ปุจฉา ! ทำไม่ต้องแก่ตาย

 

     

home

back

 

     

วิสัชชนา !

  • ตามคำสั่งสอนของศาสนาพุทธ โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวไว้ว่า " สังขารของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเป็นสิ่งไม่เที่ยง ต้องแตกดับไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ไม่ควรยึดติดยึดถือเป็นสิ่งแน่แท้ถาวร " แต่เนื่องจากธรรมะของพระพุทธองค์เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ผู้อยู่ในวัยหนุ่มวัยสาวผู้มี กิเลส ตัณหา อวิชชา เกาะกุมอยู่ จึงไม่อาจมองผ่านม่านมายา บรรลุถึงคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างทันทีทันใดในขณะนั้น เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นยังมาไม่ถึงตัว ฉันก็ยังหล่อยังสวยยังงามอยู่ยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่เห็นจะเสื่อมไปตรงไหน ถ้าเสื่อมไปฉันก็มีเงินทองไปทำให้มันสวยมันหลอได้ตลอดไปก็ได้ แต่ไม่ว่าท่านจะอยู่ในฐานะเช่นใดย่อมมีทุกข์เป็นของตนเองทุกคน ทุกคนจึงเท่าเทียบกัน ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ หรือต่ำต่อย ย่อมเกิดมามีทุกข์ไม่แตกต่างกัน พระที่บรรลุธรรมเป็นอาริยสงฆ์ตามประวัติโดยมากมักเกิดในตระกูลธรรมดาสามัญ แต่บิดามารดามักเป็นผู้เสื่อมใสในพุทธศาสนา นิยมสงเสริมบุตรให้บวชเรียนบำเบ็ญเพียร หรืออาจกล่าวได้ว่าท่านเกิดมาในตระกูลที่จะทำให้ท่านบรรลุมรรคผลเป็นอาริยสงฆ์ในชาตินั้นๆ นั่นเพราะท่านได้บำเพ็ญเพียรมาหลายภพหลายชาติ ต่างจากเราท่านทั้งหลายที่เต็มไปด้วย กิเลส ตัณหา อวิชชา ไม่อาจบรรลุสัจธรรมได้ในขณะนั้น จึงต้องรอดูผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดแด่สังขารของตัวเองเป็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอนไป ให้เห็นทุกข์ว่า เกิดก็เป็นทุกข์ มีชีวิตอยู่ก็เป็นทุกข์ ตายไปแล้วก็ไม่พ้นทุกข์ ดังนั้นถ้าเราด่วนตายเสียแต่ในวัยหนุ่มสาวเราก็ไม่อาจเห็นสัจจะธรรมของพระพุทธองค์ได้ เพราะไปเกิดใหม่ก็ย่อมเกิดมาพร้อมด้วย กิเลส ตัณหา อวิชชา เกาะกุมเต็มไปหมดไม่เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารได้ แต่ถ้าเรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตจนถึงบั้นปลายในวัยชรา เราก็ย่อมมีโอกาสได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกายสังขารว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ สังขารเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย และถ้าต้องวนเวียน เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่เช่นนี้เรื่อยไป ตามกฎปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ที่พระพุทธองค์แสดงไว้ วนเวียนอยู่เช่นนั้นหลายพันหลายหมื่นชาติย่อมไม่อาจหลุดพ้นทุกข์ได้ จนจะเกิดความเบื่อหน่ายจนถึงที่สุด อยากจะสำรอกเอา กิเลส ตัณหา อวิชชา ที่เกาะกุ่มตัวเราไว้ไปเสียให้หมดเสียได้ คนในวัยหนุ่มสาวก็เหมือนกับได้ลิ้มรสขนมบัวลอยไข่หวานถ้วยแรก มันช่างหอมหวาน มัน รสกลมกล่อมอะไรเช่นนี้ จนอยากจะลองลิ้มในถ้วยที่สอง สามเรื่อยไป แต่เชื่อเถอะไม่ว่าท่านจะเป็นคนกินเก่งแค่ไหน ย่อมต้องมีถ้วยหนึ่งนั่นแหละที่ความรู้สึก หอมหวาน มัน ของขนมบัวลอยไข่หวานถ้วยแรก จะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผะเอือดผะอม กลืนไม่เข้า จนอยากจะสำรอกเอาเจ้าขนมบัวลอยไข่หวานถ้วยแรก ถ้วยสอง สาม ออกไปเสียให้ได้ ชีวิตก็เป็นเช่นนั้น

  • เมื่อเกิดเบื่อหน่ายในสังขารอยากจะหลุดพ้นทุกข์แล้วจะทำอย่างไร กิเลส ตัณหา อวิชชา เกิดขึ้นที่จิตใจ ถ้าอยากหลุดพ้นทุกข์ก็ต้องดับ กิเลส ตัณหา อวิชชา ที่เกิดขึ้นในจิตใจให้หมดไป ให้เป็นจิตใจที่ว่างเปล่าบริสุทธิ์ การทำจิตใจให้ว่างจากกิเลสฟังดูเหมือนง่าย แต่ความจริงไม่ใช่ของง่าย แค่เรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ออกไปหากิเลสอะไรเลย แต่จิตใจก็แวบไปหาจนได้ คิดโน้นคิดนี่พากิเลสมาใสจิตใจมากกว่าออกไปหาเองเสียอีก บางทีก็เอาสัญญาเก่าๆ มาคิด บางทีก็ไปคิดถึงอนาคต เก็บโน้นเก็บนี่มาคิด นั่งอยู่เฉยๆ ก็ไม่อาจทำจิตใจให้ว่างเปล่าได้ เมื่อจิตใจเป็นเช่นนี้ในทางพุทธศาสนาพระพุทธองค์จึงได้กล่าวถึงหนทางของการหลุดพ้นทุกข์เอาไว้ตามแนวทางของมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งประกอบกันเป็นไตรสิขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และในมรรคทั้ง ๘ องค์ มีอยู่ ๓ องค์มรรคที่ประกอบกันเพื่อทำให้เกิดสมาธิที่สมบูรณ์ ได้แก่ สัมมาวายามะคือ ความเพียรในการฝึกกรรมฐานประกอบการกุศล สัมมาสติคือการตั้งสติมั่นอยู่ตลอดเวลา จิตใจอยู่ภายใต้การบังคับของสติ สัมมาสมาธิคือสติควบคุมจิตใจ จิตและใจอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเรียกว่าได้ เอกัคคตาคือ สติจิตใจรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และทำอย่างไรจึงจะทำให้จิตใจเกิดสมาธิได้ ขั้นเริ่มต้นก็ต้องจำกัดวงของจิตใจไม่ให้แวบไปโน้นไปนี่ โดยการฝึกกรรมฐานโดยวิธีอานาปาณสติ โดยกำหนดจิตให้จับอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นกำหนดจิตให้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หรือวิธีอื่นๆ ตามแต่ถนัด ค่อยๆ ฝึกเรื่อยไปจนจิตใจเกิดสมาธิสูงขึ้นๆ ไป ไม่แน่ท่านอาจทำกรรรมดีสะสมไว้ จนอาจบรรลุมรรคผลในชาตินี้ก็ได้ ข้าพเจ้าเคยเห็นหลวงปู่แหวนแห่งวัดดอยแม่ปั๋ง ทางทีวีหลายครั้ง ทุกครั้งที่เห็นท่านข้าพเจ้าจะเกิดปิติน้ำตาไหลทุกครั้ง ทั้งที่ไม่เคยไปกราบท่านแม้สักครั้งเดียว ดูกริยาอาการของท่าน ชังหมดแล้วจริงๆ ท่านอยู่เหนือกิเลสโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของท่านชั่งมีความสุขเปี่ยมด้วยเมตตาจริงๆ ท่านเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยจริงๆ ท่านไปแล้ว ท่านไปแล้ว ท่านไปดีแล้ว นึกถึงทีไรน้ำตาก็ไหลทุกครั้ง

  • การบวชเป็นพระ จะทำให้บรรลุสัจจธรรมของพระพุทธองค์ได้ดีกว่าการเป็นฆราวาส เพราะพระพุทธองค์ท่านวางแนวทางของศีลสำหรับพระสงฆ์ไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้ปฏิบัติให้อยู่ในกรอบ เพื่อให้เข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ได้ดีกว่า ดังนั้นพระสงฆ์ ที่ปฏิบัติจนสามารถบรรลุมรรคผล ท่านจึงมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ปราศจาก กิเลส ตัณหา อวิชา หลงเหลืออยู่กับดวงจิตเลยแม้แต่นิดเดียว คงเหลือแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ และวิมุติญาณทัสนะ เท่านั้นที่คงไว้กับดวงจิต นั่นเท่ากับเป็นดวงจิตที่หลุดพ้นทุกข์แล้วตลอดการ เป็นดวงจิตที่มีแต่ธรรมสุขเป็นความสุขนิรันดรดังนี้แล

[ home ] [ back ]