แก่นแท้แห่งชีวิต |
แก่นแท้แห่งชีวิต( ๒๓ พ.ย. ๒๕๔๗ ) เรื่องความจริงของชีวิตนั้น ได้มีผู้ค้นพบและรู้เท่าทันความจริงนั้น ที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่าการตรัสรู้ เป็นการตรัสรู้หรือรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสอน หรือเรียนรู้มาจากตำราหรือคัมภีร์ใดๆ ทั้งสิ้น ในการตรัสรู้นั้น เราเรียกผู้ที่ตรัสรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นผู้เผยแผ่และทรงสั่งสอนความรู้ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ให้แก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กำเนิดมาในโลกที่เราอยู่นี้ มาแล้วด้วยกัน ๒๘ พระองค์ (ยังไม่นับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากจักวาลอื่นในโลกธาตุอื่น ที่มีอีกมากมายหลายพระองค์ ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๒๘ พระองค์นั้น แต่ละพระองค์ทรงกำเนิดมาในช่วงที่ห่างกันมาก เรียกว่าเป็นช่วงที่ว่างจากการตรัสรู้และเผยแผ่ความรู้ คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากพระองค์หนึ่งไปอีกพระองค์หนึ่ง (นั่นแสดงว่าจักวาลที่เราอยู่นี้มีการยุบตัว (รวมศูนย์) และระเบิดออกไป และเย็นตัวลง กลายเป็นโลกที่เราอยู่อาศัย มาแล้วหลายครั้งหลายหนนั่นเอง มีทั้งช่วงที่ไม่มีชีวิตอาศัยอยู่ และช่วงที่มีชีวิตอาศัยอยู่ ในช่วงนี้เองก็จะมีผู้มาตรัสรู้) โดยองค์สุดท้ายที่ทรงมาตรัสรู้คือพระโคตะมะ แห่งราชวงศ์ศากยะ ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๘ และเราได้ศึกษาธรรมะที่พระองค์ทรงตรัสรู้จากพระไตรปิฎก โดยมีพระอรหันต์สาวกของพระองค์ได้รวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ไว้ หลังจากพระองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว และได้มีการสวดท่องกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ พระไตรปิฎก ปิฎก แปลว่า ตะกร้า พระไตรปิฎก จึงแปลว่า ตะกร้าแห่งพระพุทธธรรม ๓ ใบ ซึ่งรวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ ประกอบด้วย ๑ พระวินัยปิฎก ประกอบด้วยคัมภีร์เกี่ยวกับวินัย และศีล ๒ พระสุตตัณตะปิฎก หรือ เรียกสั้นๆ ว่า พระสูตร ประกอบด้วยคัมภีร์ที่เป็นคำสอนในการเทศนาธรรมะกับบุคคลต่างๆ ทั่วไป มีการยก เรื่องราวต่างๆ ประกอบเป็นอุทาหรณ์ ๓ พระอภิธรรมปิฎก ประกอบด้วยคัมภีร์ธรรมะล้วนๆ เกี่ยวกับการดับทุกข์ มีศูนย์กลางอยู่ที่อริยสัจ ๔ คือหนทางแห่งการดับทุกข์ รวมพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทั้งหมด ๘,๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ธรรมะ ธรรมะมีความหมาย ๔ ประการดังนี้ ๑ ธรรมะหมายถึง ธรรมชาติ ๒ ธรรมะหมายถึง กฎของธรรมชาติ ๓ ธรรมะหมายถึง หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ ๔ ธรรมะหมายถึง ผลของการปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ
ธรรมชาติ ธรรมชาติประกอบด้วย สิ่งไม่มีชีวิต และ สิ่งมีชีวิต
สิ่งไม่มีชีวิต เป็น สัจธรรม( ธรรมชาติแท้ๆ ) สิ่งไม่มีชีวิต หมายถึง ธาตุทั้ง๔ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งธาตุแท้ๆ ทั้ง ๔ ธาตุ ไม่ได้เป็นธาตุที่ปรุงแต่งขึ้น จึงเรียกธาตุทั้ง ๔ ธาตุ เป็นสัจธรรม อนึ่ง ธาตุวิญญาณ เป็นธาตุรู้ ธาตุมีชีวิต แต่ไม่อาจเห็นด้วยตาของคนสามัญได้ ถ้าเป็นธาตุวิญญาณบริสุทธิ์แท้ๆ ถือว่าเป็นสัจธรรมด้วย
สิ่งมีชีวิต เป็น สมมุติธรรม (ธรรมชาติสมมุติ) สิ่งมีชีวิต เกิดจากการรวมตัวกันของธาตุทั้ง ๕ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุวิญญาณ เรียกว่า ขันธ์ ๕ เกิดเป็นรูป คือร่างกาย, เกิดเวทนา คือความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์, เกิดสัญญา คือความจำได้, เกิดสังขาร คือความคิด, เกิดวิญญาณ คือการรับรู้, เกิดเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วย่อมมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ไม่เที่ยง แตกดับไปได้ จึงอยู่ได้เพียงชั่งคราวไม่ถาวร จึงเรียกสิ่งมีชีวิตว่าเป็นสมมุติธรรม เป็นสิ่งสมมุติที่ปรุงแต่งขึ้นจากธาตุทั้ง ๕ ให้มาเป็นขันธ์ ๕ ดังนั้นขันธ์ ๕ จึงเป็นสมมุติธรรม ไม่ใช่สัจธรรม สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง โดยมีวิญญาณอันมี อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม เป็นสิ่งชักนำ ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น เกิดขึ้นก็เพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แตกดับตายลงไปก็เพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งมีชีวิตก็คือ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย และทุกข์ ทั้งหมดเป็นสมมุติธรรมคือเป็นธรรมชาติสมมุติ จะเป็นปรมัตถธรรม (ธรรมชาติที่เป็นแก่นแท้) ได้ ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาวะเป็น พระอรหันต์ หรือการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ทุกข์ เป็นสุขนิรันดร ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก
กฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติหมายถึง ๑ กฎแหง่ความไม่เที่ยงแท้ (กฎไตรลักษณ์) ๒ กฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิด (กฎปฏิจจสมุปบาท) ๓ กฎแห่งกรรม
๑ กฎแหง่ความไม่เที่ยงแท้ หรือกฎไตรลักษณ์ กฎแห่งความไม่เที่ยงแท้ หรือ กฎไตรลักษณ์ ได้แก่ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา หมายถึง เป็นทุกข์ ไม่เที่ยงแท้ ไม่มีตัวตน มนุษย์และสัตว์เกิดขึ้นมาแล้ว ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดความทุกข์, ไม่สามารถตั้งอยู่อย่างถาวรได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไป เสื่อมลงไป เป็นอนิจจัง, แตกสลายไป ไม่มีตัวตนดังเดิมเหลืออยู่ เป็นอนัตตา มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ และตาย เรียกว่ากฎไตรลักษณ์
๒ กฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือ กฎปฏิจจสมุปบาท ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และวิญญาณธาตุ วิญญาณธาตุเป็นตัวปรุงแต่งธาตุอื่นให้มีชีวิต และเมื่อตายไปแล้ว ธาตุดินสลายกลับคืนสู่ดิน ธาตุน้ำสลายกลับคืนสู่น้ำ ธาตุไฟสลายกลับคืนสู่ไฟ ธาตุลมสลายกลับคืนสู่ลม ธาตุวิญญาณสลายกลับคืนสู่โลกวิญญาณ ธาตุวิญญาณแตกต่างจากธาตุอื่นตรงที่ เป็นธาตุรู้ เป็นธาตุมีชีวิต เป็นธาตุมีกิเลสตัณหา และเป็นธาตุที่จะกลับมาเกิด และปรุงแต่งเป็นขันธ์ ๕ เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ขึ้นมาใหม่ การกลับมาเวียนวายตายเกิดนั้น มีวงจรชีวิตที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ได้แก่ ๑ อวิชชา ๒ สังขาร ๓ วิญญาณ ๔ นามรูป ๕ สฬายตนะ ๖ ผัสสะ ๗ เวทนา ๘ ตัณหา ๙ อุปาทาน ๑๐ ภพ ๑๑ ชาติ ๑๒ ชรามรณะ
รูปที่ ๑ แสดงวงจรชีวิต ปฏิจจสมุปบาท ๑๒
วงจรการเวียนว่าย ตาย เกิด ของชีวิต ตามกฎปฏิจจสมุปบาท ๑๒ การเวียนว่าย ตาย เกิด ของวิญญาณมนุษย์ และสัตว์ มีลักษณะเป็นวงจรแห่งชีวิต หรือวัฏจักรแห่งชีวิตเริ่มต้นจาก ๑ อวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้ในอริยสัจ ๔ ก่อให้เกิด ๒ สังขาร สังขาร คือ การคิด การปรุงแต่ง กิเลส ตัณหา การติดใจต้องการในกามราคะ การมีเพศสัมพันธ์กัน สังขารก่อให้เกิด ๓ วิญญาณ คือ การรับรู้ในความคิด การปรุงแต่ง กิเลส ตัณหา การติดใจในกามราคะ การรับรู้ในความต้องการในกามราคะนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย ชักนำให้ไปปฏิสนธิ ก่อให้เกิด ๔ นามรูป คือ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เกิดเป็นรูป คือ ร่างกาย เกิดเวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ นามรูป ก่อให้เกิด ๕ อฬายตนะ คือ อวัยวะแห่งการรับรู้ รับความรู้สึกทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อาฬายตนะ ก่อให้เกิด ๖ ผัสสะ คือ ความสัมผัส ความรู้สึก ที่ได้รับจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะ ก่อให้เกิด ๗ เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ความไม่รู้สึกสุขความไม่รู้สึกทุกข์ เวทนา ก่อให้เกิด ๘ ตัณหา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ได้แก่ ความทยานอยากต่างๆ ตัณหา ก่อให้เกิด ๙ อุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน เป็นคนเป็นสัตว์ เป็นคุณเป็นผม เป็นเธอเป็นฉัน ยึดมั่นในตัวกูของกู ขึ้นมา อุปาทาน ก่อให้เกิด ๑๐ ภพ คือ การวนเวียนเป็นนั่นเป็นนี่ การเป็นตัวเป็นตน เป็นคน เป็นสัตว์ ขึ้นสมบูรณ์แล้ว ภพ ก่อให้เกิด ๑๑ ชาติ คือ ช่วงเวลาของชีวิตหนึ่งๆ ช่วงเวลาของชีวิตคนๆ หนึ่ง ช่วงเวลาของชีวิตสัตว์ตัวหนึ่ง ชาติก่อให้เกิด ๑๒ ชรามรณะ คือ ความแก่ ความตาย เมื่อมรณะตายไปแล้ว ดวงวิญญาณออกจากร่างไป ด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้ใน อริยสัจ ๔ มีความโง่เป็นพื้นฐาน ด้วยความโง่เขลานั้นจึงไปปฏิสนธิอีก แล้วก็เข้าสู่วงจรการเวียนว่าย ตาย เกิด ของชีวิตอีก ดำเนินไปจนครบตามกฎปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ดังกล่าว
๓ กฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรม คือการกระทำความประพฤติของแต่ละบุคคล กฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมหมายถึง เกิดก็เพราะการกระทำของตนเอง มีชีวิตอยู่ก็เพราะการกระทำของตนเอง ตายก็เพราะการกระทำของตนเอง การเวียนว่าย ตาย เกิด ย่อมเป็นไปตามการกระทำของตนเอง กฎแห่งกรรมรวมถึงการปฏิบัติ การทำงาน โดยมีกฎว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎแห่งกรรมเป็นผู้บันดาลให้ชีวิตดำเนินไปในลักษณะเป็นวงจรชีวิต กรรมเป็นกฎธรรมชาติ กรรมบันดาลชีวิตให้เป็นไป
หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ แบ่งได้เป็น ๓ ลักษณะ ดังต่อไปนี้ ๑ แบ่งตามขั้นของความรู้ หรือญาณหยั่งรู้ ได้แก่ ๑.๑ สัญชาตญาณ คือ ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาชีวิตให้รอด ใช้ความรู้ เบื้องต้น ในการดำรงชีวิต การเลี้ยงชีพให้รอดปลอดภัย ๑.๒ ปัญญาญาณ คือ การปฏิบัติเพื่อทำให้ชีวิตสูงขึ้น ใช้ความรู้ชั้นสูง ทั้งทางด้านวัตถุคือด้านวิทยาศาสตร์ และความรู้ทางจิต คือทาง ศาสนา ทำให้ชีวิตมีคุณค่าสูงขึ้น มีจิตใจสูงขึ้น เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้เจริญ
๒ แบ่งตามลักษณะของการกระทำ ได้แก่ ๒.๑ การกระทำความดี การทำดี ทำถูก ย่อมยังผลให้ชีวิตรอด ปลอดภัย เป็นสุข เป็นการกระทำกรรมดี ๒.๒ การกระทำความชั่ว การทำชั่ว ทำผิด ย่อมยังผลให้เกิดความ เสียหาย ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เสื่อมเสียเกียรติยศ เป็นการกระทำกรรมชั่ว การกระทำกรรมดี และการกระทำกรรมชั่ว เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ถ้าต้องการชีวิตที่ดี มีความสุข ก็ต้องปฏิบัติกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว
๓ แบ่งตามการปฏิบัติจิตใจให้ผ่องใส หรือการปฏิบัติกรรมฐาน ได้แก่ ๓.๑ วิปัสสนากรรมฐาน คือ ทำจิตใจให้เกิดปัญญา ซึ่งเรียกว่า วิปัสสนาญาณ หมายถึงการเข้าใจธรรมะ และบรรลุธรรม โดย ปฏิบัติจิตใจให้เรืองปัญญาญาณ ๓.๒ สมถกรรมฐาน คือ การทำจิตใจให้เป็นสมาธิ เกิดฌาน (ความสงบของจิตใจ) อันหมายถึงรูปฌาณ และอรูปฌาณ
ผลของการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ยึดหลักตามโอวาทของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าที่ว่า ไม่กระทำความชั่ว กระทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ๑ ผลของการกระทำความชั่ว ย่อมได้รับความทุกข์ เกิดความเสียหาย เสียทรัพย์สิน เสียชื่อเสียงเกียรติยศ เสียชีวิต เป็นต้น ถ้าจะเทียบกับโลก วิญญาณ ก็จะได้แก่ ผู้ตกสู่อบายภูมิ ๔ คือ ๑ นรก ๒ เดรัจฉาน ๓ เปรต ๔ อสูรกาย
๒ ผลของการกระทำความดี ย่อมได้รับความสุข มีโภคทรัพย์เพิ่มพูน มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ถ้าจะเทียบกับโลกวิญญาณก็ได้แก่ ผู้ได้ไปสู่สวรรค์ ๖ ชั้น คือ ๑ จาตุมมหาราชิกา ๒ ดาวดึงส์ ๓ ยามา ๔ ดุสิตา ๕ นิมมานารตี ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้กระทำความดี เพื่อจะได้ไปสู่สวรรค์
๓ ผลของการกระทำจิตใจให้ผ่องใส คือการปฏิบัติธรรม หรือการปฏิบัติ กรรมฐาน ได้แก่ ๓.๑ วิปัสสนากรรมฐาน ผลคือ จะได้ปํญญาญาณเป็นอริยบุคคล ตามลำดับจากต่ำไปสูงคือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ๓.๒ สมถกรรมฐาน ผลคือ จะได้ฌาณ โดยแบ่งเป็นรูปฌาณ ๔ ชั้น ได้แก่รูปพรหม ๑๖ ชั้น และอรูปฌาณ ๔ ชั้น ได้แก่อรูปพรหม ๔ ชั้น รวมเป็นพรหม ๒๐ ชั้น และเป็นพระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ทำจิตใจให้ผ่องใส เพื่อจะได้เป็นพรหม อริยบุคคล และ พระอรหันต์
อริยสัจ ๔ อริยสัจ แปลว่า สัจจะของผู้ประเสริฐ หรือความจริงที่ทำให้เป็นผู้ประเสริฐ ซึ่งเป็นสัจจะทางปัญญา มี ๔ ประการคือ ๑ ทุกข์ คือ ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า การเวียนว่าย ตายเกิด เป็นทุกข์ ซึ่งมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ๒ สมุทัย คือ เหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์ ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นจากตัณหา และกิเลส ซึ่งเป็นเชื้อนำพาให้มีการเวียนว่าย ตายเกิด และเป็นเชื้อของความทุกข์ ๓ นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ การดับตัณหา ดับกิเลส ดับความดิ้นรนทะยาน อยาก ดับโลภ โกรธ หลง ๔ มรรค คือ หนทางปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ โดยแนวทางของ มรรค มีองค์ ๘ ดังนี้ ๑ ความเห็นชอบ ๒ ความดำริชอบ ๓ มีวาจาชอบ ๔ มีอาชีพชอบ ๕ การงานชอบ ๖ ความเพียรชอบ ๗ ความระลึกชอบ ๘ ความตั้งใจชอบ
มรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ คือ ธรรมะที่เป็นหนทางแห่งการดับทุกข์ และสร้างสุข โดยให้ปฏิบัติทั้งในระดับ บุญสิกขา ๓ (ทาน ศีล ภาวนา) และไตรสิกขา ๓ (ศีล สมาธิ ปัญญา)เพื่อจะไปสู่การเป็นเทวดา อริยะ พรหม และพระอรหันต์ในที่สุด ประกอบด้วย ๑ สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) คือ เห็นสัจธรรม เห็นสมมุติธรรม และเห็น พุทธธรรม เห็นว่าการปฏิบัติไปสู่นิพพานเป็นหนทางที่ถูกต้อง ๒ สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) คือ มีความคิดว่าจะปฏิบัติตนให้ได้ มรรคผลนิพพาน ๓ สัมมาวาจา (การมีวาจาชอบ) คือ ไม่โกหก ไม่หยาบคาย ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ส่อเสียด ๔ สัมมาอาชีวะ (การมีอาชีพชอบ) คือ ประกอบอาชีพที่ถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม ไม่เบียนเบียนผู้อื่น ๕ สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) คือ การทำงาน หรือการปฏิบัติงานปฏิบัติตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลไม่ทำ ๖ สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) คือ ความเพียรในการฝึกกรรมฐาน หรือความ เพียรในการทำงาน ประกอบการกุศล ๗ สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) คือ การตั้งสติมั่นอยู่ตลอดเวลา จิตใจอยู่ใต้บังคับ ของสติ ๘ สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจชอบ) คือ สติควบคุมจิตใจ จิตใจอยู่ด้วยกันตลอดเวลา คือให้ได้ เอกัคคตา (สภาวะ สติ จิต ใจ ทั้ง ๓ อย่าง รวมกันเป็น หนึ่งเดียว)
การปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ เป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม ดังนี้ ๑ ระดับฆราวาส ปฏิบัติบุญสิขา ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา (สมาธิ) ๑.๑ ปฏิบัติทาน เพื่อละความตระหนี่ เพื่อไม่ให้จิตใจเกิดความยึดมั่นถือมั่น ๑.๒ ปฏิบัติมรรคข้อศีล คือ การมีวาจาชอบ การมีอาชีพชอบ มีการงานชอบ เพื่อไม่ให้เกิดความว้าวุ่น ความขุ่นเคือง เข้ามาสู่จิตใจ ๑.๓ ปฏิบัติมรรคข้อสมาธิ คือ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจ ชอบ เพื่อให้จิตใจเกิดความแน่วแน่ เกิดความตั้งมั่น ที่จะเห็นและพิจารณา สิ่งต่างๆ ได้ด้วยความจริงที่ถูกต้อง เที่ยงตรง ถ้าปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา บ่อยๆ จิตใจสงบเป็นสมาธิ และพิจารณาจนเกิดปํญญารู้แจ้ง มีความเห็นชอบ เห็นสัจจธรรม เห็นสมมุติธรรม และเห็นพุทธธรรม เห็นว่านิพพานเป็นหนทางที่ถูกต้อง เกิดความดำริชอบ ที่จะปฏิบัติตนไปสู่มรรคผลนิพพาน
๒ ระดับภิกษุ ปฏิบัติไตรสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๒.๑ ปฏิบัติมรรคข้อศีล คือ การมีวาจาชอบ การมีอาชีพชอบ การงานชอบ เพื่อไม่ให้เกิดความว้าวุ่น ความขุ่นเคือง เข้ามาสู่จิตใจ ๒.๒ ปฏิบัติมรรคข้อสมาธิ คือ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจ ชอบ เพื่อให้จิตใจเกิดความสงบ ความตั้งมั่น จนเกิดปํญญารู้แจ้งเห็นจริง ในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒.๓ ปฏิบัติมรรคข้อปัญญา คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ โดยพิจารณา ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงว่า การปฏิบัติไปสู่นิพพานเป็นหนทางที่ ถูกต้อง และดำริจะปฏิบัติตนให้บรรลุมรรคผลพิพพาน
อาการของกิเลส กิเลสไม่ใช่ดวงจิต แต่เป็นเจตสิก คือกริยาอาการของดวงจิต กิเลสเป็นความต้องการเกี่ยวกับวัตถุและสังคม ได้แก่ โลภ โกรธ หลง เมื่อเกิดกริยาอาการของกิเลสขึ้นแล้ว ก็มีผลของกริยาอาการนั้น แผ่ซ่านเข้าไปเกาะอยู่กับดวงจิต ทำให้ดวงจิตไม่สะอาจผ่องใส เมื่อขจัดกิเลสเหล่านี้ได้แล้ว ดวงจิตก็จะผ่องใส กิเลสหมายถึง ๑ โลภ คือ ใจมีความอยากได้ของของคนอื่น โดยเจ้าของเขาไม่ให้ เจ้าเขาไม่ อนุญาต หรืออยากได้เกินสมควรที่จะได้ หรืออยากได้ เกิน ความจำเป็นที่จะต้องกินต้องใช้ ๒ โกรธ คือ การแสดงออกของใจในลักษณะกรุ่นโกรธ ขัดเคือง ฉุนเฉียว เพราะความไม่สบอารมณ์ของใจ ๓ หลง คือ ใจที่หลงยึดมั่นว่า สมมุติธรรมเป็นสัจธรรม เช่นหลงเชื่อว่าร่างกายนี้เป็นอมตะไม่มีวันตาย หลงเชื่อว่าทรัพย์สินเงินคู่รัก ญาติบริวาร จะไม่มวันพลัดพรากจากเราไป แต่สมมุติธรรมเหล่านั้น ย่อมตั้งอยู่ในกฎไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่จีรังยั่งยืน ไม่ใช่ของเรา บังคับให้อยู่กับเราเป็นอมตะไม่ได้ ถ้าผู้ใดยังคิดว่าให้อยู่กับเราเป็นอมตะได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้หลง อาการของตัณหา ตัณหาไม่ใช่ดวงจิต แต่เป็นเจตสิก คือกริยาอาการของดวงจิต ตัณหาเป็นความต้องการเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ ก่อให้เกิดการเวียนว่าย ตายเกิด ของมนุษย์และสัตว์ ได้แก่ ๑ กามตัณหา คือความต้องการมีเพศสัมพันธ์ ความต้องการในกามคุณ ๒ ภวตัณหา คือความต้องการเกี่ยวกับความรัก ความใคร่ ความสวย ความงาม ๓ วิภวตัณหา คือความไม่ต้องการในกามตัณหา หรือไม่ต้องการภวตัณหา แต่ไม่ ต้องการเป็นคนต่ำต้อย ไม่ต้องการเป็นคนยากจน ไม่ต้องการเป็นคนไม่หล่อ ไม่สวย ไม่ต้องการเป็นคนแก่ชราตาฝ้าฟาง เมื่อเกิดกริยาอาการของตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็เป็นผลให้ตัณหานั้น แผ่ซ่านไป เกาะติดอยู่กับดวงจิต ทำให้ดวงจิตไม่สะอาดผ่องใส ผูกพันอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด ผูกพันอยู่กับกามราคะ แต่เมื่อขจัดตัณหาออกจากดวงจิตได้แล้ว ก็จะทำให้ดวงจิตสะอาดผ่องใส ผู้ที่ตัดกิเลสตัณหาไม่ได้ ย่อมปฏิบัติตนไปตามกิเลสตัณหานั้น จึงก่อให้เกิดกรรม เมื่อตัดกิเลส ตัณหาได้แล้ว กระทำสิ่งใดด้วยกาย วาจา ใจ ตามหน้าที่ของตน ก็ไม่เกิดกรรม เพราะเป็นการกระทำไปตามหน้าที่ของตน จึงปราศจากกรรม กรรมย่อมจำแนกมนุษย์ให้แตกต่างกันทั้งดีและชั่ว เจตสิก เจตสิก หมายถึง กริยาอาการของจิต เช่น โลภ โกรธ หลง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สติ ปัญญา ความรู้สึก ความนึกคิดของจิต และความต้องการของจิต ทั้งหมดเรียกว่า เจตสิก การทำจิตใจให้ผ่องใส หมายถึง การทำเจตสิกในทางอกุศลให้หมดไป ให้เหลือแต่ในทางกุศล และให้สูงขึ้นไปอีกก็คือทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ ทางกุศลก็ไม่ต้องคิดทางอกุศลก็ไม่ต้องคิด การฝึกจิตก็คือ การฝึกเจตสิกไปสู่มรรคผล ให้เหลือแต่ดวงจิตแท้ๆ สภาวะจิตเป็นกลางต่อโลกธรรม จึงจะเรียกว่าได้นิพพาน ดังนั้น เราจึงสามารถแยกเจตสิกกับดวงจิตออกจากกันได้ ถ้าแยกเจตสิกกับดวงจิตออกจากกันไม่ได้ ความรู้แจ้งในทางวิปัสสนาญาณก็จะไม่เกิด แต่ถ้าแยกได้ดวงจิตก็จะขึ้นสู่อริยมรรคได้ และก็จะขึ้นสู่นิพพานได้ การแยกเจตสิกกับดวงจิตออกจากกัน ต้องแยกโดยปัญญาด้วยวิปัสสนาญาณหรือการแยกโดยการทำให้จิตใจเกิดความสงบเป็นสมาธิด้วยสมถกรรมฐาน |