วิทยาศาสตร์
(Science )
หมายถึงวิชาที่ศึกษาค้นคว้าหาข้อเท็จจริงและเป็นไปของธรรมชาติทำให้มนุษย์ได้เข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกทั้งของสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างมีระบบแบบแผน
และมีขั้นตอนที่เรียกว่า
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์นำมาศึกษาได้แก่วิชา
ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
แล้วนำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันเช่น
การแพทย์
การเกษตรกรรม การก่อสร้าง ฯลฯ
และผู้ที่ศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เราเรียกว่า นักวิทยาศาสตร์
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบ่งเป็น 2 ประเภท
คือ
1.
วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ( Pure Science ) คือ ความรู้ขั้นพื้นฐานที่ค้นพบในธรรมชาติ
ได้แก่ ข้อเท็จจริงหลักการ ความคิดรวบยอด กฎ และทฤษฎีต่าง ๆ เช่น เซอร์ ไอแซค
นิวตัน
ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก
2.
วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ( Applied Science )
หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือการนำเอาความรู้พื้นฐานมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
และอำนวยความสะดวกสบายต่อมวลมนุษย์
เช่น โธมัส แอลวา เอดิสัน ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
ประเภทของนักวิทยาศาสตร์
แบ่งเป็น 2
ประเภทคือ
1. นักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ( Pure Scientist )
คือผู้ที่ศึกษาหาความรู้และข้อเท็จจริงต่าง ๆ
แล้วนำความรู้ที่ได้มารวบรวมเป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักการ ความคิดรวบยอด กฎ ทฤษฎี
เพื่อจะนำไปเป็นความรู้พื้นฐานพัฒนาสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่สำคัญได้แก่
-
เกเกอร์ โจฮันต์ เมนเดล ผู้ตั้งกฎของเมนเดล ( Mendel ' s law )
2.
นักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ( Applied Scientist ) คือผู้ที่นำความรู้ขั้นพื้นฐาน
(วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์) มาประดิษฐ์ ดัดแปลง
เพื่อให้เกิดประโยชน์หรืออำนวยความสะดวกสบายให้แก่มนุษย์
ได้แก่
แพทย์ เภสัชกร วิศวกร
เกษตรกร
- โธมัส แอลวา
เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
สรุปบทที่ 1 เรื่อวิทยาศาสตร์เพื่อการสร้างสรรค์
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาอย่างไร
จากการศึกษาค้นคว้าหาความรู้และสร้างผลิตผลทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ทำให้เราได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากมาย
วิธีการที่จะได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์
จำเป็นจะต้องอาศัยลักษณะนิสัยบางประการของนักวิทยาศาสตร์มาศึกษาและฝึกฝนเพื่อจะได้นำไปดำเนินชีวิตต่อไป
เช่น การเป็นคนช่างสังเกต ช่างคิดช่างสงสัย มีเหตุผล มีความพยายามและอดทน
มีความคิดริเริ่ม ตลอดจนเป็นผู้ที่ทำงานอย่างเป็นระบบ
มีขั้นตอนและแบบแผนการเป็นคนช่างสังเกต
การสังเกต
( Observation ) เป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น
กายสัมผัสเข้าไปสำรวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรากำลังศึกษาอยู่
การสังเกตเป็นคุณสมบัติพื้นฐานสำคัญของ
นักวิทยาศาสตร์
เป็นกระบวนการที่จะขาดไม่ได้สำหรับนำไปสู่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์
เพราะการสังเกตทำให้เกิดการอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงมีคำกล่าวอยู่เสมอว่า "
วิทยาศาสตร์เริ่มต้นจากการสังเกต "
แต่การสังเกตนั้นอย่านำความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปปนกับข้อเท็จจริงที่ได้จากการสังเกตเป็นเด็ดขาด
เพราะสิ่งที่เราสังเกตกับความคิดเห็นของเราต่อสิ่ง นั้น ๆ มันต่างกัน เช่น
ถ้าเรานำใบมะม่วงมาสังเกต
เราจะได้ข้อเท็จจริงหลายประการ
การเป็นคนช่างคิดช่างสงสัย
อเล็กซานเดอร์
เฟลมมิ่ง ( Alexander Plaming ) ได้สังเกตว่า
แบคทีเรียในการเพาะเชื้อไม่เจริญงอกงาม ถ้าเรามีราเพนิซิลี่ยม อยู่ด้วย
ทำให้เขาสงสัยว่าทำไม่จึงเป็นเช่นนั้น
ข้อสงสัยดังกล่าวเป็นการนำไปสู่การค้นคว้าข้อเท็จจริงจนกระทั่งพบว่า
ราเพนิซิเลี่ยมหลั่งสารปฏิชีวินะออกมายับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
และนำผลผลิตเป็นยาปฏิชีวนะ เพนิซิลิน ได้ผลสำเร็จเป็นครั้งแรก
จะเห็นได้ว่าปัญหานั้นเกิดจากการสังเกตแล้วพยายามค้นหา
คำตอบทำให้มีโอกาสได้พบความรู้ใหม่ ๆ
การเป็นคนมีเหตุมีผล
นักวิทยาศาสตร์จะต้องไม่เชื่อฟังสิ่งใดง่าย
ๆ สิ่งใดหรือปรากฏการณ์ใดที่เกิดขึ้นย่อมต้องมีสาเหตุเสมอ
เมื่อสังเกตุสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วต้องนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาอย่างมีเหตุผล
เพื่อตอบปัญหาหรือ
ข้อสงสัยแล้วค่อยสรุป
ถ้าทำเช่นนี้แล้วเราก็จะสามารถนำไปแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้การเป็นคนมีความพยายามและอดทน มารี
กูรี ได้ใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าการแยกธาตุเรเดียน
ซึ่งเป็นธาตุกัมมันตรังสีได้สำเร็จ และได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี
เพื่อนำมารักษาโรคมะเร็ง โธมัส แอลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
กว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้
เขาต้องนำวัสดุเกือบทุกอย่างที่ได้พบเห็นมาทดลองทำไส้หลอดไฟฟ้ากว่าจะสำเร็จใช้งานได้
ใช้เวลานานถึงปีกว่า และเขาก็มีผลงานที่ขอสิทธิบัติไว้รวมแล้ว 1328 รายการ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่านักวิทยาศาสตร์ต้องเป็นคนที่มีความตั้งใจและสนใจค้นคว้างานด้วยความอดทนและพยายามจึงจะพบประสบผลสำเร็จ
การเป็นคนมีความคิดริเริ่ม
ความคิดริเริ่ม
เป็นความคิดที่กล้าทำให้สิ่งแปลกใหม่ที่คนอื่นไม่กล้าทำ
หรือทำให้แปลกไปจากเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่จะต้องไม่ใช่การเลียนแบบ
จึงทำให้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ เช่น
- เซอร์ ยอร์จ เคย์ลีย์
ได้นำภาพมาประยุกต์
ดัดแปลงสร้างเป็นเครื่องร่อนและถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดย
วิลเบอร์และออร์วิล ไรด์
จนเป็นเครื่องบินธรรมดาและพัฒนาจนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นเครื่องบินไอพ่นในปัจจุบัน
การเป็นคนทำงานอย่างเป็นระบบ
เครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
จนประสบผลสำเร็จคือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific process )
เพื่อใช้แสวงหาความรู้หรือข้อเท็จจริงในธรรมชาติ โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ
ที่ประกอบด้วย
1.
ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ( Statement Method )
1.1
การกำหนดปัญหา (Statement Method) ปัญหาเกิดขึ้นได้จากการสังเกต ( Observation )
สิ่งต่างๆหรือการแสวงหาความจริงในสิ่งต่างๆในธรรมชาติออกมาเป็นข้อมูล( Data
)
หรือข้อเท็จจริง ( Fact )
เพื่อนำไปตั้งปัญหาค้นคว้าหาคำตอบที่จะนำมาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ปัญหาที่ดีต้องเป็นปัญหาที่เป็นไปได้ มีคุณค่าต่อการค้นคว้าหาคำตอบ
และสามารถวางแผนพิสูจน์หาคำตอบได้โดยการทดลองในห้องปฏิบัติการ
หรือยึดข้อเท็จจริงต่างๆรวบรวมไว้เป็นหลัก
1.2
ขั้นตั้งสมมติฐาน ( Creative Hypothesis ) สมมติฐาน( Hypothesis
)คือคำตอบที่อาจเป็นไปได้ เป็นคำตอบชั่วคราว หรือคำตอบที่คาดคะเนที่ต้องการพิสูจน์
หาเหตุผลมาประกอบ
หรือต้องตรวจสอบหลายๆครั้งสมมติฐานมาจากไหน
เกิดขึ้นหลังจากที่กำหนดปัญหาชัดเจนแล้ว สมมติฐานจะต้องยึดปัญหาเป็นหลักเสมอ
และควรตั้งหลายๆสมมติฐาน
เพื่อจะได้มองเห็น
แนวทางของคำตอบ แต่ไม่ควรยึดสมมติฐานใดสมมติฐานหนึ่งเป็นคำตอบ ก่อนที่จะพิสูจน์
หรือตรวจสอบหลายๆครั้งเสียก่อนสมมติฐานที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
-เข้าใจง่าย
ชัดเจนดี
-
ต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่รวบรวมไว้
และสัมพันธ์กับปัญหาที่ตั้งไว้
-
ควรแนะลู่ทางที่จะตรวจสอบได้ด้วย
-
ควรเป็นสมมติฐานที่ตรวจสอบได้ด้วยการทดลอง
1.3
ขั้นตรวจสอบสมมติฐาน
ทำได้หลายวิธีคือ
-
การสำรวจ ( Survey
)
-
การทดลอง ( Experiment ) เป็นวิธีที่ใช้มากที่สุดในทางวิทยาศาสตร์
การทดลองเป็นวิธีการ ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กันมาก
การทดลองที่เชื่อถือได้โดยไม่ให้มีข้อโต้แย้ง
จะต้องเป็นการทดลองเป็นวิธีการ
ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กันมาก การทดลองที่เชื่อถือได้โดยไม่ให้มีข้อโต้แย้ง
จะต้องเป็นการทดลองการควบคุม ( Controlled Experiment)
ซึ่งหมายถึงการทดลองที่ต้องมีการควบคุม
ตัวแปร หรือปัจจัยต่างๆ ยกเว้น ปัจจัยที่ต้องที่ต้องการทดสอบเท่านั้น
ซึ่งในการทดลองจะต้องแบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม
คือ
1.
กลุ่มทดลอง ( Experimental group
)
2.
กลุ่มควบคุม ( Controlled group
)
ในการทดลองจะต้องควบคุมปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการทดลอง
ปัจจัยที่มีผลต่อการทดลองเรียกว่า ตัวแปร ( Variable ) แบ่งออกเป็น 3
ชนิดคือ
-
ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ ( Independent Variable
)คือตัวแปรที่เราต้องการตรวจสอบหรือดูผลการทดลอง
-
ตัวแปรตาม( Dependent Variable )
ผลที่เกิดขึ้นจากการที่ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงไป
-
ตัวแปรควบคุม( Controlled Variable )คือตัวแปรที่เราต้องควบให้คงที่ในขณะที่ทดลอง
แต่เราไม่ต้องการดูผลของมัน
และจะต้องควบคุมกลุ่มควบคุม
1.4
การแปลผล ( Interpretation ) และการสรุปผล ( Conclusion ) การแปลผล (
Interpretation ) คือการบรรยายลักษณะ และสมบัติของข้อมูล โดยต้องอาศัยทักษะต่างๆ
เช่น ทักษะการสังเกต
ทักษะการคำนวณ
ทักษะการทดลอง การสรุปผลหรือลงข้อสรุป
เป็นขั้นที่ต้องนำข้อมูลหรือผลมาแสดงว่าเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่แล้วแปลผลออกเป็นคำตอบ
ของปัญหาที่ตั้งไว้โดยอาศันทักษะการจัดทำข้อมูล ทักษะการสื่อความหมายของข้อมูล
ทักษะพยากรณ์ และทักษะการตีความหมาย
2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ
ความชำนาญในการใช้ความคิด ไปสู้การค้นคว้าหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์
และความรู้ในสาขาวิชาอื่น ๆ โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
คือ
2.1
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
ได้แก่
-
ทักษะการสังเกต
-
ทักษะการวัด
-
ทักษะในการใช้เลขจำนวนหรือการคำนวณ
-
ทักษะการแยกประเภท
-
ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
-
ทักษะการจัดทำและสื่อความหมายจากข้อมูล
-
ทักษะการทำนาย
-
ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา
2.2
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสม
ได้แก่
-
ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร
-
ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
-
ทักษะการตั้งสมมติฐาน
-
ทักษะการทดลอง
-
ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป
3.
เจตคติทางวิทยาศาสตร์
คือความรู้สึกของบุคคลที่แสดงออกมาทางพฤติกรรมที่ช่วยให้มีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มขึ้น
สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเป็นสุข
ได้แก่
มีใจกว้าง
มีเหตุผล มีความพยายามและอดทน มีความกระตือรือร้นในการค้นหาความรู้
ไม่ด่วนสรุปสิ่งใดง่ายๆโดยปราศจากหลักฐาน
คำศัพท์วิทยาศาสตร์ที่ควรรู้
1. กระบวนการ(
Process) ได้แก่ การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน
การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลความหมายและการสรุปผลการทดลอง
ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเป็นการกระทำของนักวิทยาศาสตร์
2.
ความรู้( Knowledge )ได้แก่ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อสรุป กฎ
ความคิดรวบยอดและทฤษฎี
-
ข้อเท็จจริง ( Fact )
คือปรากฏการณ์หรือสิ่งใดๆที่เป็นอยู่จริงไม่เปลี่ยนแปลงได้จากการสังเกตโดยตรง
-
ข้อมูล( Data )
คือข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้จากการทดลอง
-
ทฤษฎี ( Theory )
คือคำอธิบายหรือความคิดเห็นที่ได้จากสมมติฐานที่มีการตรวจสอบหลายๆครั้งแล้วใช้อ้างอิง
หรือทำนายข้อเท็จจริงที่คล้ายๆก็ได้ ทฤษฎีอาจจะผิดหรือถูกก็ได้
และสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติม
-
กฎ ( Law ) คือความจริงพื้นฐาน ( Principle ) ที่สามารถทดสอบได้
และได้ผลเหมือนเดิมทุกครั้งไม่มีข้อโต้แย้ง
-
ตัวแปร ( Variable )
คือปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการทดลองและจะทำให้การทดลองเปลี่ยนแปลง
-
สมมติฐาน ( Hypothesis ) คือคำตอบที่อาจเป็นไปได้จะถูกหรือผิดก็ได้
จะทราบหลังจากที่มีการทดลองแล้ว
-
การทดลอง ( Experiment )
คือกระบวนการปฏิบัติการหรือการกระทำเพื่อตรวจสอบหรือหาคำตอบของปัญหา
ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมหลัก
คือ
-
ออกแบบการทดลองและอุปกรณ์ที่ต้องใช้
(วิธีการทดลอง)
-
ปฏิบัติการจริง
-
บันทึกผลการทดลอง
การใช้เครื่องมือบางชนิด
ในชีวิติประจำวันเราใช้ประสามสัมผัสทั้ง
5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส เข้าสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ
และช่วยในการรับรู้ แต่ได้ผลเพียงการกะประมาณไม่ถูกต้อง
รวมทั้งไม่สามารถรับรู้บางสิ่งบางอย่างได้อย่างสมบูรณ์และถูกต้อง เช่น
ไม่สามารถได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงได้ ไม่สามารถมองเห็นวัตถุขนาดเล็กมากๆได้
เพราะประสาทสัมผัสของคนเรามีขอบเขตจำกัด
แต่การค้นคว้าและการทดลองทางวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวขเองอย่างละเอียดและถูกต้อง
จึงต้องมีเครื่อมือหรืออุปกรณ์ช่วยเพื่อจะให้ได้งานที่ละเอียดถูกต้อง
รวดเร็วและเลี่ยงต่อการเสี่ยง
ต่ออันตรายที่เกิดขึ้นได้
เครื่องมือที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ได้แก่
เครื่องมือวัดมวล
เช่น
เครื่องชั่ง
เครื่องมือวัดอุณหภูมิ
เช่น
เทอร์มอมิเตอร์
เครื่องมือวัดความยาว
เช่น ไม้โปรแทรกเตอร์ ไม้บรรทัด ไม้เมตร
ตลับเมตร
เครื่องมือวัดปริมาตร
เช่น หลอดหยด หลอดฉีดยา กระบอกตวง
บิกเกอร์
เครื่องมือที่ช่วยในการมองเห็น
เช่น แว่นตา แว่นขยาย กล้องจุลทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์
กล้องส่องทางไกล
เครื่องมือที่ช่วยในการฟัง เช่น สเต็ทโทสโคป
เครื่องช่วยฟัง
ระบบหน่วยเอสไอ (SI)
1. หน่วยฐาน ( Base units ) มี 7
หน่วยคือ
ปริมาณ |
ชื่อหน่วย |
สัญลักษณ์ |
ความยาว มวล เวลา กระแสไฟฟ้า อุณหภูมิ ปริมาณ ความเข้มของการส่องสว่าง |
เมตร กิโลกรัม วินาที แอมแปร์ เคลวิน โมล แคนเดลา |
M Kg S A K Mol cal |
HOME|BACK