2533
พวกเราเดินทางมาถึงป่าหวาย จึงหวัดราชบุรี
ทันทีนั้นญาติโยมรู้ว่าเรามาจากวัดพลับ
ก็เลยนำพระวัดพลับออกมาให้ดูแล้วถามพวกเราว่าแท้หรือไม่แท้
พวกเราก็บอกว่าแท้ไม่แท้ก็ใช้ได้ ขอให้ถือเอาองค์พระเป็นพุทธานุสสติ
เอาพระกำไว้แล้วให้ภาวนาพุทโธ โยมก็ทำตามสั่งครู่เมื่อเลิกแล้ว
พวกโยมก็พากันกลับบ้าน เราก็เดินทางกันต่อไป
25
กุมภาพันธ์ 2533
เมื่อเดินทางมาถึงท่าตะโกพักที่นั้น
พวกโยมรู้ก็พากันตัดเอาอ้อยคั้นเอาน้ำมาถวาย พัก
1 คืน
ก็เดินทางต่อ
28
กุมภาพันธ์ 2533
เมื่อเดินทางมาถึงอู่ทอง
จังหวัดสุพรรณบุรีก็ได้ปักกลดที่ป่าใกล้เขาพระศรีสรรเพชร
ตอนเย็นก็มีชาวบ้านมาพบปะพูดคุยกัน
ญาติโยมก็ขอให้พวกเราสอนการนั่งกรรมฐานให้
นั่งสักครู่ญาติโยมก็ให้เราทำน้ำพระพุทธมนต์เมื่อทำน้ำพระพุทธมนต์นั้นเป็นเวลามืดแล้วก็ปรากฏว่า
มีเงาดำทะมึนสูงใหญ่ปรากฏขึ้น พวกเราก็เห็นกันทุกวันเงานั้นปรากฏแพล้บเดียวก็หายไปตกกลางคืนก็มีงูเหลือมมาขดอยู่รอบกลด
แต่ไม่ได้ทำอะไร พวกเราแผ่เมตตาให้พอตอนเช้าพวกชาวบ้านก็มาถามว่า
เมื่อคืนนี้จำวัดสบายไหม เพราะที่นี่พระมาปักกลดมักจะโดนดีเสมอ
พวกเราได้ยินดังนั้นก็เฉยๆ เพราะพวกเรามีจิตมั่นคงอยู่แล้วจังไม่กลัวอะไร
พวกชาวบ้านก็ถวายผ้าป่า พวกเรารับแล้วจึงบอกให้เอาไปถวายวัดข้างๆ
พวกชาวบ้านก็พาเราไปดูพระธาตุเก่าแก่ สมัยอู่ทอง
พวกเราตามไปดูแล้วพาญาติโยมเดินรอบเป็นทักษิณาวัตรสามรอบ
เจดีย์พระธาตุนั้นสลักหักพังมากแล้วเหลืออิฐเป็นกองๆ
และเราก็เดินทางต่อไป
1
มีนาคม 2533
เมื่อเดินทางมาถึงที่อยุธยา เรามาพักที่วัดร้างคือวัดเจ้าปราบ
เวลานั้นใกล้มืดแล้วจึงสงัดผู้คน
ปักกลดแล้วพากันสวดมนต์แผ่เมตตาให้แก่สัพสัตว์ที่อยู่ในวัดร้างนั้น
ตกกลางคืน ก็ได้ยินเสียงเครื่องกระจายเสียงมาจากวัดญวน
มีงานหาเงินซ่อมวัด
พวกเราก็ไม่สนใจเสียงนั้นพากันเข้านั่งกรรมฐานแล้วจำวัด ตกดึก
ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเครื่องกระจายเสียง ที่วัดญวนประกาศว่า
มีโจรใจบาปมาปล้นเอาเงินไปหมด
ตอนเช้าก็บิณฑบาตรในตัวเมือง เสร็จแล้วก็เดินทางต่อไป
ครั้นตอนเช้าพวกคณะของเราก็พากันไปที่วัดท่าหอยอันเป็นวัดเก่าขององค์ปรมาจารย์
คือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน พระองค์ท่านเคยสถิต ณ ที่นี้
พวกเราข้ามเรือไปถึงวัดพุทโธสวรรค์แล้วก็ไปนมัสการพระธาตุเจดีย์ที่วัดนี้
เพราะวัดนี้เป็นวัดที่สร้างนักดาบไว้มากมาย
ปรากฏมีทิมดาบให้เห็นอยู่ทุกวันนี้
หลังจากนั้นพวกเราก็พากันเดินทางไปวัดท่าหอย ซึ่งอยู่หลังวัดพุทโธสวรรค์เยื้องไปทางทิศใต้ประมาณ
3 เส้น
เราเดินไปถามทางไปจนกระทั่งถึงวัดท่าหอย
เมื่อเข้าไปวัดท่าหอยพวกเราก็มีความรำลึกถึงองค์ปรมาจารย์ คือ
สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ที่เคยสถิต ณ ที่นี้
บัดนี้วัดนี้ร้าวมีแต่ซากสลักหักพัง มีป่าสะแกขึ้นเต็มหมด
ทางด้านทิศตะวันออก ก็ปรากฏคอลงคูจามซึ่งยังมีอยู่
ผู้คนใกล้วัดท่าหอยเป็นชาวไทยอิสลาม
ได้เล่าให้พวกเราฟังว่าอิฐวัดท่าหอยนี้พวกชาวบ้านได้พากันขนเอาไปขายจนหมด
ไม่เหลือแม้ซาก และมีคนไกลๆ มาขุดหาของดีวัดนี้มากมาย
พวกเรายังมองเห็นเครื่องสังเวยที่แห้งแล้วยังปรากฏอยู่ในวัดนี้
วัดท่าหอยเป็นวัดป่า แม้บัดนี้ก็ยังเป็นป่าปรากฏอยู่
สมัยท่านคงสงบร่มเย็นมาก
คณะของพวกเราที่อยู่ที่วัดท่าหอยก็ได้ทำการนั่งภาวนาประมาณ 1
ชั่วโมงรู้สึกสัมผัสความสงบทางใจ
จากนั้นพวกเราก็ได้อำลาวัดท่าหอย เดินทางไปไหวพระมงคลบพิธ
เมื่อไปถึงแล้วก็เดินไปหลังองค์พระนั่งสมาธิประมาณ ครึ่งชั่วโมง
เดินมาหลังวิหารมีคนนิมนต์สรงน้ำ จึงออกเดินทางไปไหว้พระโตที่อ่างทอง
2
มีนาคม 2533
พวกเราได้เดินทางมาที่วัดไชโยนี้หลายวัน ถึงเมืองอ่างทาอง
แล้วไปไหวหลวงพ่อโตวัดไชโย
มีโยมเอาน้ำเย็นมาถวายเพราะเห็นว่าพวกเราเดินทางมาเหนื่อยมาก
เมื่อหายเหนื่อยแล้วก็ลงสรงน้ำหน้าวัดไชโย
ห่มผ้าแล้วเดินมาหลังหลวงพ่อโตเข้านั่งสมาธิ ประมาณ
1 ชั่วโมง
จึงกราบลานมัสการหลวงพ่อโตเดินทางต่อไป
3
มีนาคม 2533
พวกเราใช้เวลาเดินทางหลายวันจนถึงเมืองสิงห์บุรีไปไหว้พระใหญ่ที่วัดพิกุลทอง
เวียนทักษิณาวัตร สามรอบแล้วเดินทางต่อไป
4
มีนาคม 2533
เราเดินรอนแรมมาพักที่วัดท่าซุง พักหลายคืนจึงเดินทางต่อไป
5
มีนาคม 2533
พวกเราเดินทางมาเรื่อยๆ ถึงเมืองพิจิตรแล้วเดินทางมาวัดท่าหลวง
เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อเพชร เมื่อเรามาถึงวัดท่าหลวงเป็นเวลามืดแล้ว
จึงปักกลดที่ริมน้ำหน้าพระอุโบสถหลวงพ่อเพชร
ใต้ต้นไม้ใหญ่และก็มีโยมเอาน้ำเย็นมาถวาย กลางคืนเราก็นั่งสมาธิกัน
รุ่งเช้าฉันอาหารบิณฑบาตแล้วก็เดินทางต่อไป