พระกริ่ง (พระไภษัชยคุรุ)

 

     

home

back

 

     

พระกริ่ง(พระไภษัชยคุรุ) ( ๒๐ ม.ค. ๒๕๔๗ )

  • พระกริ่ง หรือพระไภษัชยคุรุ เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งตามคติในพระพุทธศาสนานิกาย มหายาน ซึ่งปรากฎตามชื่อพระสูตรว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร ซึ่งเนื้อหาในพระสูตรได้มีการกล่าวถึงพระไภษัชยคุรุ ในสมัยที่พระองค์ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น พระองค์ทรงได้กระทำสัจจะกริยา ประกาศมหาปณิธานไว้ ๑๒ ประการเพื่อโปรดอนุเคราะห์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

" อนึ่ง ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะนับถือพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาท (หินยาน) แต่สำหรับผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาทั้งหลาย ก็ไม่ควรปฏิเสธเนื้อหาอีกด้านหนึ่งของพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน มีปราชญ์ผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า มหายานและเถรวาท เปรียบเสมือน ๒ ปีกของนก ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ร่วมกันจึงจะสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนและขยายออกไปได้ และเปรียบเสมือนแผ่นกระดาษ ๒ หน้าคู่กัน ดังนั้นเราชาวพุทธเถรวาท คงจะไม่ปฎิเสธถึงคุณค่าและความสำคัญของกระดาษอีกหน้าหนึ่งนั่นอย่างแน่นอน ซึ่งก็ถูกจารึกขึ้นตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง "
  •  พระนาม " พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต " แปลว่า พระตถาคตผู้ทรงเป็นจอมแพทย์ทางยาทรงพระรัศมี (มหากรุณาธิคุณ) อันไพฑูรย์ หรือพระนาม พระไภษัชยคุรุราชา แปลว่า จอมหมอยา

  • ตามสาระในพระสูตร พระบรมศาสดาศรีศากยมุนีพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมเรื่องของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าในอดีตก่อนตรัสรู้ดังนี้

  • สมัยหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจารึกไปยังเมืองนครต่างๆ จนถึงมหานครเวศาลี แล้วทรงประทับอยู่ภายใต้ร่มเงาพฤกษา ณ สถานที่นั้น ประกอบด้วยเหล่ามหาภิกษุจำนวน ๘,๐๐๐ รูป พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ อีกจำนวน ๓๖,๐๐๐ พระองค์ รวมทั้งกษัตริย์ เจ้าเมือง มหาอำมาตย์ พราหมณ์ บัณทิตผู้มากด้วยปัญญา เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหราค มนุษย์ และอมนุษย์ อันมีจำนวนมหาศาลมิอาจประมาณได้

     
    ณ เบื้องนั้น พระมัญชุศรีธรรมราชกุมาร โพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ซึ่งถึงพร้อมในพลานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง ทรงตรัสทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าให้พระองค์โปรดเมตตากรุณาตรัสแสดงพระนามของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มหาปณิธานอันเป็นกุศล โลกธาตุอันวิสุทธิ์อลังการ พระกุศโลบายต่างๆ เพื่อขจัดวิบากกรรมของผู้ที่ได้สดับฟังให้หมดสิ้นไป จนสำเร็จโพธิญาณในที่สุดและมิต้องหวนกลับมาสู่วัฏฏะแห่งสงสารอีก
     
    ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงธรรม ของการประกาศมหาปณิธานของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตไว้ดังนี้
                 ดูก่อน มัญชุศรี นับจากโลกธาตุแห่งนี้ไปในเบื้องบูรพาทิศ ผ่านพุทธเกษตรนับจำนวนได้เท่ากับเม็ดทรายในคงคานที ๑๐ สายรวมกัน ยังมีโลกธาตุแห่งหนึ่งนามว่า " ศุทธิไวฑูรย์ " มีพระผู้มีพรภาคเจ้านามว่า " ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต " ซึ่งพระองค์ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
                 มัญชุศรี พระผู้มีพระภาคเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น ในสมัยที่พระองค์ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น พระองค์ทรงได้กระทำสัจจะกริยา ประกาศมหาปณิธานไว้ ๑๒ ประการ เพื่อโปรดอนุเคราะห์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายดังนี้
     
    มหาปณิธานประการที่ ๑ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ บัดนั้น ขอให้กายของเราบังเกิดมีรัศมีสว่างไสวโชติช่วงประดุจเปลวเพลิง ฉายแสงประภาสอันหาประมาณมิได้ ส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณโดยไร้ขอบเขต ไม่ติดขัดในโลกธาตุทั้งปวง ถึงพร้อมด้วยพุทธลักษณะที่สำคัญคือ มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และอสีตินุพยัญชนะลักษณะ ๘๐ ประการ อันเป็นที่น่าเลื่อมใสแลอลังการจงได้สำเร็จแก่เรา และยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้เสมอเหมือนโดยไม่มีผิดเพี้ยนหรือแตกต่างไปจากเราเลยแม้แต่น้อย
    มหาปณิธานประการที่ ๒ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว บัดนั้นขอให้กายของเราสว่างไสวสุกใส ทอแสงรัศมีเสมือนดั่งรัตนไวฑูรย์มีรัศมีอันปราศจากมลทินและความเศร้าหมอง ทั้งภายในและภายนอก เป็นรัศมีแห่งกุศลบารมีอันยิ่งใหญ่ มีแสงรัศมีรังสีสว่างไสวรุ่งเรื่องยิ่งกว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ แลแสงรัศมีนี้จงฉายส่องไปถึงนิรยภูมิ เบิกถอนความโง่เขลาความมืดบอดของสรรพสัตว์ให้สิ้นไป เพื่อให้สรรพสัตว์ได้ดำเนินชีวิตไปตามความประสงค์ของแต่ละบุคคล
    มหาปณิธานประการที่ ๓ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว บัดนั้นด้วยอภิสัมโพธิปัญญาญาณอันไม่มีประมาณ ที่ซึ่งไม่ขัดข้องในสิ่งทั้งปวง ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงได้พ้นจากความยากจนข้นแค้น พ้นจากความยากไร้ และจะไม่ต้องปราศจากสิ่งของต้องประสงค์ทั้งปวงอีก
     
    มหาปณิธานประการที่ ๔ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพสัตว์เหล่าใดที่ประพฤติธรรมอันเป็นอกุศล เราจะเป็นผู้ทำให้เขาเหล่านั้น หันกลับมาประพฤติปฏิบัติจริยาอันเป็นแนวทางสู่พระโพธิมรรค รวมทั้งผู้ที่ปฏิบัติจริยาในสาวกยาน ปัจเจกยาน เราก็จะทำให้เขาทั้งหลายนั้น หันกลับมาประพฤติจริยาตามปฏิปทาแห่งพระโพธิญาณเช่นเรา
     
    มหาปณิธานประการที่ ๕มื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์ทั้งหลายอันไม่มีประมาณ ได้ประพฤติพรหมจรรย์ตามคำสั่งสอนของเรา และประพฤติปฏิบัติได้อย่างบริสุทธิ์ ถึงพร้อมในตรีวิธานิศีล แล้วถ้าหากได้ละเมิดในศีลนั้น ทำให้เกิดมีมลทินด่างพร้อย หากได้สดับนามแห่งเราแล้ว เขาผู้นั้นก็จะกลับคืนสู่ภาวะบริสุทธิ์ในทันที และจะไม่ตกไปสู่ห้วงแห่งอบายภูมิอีกต่อไป
     
    มหาปณิธานประการที่ ๖ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากแม้นว่ามีสรรพสัตว์ที่ทุพพลภาพ พิกลพิการ อายตนะทั้งหลายไม่สมบูรณ์ มีร่างกายอัปลักษณ์ สัญญาวิปลาส สติไม่สมประดี ตาบอด หูหนวก บ้าใบ ง่อยเปลี้ย เสียสติ ได้รับทุกขเวทนาจากโรคภัยต่างๆ หากได้สดับนามแห่งเราแล้ว ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น จงกลับกลายเป็นผู้มีร่างกายที่งดงามสง่า มีอายตนะครบถ้วนบริบูรณ์ อวัยวะต่างๆ สมบูรณ์และปราศจากโรคภัยทั้งปวง
     
    มหาปณิธานประการที่ ๗ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพสัตว์ที่ประสบโรคร้ายต่างๆ แต่ปราศจากผู้ชี้แนะ ปราศจากแพทย์ผู้รักษา ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีแม้กระทั้งที่พักพิงอาศัย ต้องผจญกับความลำบากทุกข์เข็นนานัปการ หากเขาเหล่านั้นได้สดับนามแห่งเราแล้ว โรคาพาธและทุกข์ที่มีอยู่ก็จักสูญสิ้นไป จักมีความสุขทั้งกายและใจ วงศ์ตระกูลจะสุขสมบูรณ์พูนผล อุดมด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และเขาผู้นั้นก็จะได้บรรลุถึงพระอนุตรสัมโพธิญาณในที่สุด
     
    มหาปณิธานประการที่ ๘ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากสตรีเพศใดที่ประสบกับความทุกข์ มีความกลัดกลุ้มใจ เบื่อหน่าย มีจิตที่ปรารถนาต้องการจะหลุดพ้นจากสภาพกายของสตรี หากเธอผู้นั้นได้สดับนามแห่งเราแล้ว ขอให้รูปกายและสิ่งต่างๆ ที่เป็นหญิงจงกลับกายเป็นบุรุษสภาพโดยสมบูรณ์ และเธอผู้นั้นก็จะได้บรรลุพระอนุตรสัมโพธิญาณในที่สุด
     
    มหาปณิธานประการที่ ๙ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพสัตว์เหล่าใดที่เข้าสู่กระแส่ข่ายแห่งมาร เราจะช่วยให้เขาได้พ้นจากกระแสข่ายแห่งมารนั้น ให้ได้พ้นจากความหลงผิด อวิชชาทั้งปวง หากแม้นผลแห่งอกุศลกรรมที่สรรพสัตว์เหล่านั้นได้กระทำไว้ จะเป็นเหตุให้ไปสู่นรกภูมิ เราขอเป็นผู้ระงับมิจฉาทิฐิของสรรพสัตว์ทั้งหลายเอง และจะช่วยให้เหล่าสรรพสัตว์นั้นได้บังเกิดมีสัมมาทิฐิ หันมาบำเพ็ญจริยาของพระโพธิสัตว์และจะช่วยให้สำเร็จถึงพร้อมในพระโพธิญาณได้โดยไว
     
    มหาปณิธานประการที่ ๑๐ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพสัตว์เหล่าใดที่ต้องคดีอาญาหลวงถูกจองจำ ถูกพันธนาการด้วยโซตรวน ถูกโบยตี หรือต้องคดีถูกประหารชีวิตด้วยอาญาใหญ่น้อย ต้องประสบภยันตราย ถูกข่มเหงดูถูกเหยียดหยาม ไม่ได้รับความกรุณา ได้รับแต่ทุกขเวทนาทั้งกายและใจเป็นที่ยิ่ง หากเมื่อได้สดับนามแห่งเราแล้ว ด้วยคุณธรรมบารมีอันยิ่งใหญ่ของเรานั้น ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงได้หลุดพ้นสิ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง
     
    มหาปณิธานประการที่ ๑๑ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพสัตว์เหล่าใดที่ได้รับทุกข์ทรมานจากทุพภิกขภัย(ข้าวยากหมากแพง) อดอยากหิวกระหาย อีกทั้งผู้ที่ต้องกระทำกรรมชั่วเพื่อเลี้ยงชีพของตน เมื่อเขาได้สดับนามแห่งเราแล้ว และตั้งจิตอธิษฐานภาวนาถึงเราในเบื้องแรก ทิพยบริภัณฑ์แลทิพยสุธาโภชน์ ก็จะได้สำเร็จแก่เขาผู้นั้นอย่างบริบูรณ์ และในเบื้องอันเป็นที่สุดนั้น เขาจะได้เสวยอมฤตธรรม จะเป็นผู้ที่ถึงพร้อมในบรมสุขอันเยี่ยมยอดจำนวนอประมาณ
     
    มหาปณิธานประการที่ ๑๒ เมื่อเรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุถึงพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพสัตว์ผู้อนาถาขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ได้รับโรคภัยจากแมลงต่างๆ ผจญกับอากาศหนาวร้อนทุกวันคืน ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน เมื่อได้สดับนามแห่งเราแล้ว และตั้งจิตภาวนาสาราณียะด้วยความยึดมั่น ความทุกข์ทรมานทั้งหลายนั้นก็จะมลายหมดสิ้นไป เขาจะได้รับวัตถาภรณ์แพรพรรณอันเป็นทิพย์ในทันที อีกพรั่งพร้อมไปด้วยรัตนมณีอันมีค่าทั้งปวง เครื่องหอม เครื่องสังคีตดนตรีทั้งหลาย ก็จะได้สำเร็จแก่เขาผู้นั้นอย่างบริบูรณ์
     
                 ดูก่อน มัญชุศรี นี่คือปฏิปทาปณิธาน แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น พระผู้ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ในกาลสมัยที่พระองค์ทรงบำเพ็ญจริยาเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น พระองค์ทรงได้ประกาศมหาปณิธานทั้ง ๑๒ ประการอันยิ่งใหญ่ ดังนี้แล
     
                 สมัยนั้น พระศรีศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพุทธดำรัสต่อพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น เมื่อคราที่พระองค์ดำเนินโพธิสัตว์ปฏิปทาอยู่นั้น พระองค์ทรงประกาศมหาปณิธานปานฉะนี้ เพื่อจะยังพุทธเกษตรอันวิเศษสมบูรณ์ ให้บังเกิดขึ้นด้วยองค์คุณแห่งมหาปณิธานนั้น ถ้าเราตถาคต(พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า) จะพรรณนาถึงพุทธเกษตรแห่งนั้นไปตลอดเวลา ๑ กัลป์ ก็มิอาจที่จะพรรณนาได้หมดสิ้น ดินแดนพุทธเกษตรแห่งนั้นบริสุทธิ์ วิเศษ น่าอภิรมย์เป็นยิ่งนัก ปราศจากวิบากกรรมและอกุศลกรรมทั้งปวง ปราศจากสรรพสำเนียงแห่งความทุกข์ พื้นเมทนีดลของโลกธาตุแห่งนั้นมีสีดั่งรัตนไวฑูรย์ มีข่ายกระดึงทองเชื่อมโยงติดต่อกันกับโลกธาตุแห่งนี้(สหาโลกธาตุ) พรั่งพร้อมไปด้วยปราสาทราชมณเฑียร วิหารชาลมาลา ราชรถ อันล้วนแต่ประดับประดารังสรรค์ด้วยสัตปรัตนมณีทั้งสิ้น ซึ่งอลงกรณ์และวิจิตรพิสดาร ไม่พร่องไม่แตกต่าง ไม่ผิดเพี้ยนจากสุขาวดีโลกาตุ เบื้องทิศาตะวันตกเลยแม้แต่น้อย ในศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้นมีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์อยู่ ๒ พระองค์นามว่า "สุริยะประภา" พระองค์หนึ่ง และ "จันทรประภา" พระองค์หนึ่ง พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์นี้ประทับอยู่เป็นประธานในหมู่โพธิสัตว์อันมีมากมายเหลือคณานับ เป็นอัครสาวกแห่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น(พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต) มีความเข้าใจ รู้แจ้งในธารณี กุศโลบาย ของพระผู้มีพระภาคเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต และประทับอยู่ ณ ท่ามกลางรัตนธาตุมณฑลเป็นดังนั้น
    มัญชุศรี เหล่ากุลบุตร กุลธิดาทั้งหลาย สมควรตั้งจิตปรารถนาเพื่อที่จะไปอุบัติ ณ ศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตร อันเกษมแห่งนั้นเทอญ
     
                 เมื่อพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระพุทธเจ้า ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วนั้น ได้ทรงระลึกถึงปณิธานอธิษฐานธรรมของพระองค์ ทรงตรองดูความทุกข์ของหมู่สัตว์ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยจากโรคภัยทั้งปวง บางคนถูกมนตรายาพิษ บางคนมีอายุสั้นตามกรรมของตน บางคนมีอายุสั้นเนื่องจากอุบัติเหตุ ขาดยา ขาดหมอ ขาดการรักษา ถูกประหารตายหรือถูกการกระทำของภูตผี บางคนต้องทนทุกข์ทรมานไม่มีน้ำดื่มตายลงก็มี แต่พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมแพทย์ทางยา ทรงพระมหากรุณาธิกุลช่วยเหลือบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นตามพระปณิธาน อันเป็นอธิฐานธรรมบารมีของพระองค์โดยครบถ้วน

                  ตอนปลายของพระสูตรนั้น ทรงแสดงอนิสงของการบูชาพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพุทธเจ้าไว้ว่า "ผู้ใดก็ดี ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว ก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา "

                  สำหรับพระพุทธปฏิมาของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั้น เป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่ง โดยเฉพาะในหมู่พุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายาน ในประเทศธิเบต จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียตนาม ตลอดจนเขมร และไทย สำหรับประเทศไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ฝ่ายลังกาวงศ์ แต่ก็เคยรับเอาพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งแพร่หลายมาจากอาณาจักรศรีวิชัยทางตอนใต้ และจากอาณาจักรเขมร

                   ในอาณาจักรเขมรนั้นมีการสร้างพระกริ่งปทุมเพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีพิธีปลุกเสกประจุฤทธานุภาพเข้าไปตามกระบวนลัทธิมหายาน พระกริ่งปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์ สามารถป้องกันสรรพโรค อาพาธและอัปมงคลต่างๆ คติการสร้างพระกริ่งต่อมาได้แพร่หลายและสืบทอดกันในหมู่ชายไทย ในการสร้างนั้นจะสร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทรงถือเครื่องบำบัดโรค ถือบาตรน้ำมนต์ หรือผลสมอ เป็นต้น

     

     

                    พระกริ่งคือจักรพรรดิแห่งพระหล่อโลหะ มีกรรมพิธีการสร้างชั้นสูงที่สลับซับซ้อนด้วยศาสตร์และศิลป์ นิยมบูชาในราชสกุลหมู่ชุนนาง และคหบดีชั้นผู้ใหญ่ ตามประวัติการสร้างแต่อดีตปรากฎหลักฐานผู้สร้างเป็นพระมหาเถระชั้นสูงของคณะสงฆ์แห่งสุวรรณภูมิ เป็นปฐมตำราจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วกรุงเก่า ถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศ (ทรงสร้างพระกริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศไว้ด้วย) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิ แล้วตำราได้ตกทอดสู่วัดสุทัศนเทพวราราม โดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ติสสเทวมหาเถระ) ได้ทรงสร้างจอมกริ่งเทพโมฬีเป็นแบบฉบับของพระกริ่งไทย และปัจจุบันวัดสุทัศนเทพวรารามยังคงสืบทอดการสร้างพระกริ่ง และอนุรักษ์ตำราการสร้างพระกริ่งแห่งวัดสุทัศน์อยู่อย่างต่อเนื่อง

     

     

                     ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทวมหาเถระ) ได้รับสั่งไว้ว่า "กริ่ง" มาจากคำบาลีว่า กึ กุสโล" อ่านว่า "กง กุสโล" ซึ่งเป็นกุศลอะไรเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแปลกประหลาด ดังนั้นคำว่า "กึ กุสโล" จึงเป็นชื่อของ อเนญชา คือ "นิพพุติ" แปลว่าดับสนิทถึงพระนิพพานนั่นเอง เม็ดกริ่งในองค์พระนั้นสันนิษฐานว่า อนุวัติตามคติที่ว่า แม้เพียงได้สดับพระนามพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าก็อาจได้รับความสวัสดีได้ จึงประจุเม็ดกริ่งไว้เมื่อสั่นองค์พระ เชื่อว่าผู้สั่นจะได้บุญ ๒ ต่อ คือผู้สั่นได้เจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า และผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญตามไปด้วย

     

     

                     อานิสงส์ของการบูชาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า (พระกริ่ง) เชื่อว่า "ผู้ใดก็ดีได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว ก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้าย ศัสตราวุธ สัตว์ร้าย โจรภัย ยาพิษทั้งปวง ทำอันตรายไม่ได้" มีคาถาบูชาพระองค์เรียกว่า พระคาถามหาธารณี ดังนี้
     
    " นะโม ภะคะวะเต ไภษัชยะคุรุ ไวฑูรยะประภาราชายะ ตะถาคะตะยาระทะเต สัมยักสัมพุทธายะ โอมไภเษชเย ไภเษชยะ สะมุรคะเต สะวาหะ "
                   
                   โดยให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ เจริญพระคาถานี้ ๑๐๘ จบ เสกอาหารน้ำดื่มกิน จะสามารถดับสรรพปวงพยาธิ ได้วิเศษนักแล
      

    [ home ] [ back ]