คุณสมบัติของสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน
สารเหล่านี้มีชื่อทางเคมีต่างกัน
แต่อยู่ในกลุ่มที่มีชื่อทางการค้าว่า
ฟรีออน ซึ่งเป็นสารพวกไฮโครคาร์บอนที่ได้จากการสังเคราะห์
เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่าง
ๆ สาร CFCs มีอยู่หลายตัว
เช่น CFC 11 สูตร CFCl3 , CFC-12
มีสูตร CFCI2 , CFC-22
มีสูตร ClCHF2 เป็นต้น
สารเหล่านี้มีสถานะเป็นก๊าซและใช้ประโยชน์เป็นตัวทำความเย็นในตู้เย็น
และโดยที่สารเหล่านี้เสถียรมาก
และไม่ติดไฟง่าย
จึงเป็นก๊าซในการฉีดโฟม (
foaming agent)
และที่สำคัญใช้มากที่สุดคือ
ใช้เป็นตัวนำในสเปรย์ต่าง
ๆ เช่น สเปรย์ฉีดผม
น้ำหอมโดยอัดเป็นของเหลวภายใต้ความดันสูง
เนื่องจากสาร CFCs
เป็นสารที่เสถียรมาก
และเป็นสารที่ได้มาจากการสังเคราะห์จึงไม่สลายตัวโดยจุลินทรีย์
ตามกระบวนการธรรมชาติ
สารเหล่านี้จึงอยู่ในบรรยากาศได้เป็นเวลานานมาก
สารทำความเย็น
ระยะเวลาคงสภาพ (ปี)
R-11
65
R-12
146
R-22
20
R-113
90
R-114
185
R-115
380
(หมายเหตุ R
เป็นรหัสที่สมาคม Ashare)
ใช้แทนสารทำความเย็นพวก CFCs)
จากคุณสมบัติที่สามารถคงสภาพในบรรยากาศได้นานของสาร
CFCs
จึงทำให้สารเหล่านี้ค่อย
ๆแพร่ผ่านเข้าไปยังชั้นล่างของสตราโตสเฟียร์
ซึ่งพันธะ c-cl
ในสารนี้สามารถแตกตัวได้ด้วยแสงอัลตราไวโอเลต
ทำให้คลอรีนอะตอมเป็นอิสระ
และทำปฏิกริยากับโอโซนที่มีอยู่ในบรรยากาศชั้นนี้
เกิดเป็นคลอรีนมอนอกไซด์
และออกซิเจน ดังสมการ
Cl + O3
------------------------- ClO + O2
คลอรีนมอนอกไซด์ที่เกิดขึ้นจะไปทำปฏิกริยากับออกซิเจนอะตอม
ทำให้เกิดคลอรีนอิสระซึ่งสามารถทำปฏิกิริยากับโอโซนได้อีกดังสมการ
ClO + O
--------- Cl + O2
นอกจากนี้ สาร CFCs
ที่ลอยอยู่แต่ยังไม่ถึงชั้นสตราโตสเฟียร์จะดูดรังสีอัลตราไวโอเลตของแสงอาทิตย์ทำให้เกิดผืนความร้อนทำให้อุณหภูมิโลกสูงกว่าเดิม
สาร CFCs
ได้รับการผลิตอย่างกว้างขวางในวงการอุตสาหกรรม
เช่น เป็นตัวทำละลาย
สารทำความเย็น
และสารผลักดัน (propellant)
ที่ใส่ในกระป๋องสเปรย์ต่างๆ
ถึงแม้ว่าการวัดปริมาณ CFCs
ในบรรยากาศเพิ่งจะเริ่มดำเนินการในทศวรรษนี้ก็ตาม
แต่ปริมาณความเข้มข้นในอดีตสามารถคิดประมาณจากการผลิตสาร
CFCs
และปริมาณในอากาศได้โดยพบว่ามีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ในช่วง
ค.ศ 1940-1950 มาจนถึงทศวรรษที่ 70
มีการลดปริมาณที่ผลิตลง(เพราะบางประเทศห้ามใช้
เช่น อเมริกา
ที่ห้ามใช้สาร CFCs ตั้งแต่
ค.ศ 1978)
เพราะพบว่าเป็นตัวทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ
แต่อย่างไรก็ตามช่วงนี้ยังมีการใช้สาร
CFCs เพิ่มขึ้นปีละ 4
เปอร์เซ็นต์
จากกิจกรรมอื่น ๆ
ในขณะที่สารฉีดในสเปรย์ลดลงจากร้อยละ
56 เป็น ร้อยละ 34
ของการผลิต CFCs ทั้งหมด
การเพิ่มของ CFCs
มีผลต่อชั้นโอโซน
ซึ่งความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้น
1 - 2 ppb
จะมีผลทำให้ความเข้มข้นของโอโซนลดลง
ร้อยละ 10 หรือมากกว่านั้น
(ฺBolle และคณะ, 1989)ถึงแม้ว่ามาตรการแก้ไขปัญหาจากสาร
CFCs จะนำมาใช้
แต่ปัญหาที่เกิดจาก CFCs
ในอดีตก็ยังคงมีผลต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากสารประเภทนี้คงตัวอยู่ในบรรยากาศได้นาน
|