อิทธิพล คุณปลื้ม
ฟากฝั่งภาคตะวันออก พื้นที่ จังหวัดชลบุรี คือที่หมาย ของการเลือกตั้ง ที่สำคัญอีกจังหวัดหนึ่ง ของพรรคชาติไทย เพราะที่นั่น มีตระกูล "คุณปลื้ม" คุมฐานเสียง อย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าจะเป็น การเลือกตั้ง สมัยใด อย่างที่ผ่านมา สนธยา คุณปลื้ม และ วิทยา คุณปลื้ม ได้มีที่นั่ง ในสภาหินอ่อน เรียบร้อยแล้ว จากนี้ไป อิทธิพล คุณปลื้ม คืออีกหนึ่งความหวัง
เหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้หนุ่มน้อยวัย 24 ที่เพิ่งหอบปริญญาโท จากอเมริกา มาสดๆ ร้อนๆ (ในเวลานั้น) ถึงกับเปลี่ยนใจ ก้าวสู่ถนนการเมือง แทนที่จะกลับไปเรียนต่อ ปริญญาเอก ก็คือ การชนะยกทีม ของ ส.ส.พรรคชาติไทย ในการเลือกตั้งปี 2539 นั่นเอง เนื่องจากการรณรงค์หาเสียง อย่างเข้มข้น ในปีนั้น เป็นการมีส่วนร่วม ทางการเมือง กับครอบครัว เป็นครั้งแรกในชีวิต ของอิทธิพล ก็ว่าได้ หลังจากที่ชีวิตทั้งชีวิต ทุ่มไปกับการเรียน ชนิดที่ว่า "การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่การเรียน" มาตลอด
บวกกับการซึมซับภาพของผู้คนที่ไปมาหาสู่ที่บ้านทุกวันๆ นับแต่จำความได้ จนกลายมาเป็นความตั้งใจที่จะแบ่งเบาภาระของครอบครัว ในที่สุด ก็ถึงวันตัดสินใจครั้งสำคัญ
""ผมคิดไว้แล้วว่า ถึงยังไงไปเรียนดอกเตอร์กลับมา ก็ต้องมาทำงานแบบนี้ ซึ่งเราก็ต้องทำอยู่แล้ว และนี่เป็นจังหวะโอกาสที่ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชน ซึ่งองค์กรท้องถิ่นส่วนใหญ่เรียกว่าให้การสนับสนุน หากเริ่มงานตอนนี้ มันจะมีทั้งกำลังใจและผลตอบรับที่ดี แต่ถ้าทิ้งไปอีกห้าปี เราก็ไม่ทราบว่าจะเป็นยังไง""
อิทธิพล หรือ ว่าที่ ส.ส.ติ๊ก เล่าถึงที่มาที่ไปให้ฟังอย่างแคล่วคล่อง สมกับประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวจากพื้นที่และพรรคชาติไทยมากว่า 3 ปี
เก็บเกี่ยวการศึกษาเต็มที่
""เรื่องการศึกษา คุณพ่อบอกว่า ให้เลือกเรียนสิ่งที่ชอบ แล้วตั้งใจเรียนไปอย่างเดียว เรื่องการที่จะต้องช่วยงาน ตอนนั้นยังไม่ต้องไปกังวล เพราะเดี๋ยวมันปนกัน พอทำงานการเมืองแล้วมันจะไขว้เขวเรื่องการเรียน แล้วท่านเองไม่ได้บังคับว่าจะต้องมาทำงานการเมืองหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง""
เมื่อผู้เป็นพ่อให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้น หลังจากจบชั้นประถมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา เด็กชายอิทธิพลก็เข้าสู่ประตูโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ ในสายการเรียนศิลป์คำนวณ ขณะเดียวกัน ก็เรียนหลักสูตร กศน.ควบคู่ไปด้วย จึงเอนทรานซ์ตอน ม.5 เข้านิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้สมความตั้งใจ
ถามถึงชีวิต 5 ปีในสวนกุหลาบฯ เรื่องเด็กเรียน ไม่ใช่อิทธิพลแน่นอน และถ้าจะดูพฤติกรรมจากชื่อ-นามสกุล แล้ว ก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน เพราะเจ้าของชื่ออธิบายถึงตัวจริงว่า ลักษณะจริงๆ นั้นสุดแสนธรรมดา แถมยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียนตั้งแต่ ม.2 พอ ม.ปลายก็ช่วยกิจกรรมชุมนุมเชียร์ เรียกว่าเป็นนักกิจกรรมมาตลอดก็ว่าได้
""เรียกว่า ถ้าพูดช่วงเข้าไปใหม่ๆ ม.1 ม.2 ทุกคนจะไม่ค่อยรู้จัก เอ๊ะ..คนไหนลูกกำนันเป๊าะ มีมาจนถึงมหา"ลัย เขาก็หาลักษณะท่าทางจะใช่ ตัวใหญ่ๆ เข้มๆ อะไรอย่างนี้ พอมาเห็นเรา สมัยตัวเล็กๆ ก็บอกนี่น่ะเหรอ ก็ค่อนข้างความรู้สึกขัดกันกับเขา เพราะว่าต้องยอมรับว่าในช่วงสิบปีที่แล้ว ภาพลักษณ์ของคุณพ่อช่วงนั้น ทั้งสื่อและคนที่ไม่เคยคลุกคลี ก็จะเข้าใจว่าเป็นผู้มีอิทธิพล หรืออะไรอย่างนั้น ในช่วงนั้นคนก็จะมองว่า ลูกจะต้องเป็นยังไง แต่ตอนนั้นก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะอยู่ในวัยเรียน ค่อนข้างเด็กอยู่""
บรรดาเพื่อนร่วมรุ่น-ร่วมก๊วนที่จบสวนกุหลาบฯ รุ่นเดียว คือ ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ เห็นหน้ากันตั้งแต่อัสสัมฯ จนจบ ม.3 สวนกุหลาบฯ ฝ่ายศิริวัฒน์แยกไปเรียนที่อเมริกา แต่ยังติดต่อกันอยู่ ยิ่งช่วงเรียนมหาวิทยาลัยยิ่งสนิทกันมากขึ้น เพราะมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งคอยติดต่อเป็นตัวกลางให้เจอกันบ่อยๆ ถือว่าเป็นเพื่อนที่ยังสนิทสนมกันอยู่ โดยเฉพาะช่วงที่อิทธิพล คว้าปริญญาโทนิติศาสตร์มหาบัณฑิต LL.M International จาก Golden Gate University สหรัฐ และตัดสินใจลงการเมือง จากที่เคยคุยกันเรื่องเรียน เรื่องเที่ยว ก็กลายมาเป็นเรื่องพื้นที่เลือกตั้งล้วนๆ
แนวโน้มของเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ อิทธิพลบอกว่า ยังไม่ชัดเจนว่าจะลงสู่ถนนการเมืองหรือไม่ แต่สำหรับตัวเองนั้น คงไม่ไปชักชวนใคร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้คิดอย่างเดียวคือ การทำงานให้ดีที่สุด
สู่ความเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่
""หลังจากมาช่วยพี่ชาย แล้วคิดก่อนว่านิสัยของเราไปกับงานนี้ได้มั้ย มาคิดดูแล้วว่าเราเองก็พบปะสังคมตั้งแต่สมัยเรียน และเข้ากับมวลชนได้ แล้วก็ใช้วิชาความรู้ปรับเข้ากับมันได้ ยิ่งรัฐธรรมนูญใหม่ กำหนดให้ ส.ส. ทำงานด้านนิติฯ อย่างเดียว เรื่องที่เรียนมาก็คงนำมาปรับใช้ได้ดี ประกอบกับที่ได้คิดล่วงหน้าไว้แล้ว และถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม ก็เลยเริ่มทำงานซะเลย ดีกว่าที่จะไปเล่นอีกทีตอนปี 2545""
เริ่มต้นในส่วนพื้นที่อิทธิพล พร้อมชนิดที่ว่า ถ้าประชาชนเรียกร้องมาแล้วจะไม่มีคำว่า "ไม่" แรกๆ จะเห็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี เดินตามกำนันเป๊าะบ่อยๆ บางครั้งประกบคู่กับ ส.ส.ผู้พี่ ทั้งในฐานะผู้ติดตามและตัวแทน ส.ส. แต่หลังๆ มานี้มักจะฉายเดี่ยว ไม่ว่าจะงานบุญงานบวชงานสวดงานแต่ง ว่าที่ ส.ส.ติ๊ก จะไปร่วมงานอย่างสม่ำเสมอ จากที่เคยสงสัยว่าทำไม ส.ส.ต้องออกทุกงาน ก็เริ่มเข้าใจวิถีชีวิต ส.ส.ในต่างจังหวัด ที่ค่อนข้างหลากหลาย และต้องทำงาน 2 อย่างควบคู่กันไป ทั้งด้านสภา และการดูแลประชาชนในพื้นที่ให้อยู่ดีกินดี
สำหรับชุดออกงานที่เห็นบ่อยสุดจะเป็นเสื้อผ้าไหมแบบไทยๆ อย่างนี้แหละที่ถูกใจทุกผู้ทุกงาน ยิ่งมีลีลาการออดอ้อนลูกคอ ไม่ว่าจะเป็นเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง หรือเพลงฝรั่ง ว่าที่ ส.ส.ติ๊ก ไม่มีอิดออดที่จะไปร่วมงาน รวมถึงงานวิชาการที่ว่าด้วยเรื่องทันเหตุการณ์และแบ่งตามกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญ อย่างประชุมผู้บริหารครู ก็เป็นเรื่อง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติล้วนๆ
ระยะเวลา 7 วันจึงอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ถึง 5-6 วัน โดยเฉพาะ อ.ศรีราชา ส่วนวันที่เข้ากรุงเทพฯ แน่ๆ คือวันอังคาร เพื่อเข้าประชุมพรรคในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาและกลั่นกรอง พ.ร.บ.พรรคชาติไทย ในช่วงเช้า ก่อนนำเสนอให้กับที่ประชุมใหญ่ในช่วงบ่าย
2 ปีที่ผ่านมานี้ จึงทำให้รู้จักผู้ใหญ่และใกล้ชิดกับบุคคลในวงการอย่างมาก อย่าง ส.ส.ในสภาฯก็รู้จักเกินสองในสามก็ว่าได้ โดยเฉพาะตำแหน่งผู้ติดตาม ส.ส.ในช่วงแรกๆ รวมถึงที่ปรึกษา รมช.คมนาคมนั้น ถือว่าเป็นโอกาสดี ที่ได้ฝึกประสบการณ์ตรงก่อนถึงเวลาทำงานจริงๆ
""สิ่งที่คิดไว้ว่าอยากทำในปี 2000 นี้ ก็คงเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น คือสิ่งแวดล้อม แล้วก็เรื่องของพลังงาน ถ้าเข้าไปแล้ว ก็จะดูเรื่องกฎหมายว่าจะมีอะไรปรับปรุงให้มันทันยุคทันสมัย""
สำหรับเรื่องเด็ก กีฬา เยาวชนห่างไกลยาเสพย์ติด เป็นเรื่องเดิมๆ ซึ่งผู้แทนฯไม่ใช่รุ่นใหม่ก็ทำได้ดีอยู่แล้ว แต่ในฐานะรุ่นใหม่ ก็อยากคิดอะไรที่เป็นยุคใหม่บ้าง ซึ่งแต่ละเรื่องนั้นก็แล้วแต่ใครจะนำเรื่องไหนมาเป็นหลักการทำงานของแต่ละคน
""ผมมองว่าการทำงานมวลชน เป็นเรื่องของเนื้อหาสาระด้วย เพราะเราควรมีหลักเกณฑ์ ทิศทางในการทำงานว่าเราจะทำงานด้านไหน จะทำให้เราทำงานอย่างมีแนวทาง คนที่อยากช่วยเรื่องนี้จะได้นึกถึงเรา ซึ่งขอเล่าเป็นตัวอย่างว่า ในเรื่องการช่วยเหลือเด็ก ผู้หญิงเยาวชน ยุคนี้ ก็นึกถึง รมต.ปวีณา ฉะนั้นยุคหน้า ถ้าใครนึกถึงสิ่งแวดล้อมพลังงานก็อยากให้นึกถึงอิทธิพลไปเลย"
คุณปลื้มรุ่นใหม่ไร้เงาเจ้าพ่อ
ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่และยังเป็นเยาว์บนถนนการเมือง อิทธิพล จึงมีนักการเมืองในดวงใจอยู่หลายคน ถ้าเป็นเรื่องการพูดการจาน่าเชื่อถือ ต้องดูอย่างนายกฯชวน หลีกภัย แต่ถ้าจะดูความขยันเอาใจใส่การงาน ก็ต้องดูจากหัวหน้าพรรค บรรหาร ศิลปอาชา แต่ถ้าเป็นเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ สนธยา คุณปลื้ม ก็เป็นตัวอย่างที่ดี แล้วก็นำแบบอย่างที่ดีเหล่านั้นมาหลอมใช้ส่วนตัวได้
สำหรับแบบอย่างผู้ปกครองที่ดีที่ อิทธิพล อยากมีและอยากเป็น ก็คือ หลักการเอาใจใส่คน อย่างผู้เป็นพ่อ นั่นเอง เพราะพ่อสอนไว้ว่าต้องยึดถือความยุติธรรม ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
""อย่างคุณพ่อ เป็นเรื่องของการที่ดูแลคนมากๆ ทำอย่างไรที่จะจำคนเป็นพันเป็นหมื่นคนได้ แล้วรู้ว่าเขามาจากพื้นที่ไหน และเขาต้องการอะไร การที่จะประนีประนอมระหว่างความต้องการของทุกคน ให้เท่ากัน ทำอย่างไรให้ทุกคนได้ความเสมอภาค การที่จะให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน ดูมาจากคุณพ่อเป็นหลักเลย เป็นงานยากนะครับ คิดว่า ทำได้ดีได้ครึ่งหนึ่งของคุณพ่อก็ภูมิใจแล้ว เพราะเรื่องอย่างนี้ต้องอาศัยเวลา ต้องค่อยๆ ทำไป""
กว่า 3 ปีที่ลงทุนลงแรงไป เวลานี้ ทำให้ อิทธิพล รู้พื้นที่ รู้คน รู้งาน รู้ความต้องการของชาวศรีราชามากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นหลักในการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเส้นทางสู่สภาหินอ่อนไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ถึงกระนั้น อิทธิพล ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเรียบร้อยแล้ว แต่ถือว่าตนเองโชคดีมากกว่า ที่ได้ตัดสินใจเมื่อ 3 ปีก่อน
ส่วนความเป็น "คุณปลื้ม" จะผลักดันให้ไปสู่ผลสำเร็จได้ง่ายขึ้นหรือไม่นั้น อิทธิพลตอบทันทีว่าเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าพื้นฐานและการทำงานที่ครอบครัว นับจากคุณพ่อ พี่ชาย และทีมงาน ส.ส.ได้ทำไว้ เป็นผลงานและเป็นหลักอ้างอิงที่จะให้พัฒนาไปเร็วกว่าคนอื่น หรือว่ามีพื้นฐานที่ดี และเป็นโอกาสในการทำงานได้เร็วกว่าคนอื่นเท่านั้น
""ในเรื่องการทำงาน ต้องให้เกิดผลด้วยตนเอง จะต้องสร้างฐานด้วยความคิดของตัวเราเอง เวลาเขาเลือก ต้องให้เลือกว่าเลือกอิทธิพลนะ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นลูกคุณพ่อ หรือเป็นน้องคุณพี่""
ในวันนี้ อิทธิพล ไม่ต้องตอบใครๆ แล้ว ก็เห็นจะเป็นคำถามที่ว่า คิดอย่างไรกับการที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล เพราะมรสุมนี้ทางพี่ๆ ได้ฝ่าทางให้เรียบไปหมดแล้ว ทั้งคำพูดและการทำงาน
""เท่าที่ผ่านในช่วงแรกๆ คุณพ่อทำงานของท่าน ก็อาจจะพูดถึงว่าท่านเป็นผู้มีอิทธิพลบ้าง เจ้าพ่อบ้าง ในยุคหลังๆ พอรุ่นลูกๆ มาช่วยทำงาน ในส่วนของสภา หรือรัฐบาลส่วนกลางก็ดี ทำให้ลูกได้เป็นอีกแรงหนึ่งที่จะช่วยลงไปสัมผัสกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่คุณพ่อไม่ได้สัมผัสบ่อยนัก เราก็จะเข้าได้บ่อยกว่า อันนี้แหละ พอเขาได้รู้จักคลุกคลี เขาก็จะบอกว่าพอได้สัมผัสก็ไม่เป็นอย่างที่พูดนะ เพราะตอนแรกไม่รู้จัก อาจจะไม่ตรงกัน ทำให้ปรับความรู้สึกไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งตอนนี้ผลลานทั้งจากผู้แทนราษฎร และของคุณพ่อเองที่ได้ดูแล การปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการต่างๆ เห็นเป็นรูปต่างๆ ทำให้ภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่านักเลง เจ้าพ่อ ค่อนข้างลดน้อยลงไปมาก อันนี้มองในเรื่องทำอย่างไร ที่จะพัฒนาชลบุรีให้ดีขึ้น""
ท้ายสุด อิทธิพลฝากถึงคนรุ่นใหมที่จะเข้ามาทำงานรุ่นนี้ว่า ทุกคนต้องพร้อมทั้งการศึกษา ฐานะ และจิตใจ ถึงแม้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้ามานั้น จะเพียงเพื่อนเป็นตัวแทนครอบครัว หรือเพื่อรักษาฐานเสียงเดิมไว้ก็ตาม แต่ด้วยหลักการทำงานของคนเจนเนอเรชั่นเดียวกัน เชื่อว่าความคิดในเรื่องที่จะทำไม่ดีต่อบ้านต่อเมือง แทบไม่มีเลยก็ว่าได้