ชีวิตวัยบวชเรียน

 

กลับหน้าแรก

            สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น วัด คือที่อบรมสั่งสอนกุลบุตร ครูที่อบรมสั่งสอน คือพระสงฆ์, พระสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความรู้มากมายหลายด้าน เด็กที่ได้เล่าเรียนหนังสือก็จะมีแต่เด็กผู้ชายเท่านั้น ไม่นิยมให้เด็กผู้หญิงไปเรียนหนังสือที่วัด เพราะครูที่สอนหนังสือ เป็นพระสงฆ์ จึงไม่เหมาะที่เด็กผู้หญิงจะไปเรียน

            ครั้นเวลา แม่แลง (การนับเวลากรุงศรีอยุธยา) มารดาบิดา ได้นำดอกไม้ธูปเทียน ตามประเพณีไทย นำพระองค์ท่านไปฝากตัวกับ ท่านขรัวตาทอง ณ วัดท่าข่อย

           ต่อมาพระองค์ท่าน ก็ได้บรรพชา เป็นสามเณร อยู่ที่วัดท่าข่อย ริมคลองบ้านข่อย ท่านขรัวตาทอง วัดท่าข่อย(ท่าหอย) เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งนับเป็นพระอาจารย์ พระองค์แรก ของพระองค์ท่าน

          พระขรัวตา คือพระสงฆ์ที่คงแก่เรียน เรียนรู้วิชาการทุกอย่างไว้มาก มีพรรษายุกาลมาก เชี่ยวชาญสมถะวิปัสสนากัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ มีความรู้ความสามารถ ในการสอน อ่าน-เขียน อักขระขอม-ไทย ในการบอกหนังสือจินดามณี ในการบอกหนังสือคัมภีร์มูลกัจจายน์ (หนังสือเรียนไวยากรณ์บาลี) เป็นต้น เป็นพระสงฆ์ ที่มักน้อย สันโดดไม่มีสมณะศักดิ์ จึงเรียกขานกันว่า พระขรัวตา พระสงฆ์ในสมัยอยุธยาท่านมีความรู้ทั้งทางปริยัติ และปฏิบัติ สม่ำเสมอกัน สมัยนั้นนิยมเล่าเรียนศึกษาทั้งปริยัติ และปฏิบัติ ควบคู่กันไป โดยไม่แยกศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน

           ท่านขรัวตาทอง ทางการคณะสงฆ์ เรียกขานท่านว่า พระอธิการทอง สถิตวัดท่าข่อย(ท่าหอย) ท่านขรัวตาทองมีชนมายุอยู่มาถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา

           ท่านขรัวตาทอง ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์บอกพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับพระองค์แรก ของ พระอาจารย์สุก ครั้งบรรพชาเป็นสามเณร อยู่ ณ วัดท่าข่อย(ท่าหอย)

                ท่านขรัวตาทอง ท่านบรรพชา-อุปสมบทอยู่วัดโรงช้าง ต่อมาย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหอย ท่านศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ สืบต่อมาจาก พระครูวินัยธรรมจ้อย วัดท่าเกวียน กรุงศรีอยุธยา พระครูวินัยธรรมจ้อย ท่านเป็นศิษย์ศึกษาพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ มาจากพระพนรัต(แปร) วัดป่าแก้ว กรุงศรีอยุธยา พระพนรัต(แปร) ท่านมีพระชนชีพอยู่ในรัชสมัยพระเจ้าเสือ อยู่มาจนถึงพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ท่านขรัวตาทอง ท่านเป็นพระอานาคามีบุคคลพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

           วัดท่าข่อย (วัดท่าหอย) เป็นวัดประจำตระกูลของพระอาจารย์สุก คุณทวดของพระองค์ท่าน สร้างไว้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นวัดที่มีแต่เขตสังฆาวาส ไม่มีเขตพุทธาวาส วัดท่าข่อยเป็นวัดบริวารของวัดพุทไธศวรรย์ วัดท่าข่อย มีพระเจดีย์ที่เก็บอัฎฐิธาตุ ของบรรพบุรุษตระกูล ของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นประเพณีนิยมในสมัยนั้น นิยมสร้างวัดประจำตระกูล เพื่อเก็บอัฎฐิของบรรพบุรุษ และไว้ให้ลูกหลานวิ่งเล่น อยู่ไกล้วัดหลวง วัดไหนก็เป็นบริวารของวัดหลวงนั้น วัดบริวารของวัดหลวงจะไม่สร้างพระอุโบสถ(ปัจจุบันวัดท่าหอย เป็นวัดร้าง)

                วัดท่าข่อย อยู่หลังวัดพุทไธศวรรย์ เยื้องไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๓ เส้น และวัดท่าข่อยนี้ อยู่หลังวัดโรงช้าง เยื้องไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๓ เส้น

            ถ้ามาจากแม่น้ำหน้าวัดพุทไธศวรรย์ ล่องเรือมาทางทิศตะวันตกประมาณ ๑ เส้น เลี้ยวขวาเข้าคลองบ้านข่อย(คลองคูจาม) ไปประมาณ ๒ เส้น ก็ถึงท่าน้ำ วัดท่าข่อย       (ท่าหอย)

            ถ้ามาจากแม่น้ำหน้าหน้าวัดโรงช้าง ล่องเรือขึ้นมาทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ เส้น เลี้ยวซ้ายเข้าคลองบ้านข่อย(คลองคูจาม) ไปประมาณ ๒ เส้น ก็ถึงท่าน้ำ วัดท่าข่อย(ท่าหอย)

              วัดท่าข่อย อยู่ห่างจาก วัดพุทไธศวรรย์ และวัดโรงช้าง ระยะเท่าๆกัน สองวัดนี้อยู่ริมแม่น้ำทั้งสองวัด พระอาจารย์สุกบรรพชาเป็นสามเณร อยู่วัดท่าข่อย เพราะเป็นวัดประจำตระกูล อยู่ไกล้ละแวกบ้าน และท่านขรัวตาทอง ก็สนิทคุ้นเคยกัน ต่อมาภายหลังพระองค์ท่าน ทรงอุปสมบท ไปอุปสมบทที่วัดโรงช้าง เพราะ เจ้าอาวาส วัดโรงช้าง องค์ปัจจุบัน เคยเป็นพระอุปฌาย์-อาจารย์ ของคุณปู่ และพระบิดาของพระองค์ท่าน ซึ่งบวชศึกษาพระกัมมัฎฐานมัชฌิมา อยู่วัดโรงช้าง มาแต่ก่อน

             วัดท่าข่อย เป็นชื่อเดิมของวัด ท่าหอย วัดท่าข่อย - วัดท่าหอย จึงเป็นวัดเดียวกัน แต่สมัยกาลนานมา หลังกรุงศรีอยุธยาล่มสลายแล้ว จนกระทั้งพระเจ้าตากสิน มาสร้างกรุงธนบุรี คนไทยที่เคยตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยใกล้บริเวณวัดท่าข่อย ครั้งกรุงศรีอยุธยามาแต่เดิมนั้น ได้ล้มหายตายจากไปส่วนมาก ไม่มีใครได้กลับมาตั้งถิ่นฐานในที่เดิมนี้อีก มีแต่คนรุ่นใหม่ที่ย้ายมาตั้งบ้านเรือนในบริเวณวัดท่าข่อย ต่อมาครั้งกรุงธนบุรีผู้คนแถบนี้ได้ย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ทางฝั่งกรุงเก่ากันหมด ผู้คนทั้งหลายจึงเริ่มลืมเลือน ชื่อเดิมของวัดท่าหอย(ท่าข่อย) เพราะเป็นวัดราษฎรเล็กๆไม่มีชื่อเสียง ต่อมาบริเวณใกล้วัดท่าข่อยกลายเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของพวกแขกจาม กล่าวว่าพวกแขกจาม เป็นเชลยศึกครั้งกรุงธนบุรี สำเนียงพวกแขกจาม ที่เรียกขาน วัดท่าข่อย จึงเพี้ยน เป็นวัดท่าหอย แต่นั้นมา

            วัดท่าข่อย จึงเรียกขานนามกันใหม่ว่า วัดท่าหอย ตั้งแต่นั้นมา วัดท่าข่อยนี้ เป็นที่เรียนหนังสือ ครั้งแรกของพระอาจารย์สุก ที่บรรพชาเป็นสามเณร ครั้งแรกของพระอาจารย์สุก เป็นที่ฝึกเจริญสมาธิครั้งแรก ของพระอาจารย์สุก และเป็นวัดที่พระอาจารย์สุก ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสครั้งแรก

          วัดท่าหอย ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีแต่สังฆาวาส คือมีกุฏิสงฆ์ ๕-๖หลัง กับศาลาบำเพ็ญกุศลขนาดย่อมๆ ๑ หลังเท่านั้น ก่อนนั้นเวลาทำสังฆกรรม เช่น อุปสมบท ลงปาฏิโมกข์ ต้องไปลง ไปทำวัดใหญ่ๆ เช่น วัดโรงช้าง วัดพุทไธศวรรย์ วัดราชาวาส เป็นต้น ส่วนเขตพุทธาวาส เช่น พระอุโบสถ มาสร้างขึ้นภายหลัง เมื่อพระอาจารย์สุก มาเป็นพระอธิการ ณ วัดท่าหอย ครั้งที่สอง ครั้งกรุงธนบุรี

        คลองบ้านข่อย เป็นชื่อเดิมของ คลองคูจาม สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี คลองบ้านข่อยเกิดตื้นเขิน เรือ แพล่องไปมาไม่สะดวก พวกแขกจามที่ตั้งบ้านเรือน อยู่ในบริเวณนั้นใช้เรือ แพ สัญจรทางน้ำไปมา ไม่สะดวก จึงเกณฑ์พวกพ้องแขกจามด้วยกัน ช่วยกันขุดลอกคลองบ้านข่อยขึ้นใหม่ ให้ลึกกว่าเก่า แต่นั้นมาคลองบ้านข่อย จึงได้ใช้สัญจรไปมา ได้โดยสะดวก

            แต่นั้นมา คลองบ้านข่อย จึงได้เรียกขานนามกันใหม่ว่า คลองคูจาม ส่วนคลองตะเคียนนั้น อยู่เหนือคลองคูจามขึ้นไปอีกคุ้งหนึ่ง สมัยนั้นคลองเดียวกันตลอดสาย เรียกชื่อต่างๆกันไปตามชื่อหมู่บ้าน ตามชื่อตำบล คลองผ่านหมู่บ้านไหน ตำบลไหน ก็เรียกคลองที่ผ่านหมู่บ้านนั้นตำบลนั้น ตามชื่อหมู่บ้านนั้น ตามชื่อตำบลนั้น เช่นผ่าน วัดตะเคียน ก็เรียก คลองตะเคียน เป็นต้น

           กล่าวว่า เมื่อท่านขรัวตาทองกลับมาจากรุกขมูลครั้งนั้น อีกเหลือเวลาอีก เกือบเดือนก็จะเข้าพรรษาแล้ว ท่านขรัวตาทอง ดำริว่าสังขารชราภาพมากแล้ว จะไม่ออกธุดงค์อีก

              เมื่อเด็กชายสุก มาอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านขรัวตาทองครั้งนั้น ท่านขรัวตาทองมักเล่าเรื่องราวให้เด็กชายสุกฟัง ต่อมาเด็กชายสุกอยากจะออกไปธุดงบ้างโดยจะขอตามพระอาจารย์ไป แต่ท่านขรัวตาทองไม่คิดออกธุดงค์แล้ว แต่ท่านเมตตาตาสงสารเด็กชายสุก อยากออกธุดงค์บ้าง ท่านขรัวตาทอง ท่านเล็งเห็นอุปนิสัยเด็กชายสุก มีอัฌยาสัยทางนี้

             อยู่มาวันหนึ่งก่อนเข้าพรรษาประมาณ ๑๐วัน ท่านขรัวตาทองเรียกพระอาจารย์แย้มมา บอกฝากวัดไว้สาม-สี่วันแล้วเรียกเด็กชายสุกมา บอกว่าจะพาออกธุดงค์ไปป่าเขาสามสี่วัน

ท่านขรัวตาทองท่านมีอภิญญาจิต ชั่วเวลาไม่เท่าไร ท่านก็พาพระอาจารย์สุกมาถึงกลางป่าแห่งหนึ่ง พักปักกลด และออกเดินอยู่สามสี่วัน ท่านก็กลับถึงวัดท่าหอย ด้วยเวลาไม่กี่ยาม ด้วยอภิญญาจิต(ย่นระยะทาง)

            พระอาจารย์สุก ได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งนั้น พระองค์ท่านได้ปรนนิบัติรับใช้ ท่านขรัวตาทอง ผู้เป็นอุปัชฌาอาจารย์ ซึ่งตอนนั้นท่านทุพพลภาพ ชราลงมากแล้ว สามเณรสุก ได้ผลัดเปลี่ยนกับสามเณรองค์อื่นๆคอยดูแลพระอาจารย์ ต้มน้ำร้อน น้ำชา กลางวัน พระองค์ท่าน ทรงเล่าเรียนหนังสือภาษาไทย คัมภีร์จินดามณี

            เวลากลางคืน พระอาจารย์ของพระองค์ท่าน ก็สอนให้พระองค์ท่านให้นั่งสมาธิ โดยการสำรวมจิต สำรวมอินทรีย์ แต่การนั่งสมาธิเมื่อครั้งพระองค์ท่านเป็นสามเณรน้อยๆนั้น พระอาจารย์ของพระองค์ท่าน บอกให้พระองค์ท่านนั่งเจริญสมาธิเพื่อเป็นพื้นฐานไว้เท่านั้น แต่สามเณรน้อยๆ มีนิวรณ์ธรรมน้อย จิตจึงข่มนิวรณ์ธรรมได้เร็ว จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว จึงเป็นเหตุให้ สามเณรสุก มีพื้นฐานทางสมาธิภาวนาแต่นั้นมา

           กล่าวว่า เมื่อพระองค์ท่านทรงสำรวมจิต เจริญสมาธิครั้งนั้น และด้วยบุญบารมี ของพระองค์ท่านที่ได้สั่งสมมาช้านาน จิตของพระองค์ท่านก็ บรรลุถึงปฐมฌาน ในวิสุทธิธรรมแรกๆ ท่านขรัวตาทองพระอาจารย์ของพระองค์ท่าน ตรวจดูเหตุการณ์นี้แล้วก็รู้ว่าพระองค์ท่านเป็นผู้มีบุญบารมีมาเกิด จะเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต แต่ท่านขรัวตาทอง ก็ไม่ได้สอนอะไรให้พระองค์ท่านเพิ่มเติม เพราะเห็นว่าพระองค์ท่านยังเล็กอยู่ เพียงแต่บอกให้พระองค์ท่านนั่งสำรวมจิต ให้เป็นสมาธิอย่างเดียว

             แต่เมื่อพระองค์ท่านทรงมีพระชนมายุย่างเข้า ๑๖ - ๑๘ พรรษา ท่านขรัวตาทอง พระอาจารย์ของพระองค์ท่าน เห็นว่าพระองค์ท่านพอจะรู้เรื่องสมาธิบ้างแล้ว จึงเริ่มบอกพระปีติ ๕ พระยุคล ๖ พระสุขสมาธิ ๒ ประการ และพระอานาปานสติบ้าง แต่มิได้ให้เข้าสะกด ตั้งใจไว้ให้ท่านอุปสมบทก่อน จึงจะให้ปฎิบัติสมาธิเป็นเรื่อง เป็นราวเป็นแแบแผนที่หลัง และครั้งเมื่อท่านมีชนมายุได้ ๑๖ - ๑๘ พรรษา ท่านขรัวตาทอง ก็สอนให้ท่านอ่าน-เขียน อักษรขอมไทย จนพระองค์ท่านพอมีความรู้บ้าง

             ท่านขรัวตาทอง พระอาจารย์ของพระองค์ท่าน เล็งเห็นว่า กาลข้างหน้าเมื่อพระองค์ท่านทรงอุปสมบทแล้ว เวลานั้นจะมีพระมหาเถราจารย์ ชี้แนะพระกัมมัฎฐานมัชฌิมาพระองค์ท่านเอง และท่านขรัวตาทองก็รู้ว่า อายุของท่านจะอยู่ไม่ถึงอุปสมบทสามเณรสุก เป็นพระภิกษุ

            คัมภีร์จินดามณี เป็นพระคัมภีร์สอนภาษาไทย ที่แต่งขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้แต่งคือ พระยาโหราธิบดี นักปราชญ์ กวีเอกสมัยกรุงศรีอยุธยา คัมภีร์จินดามณีเป็นคัมภีร์ที่นิยม หรือบังคับให้เป็นแบบเรียน และเป็นคัมภีร์สอนหลักการอ่าน การเขียน ภาษาไทย หลักการแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์กลอน คัมภีร์นี้ เขียนด้วยตัวอักษรไทย นำเค้ามูล ต้นแบบ มาจาก คัมภีร์มูลกัจจายน์