ประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษา
การบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ยังมีประเพณีสำคัญอยู่
๒ ประเพณี
ควรนำมากล่าวไว้
ณ ที่นี้
ดังนี้
๑.
ประเพณีแห่เทียนพรรษา
ประเพณีนี้คงเกิดขึ้นจากความจำเป็นที่ว่าสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้กันดังปัจจุบัน
เมื่อพระสงฆ์จำพรรษารวมกันมาก
ๆก็จำต้องปฏิบัติกิจวัตรเช่น
การทำวัตรสวดมนต์เช้ามืดและตอนพลบค่ำ
การศึกษาพระปริยัติธรรมกิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องการแสงสว่างโดยเฉพาะ
แสงสว่างจากเทียนที่พระสงฆ์จุดบูชาพระรัตนตรัยและเพื่อต้องการใช้แสงสว่างโดยตรงด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนจึงนิยมหล่อเทียนต้นใหญ่
กะว่าจะจุดได้ตลอดเวลา
๓
เดือนไปถวายพระภิกษุในวัดใกล้
ๆบ้านเป็นพุทธบูชา
เทียนดังกล่าวเรียกว่าเทียนจำนำพรรษา
ก่อนจะนำเทียนไปถวายนี้
ชาวบ้านมักจัดเป็นขบวนแห่แหนกันไปอย่างเอิกเกริกสนุกสนานเรียกว่าประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษาดังขอสรุปเนื้อหาจากหนังสือนางนพมาศ
ดังนี้
เมื่อถึงวันขึ้น
๑๔ ค่ำ
ทั้งทหารบกและทหารเรือก็จัดขบวนแห่เทียนจำนำพรรษา
ทั้งใส่คานหาบไปและลงเรือประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำประดับธงทิว
ตีกลอง
เป่าแตรสังข์
แห่ไป
ครั้นถึงพระอารามแล้วก็ยกต้นเทียนนั้นเข้าไปถวายในพระอุโบสถหอพระธรรม
และพระวิหารจุดตามให้สว่างไสวในที่นั้นๆ
ตลอด ๓ เดือน
ดังนี้ทุกพระอาราม
ในวัดราษฎร์ทั้งหลาย
ก็มีพิธีทำนองนี้ทั่วพระราชอาณาจักร
ปัจจุบัน
ประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษานี้ยังถือปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป
บางจังหวัด
เช่น
อุบลราชธานี
ถือให้เป็นประเพณีเด่นประจำจังหวัดตนได้จัดประดับตกแต่งต้นเทียนใหญ่ๆ
มีการประกวดแข่งขันแล้วแห่แหน
ไปถวายตามวัดต่าง
ๆ
๒.
ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝนการถวายผ้าอาบน้ำฝนนี้
เกิดขึ้นแต่สมัยพุทธกาล
คือ
มหาอุบาสิกา
ชื่อว่า
วิสาขาได้ทูลของพระบรมพุทธานุญาตให้พระสงฆ์
ได้มีผ้าอาบน้ำสำหรับผลัดเปลี่ยนเวลาสรงน้ำฝนระหว่างฤดูฝน
นางวิสาขาจึงเป็นสตรีคนแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระสงฆ์
ด้วยเหตุนี้
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา
พุทธศาสนิกชน
ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยราชธานี
จึงนิยมนำผ้าอาบน้ำฝนไปถวายผ้าอาบน้ำฝนถวายพระสงฆ์ผู้จะอยู่พรรษา
พร้อมกับอาหารและเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง
ๆ
แม้ในปัจจุบัน
พุทธศาสนิกชนไทยก็คงยังปฏิบัติกิจกรรม
อย่างนี้อยู่บางวัดมีการแจกฎีกานัดเวลา
ประกอบพิธีถวายผ้าอาบน้ำฝน
(วัสสิกสาฎก)
หรือ
ผ้าจำนำพรรษาและเครื่องใช้อื่นๆ
ณ
ศาลาบำเพ็ญกุศลของวัดใกล้บ้าน
วันเข้าพรรษา
การเข้าพรรษา
เป็นพุทธบัญญัติ
ซึ่งพระภิกษุทุกรูปจะต้องปฏิบัติตาม
หมายถึง
การอธิษฐานอยู่ประจำที่ไม่เที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ
เว้นแต่มีกิจจำเป็นจริง
ๆช่วงจำพรรษาจะอยู่ในช่วงฤดูฝนคือแรม
๑ ค่ำ เดือน ๘
ถึง ๑๕ ค่ำ
เดือน ๑๑
ของทุกปี
ดังนั้น
วันเข้าพรรษา
หมายถึง
วันที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาอธิษฐานอยู่ประจำในวัดหรือเสนาสนะที่คุ้มแดดคุ้มฝนได้แห่งหนึ่งไม่ไปค้างแรมในที่อื่น
ตลอด ๓
เดือนในฤดูฝน
วันเข้าพรรษานี้มีความสำคัญต่อพุทธศาสนิกชนและเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาด้วยเหตุผลดังนี้
๑.
พระภิกษุจะหยุดจาริกไปยังสถานที่อื่นๆแต่จะเข้าพักอยู่ประจำในวัดแห่งเดียวตามพุทธบัญญัติ
๒.
การที่พระภิกษุอยู่ประจำที่นานๆ
ย่อมมีโอกาสได้สงเคราะห์กุลบุตรที่ประสงค์จะอุปสมบทเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและสงเคราะห์พุทธบริษัททั่วไป
๓.
เป็นเทศกาลที่พระพุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง
ๆ เช่น
การดื่มสุราสิ่งเสพติด
และการเที่ยวเตร่เฮฮา
เป็นต้น ๔.
นอกจากเป็นเทศกาลที่พุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง
ๆ
แล้วในช่วงเวลาพรรษา
พุทธศาสนิกชนทั่วไปจะบำเพ็ญทาน
รักษาศีลฟังธรรม
และเจริญภาวนามากขึ้น
วันออกพรรษา
วันออกพรรษา
หมายถึง
วันที่พ้นจากข้อกำหนดทางพระวินัยที่ต้องอยู่ประจำที่หรือในวัดแห่งเดียวตลอด
๓ เดือน
ในฤดูฝนกล่าวคือ
เมื่อพระภิกษุได้อธิฐานอยู่จำพรรษาในวันแรม
๑ ค่ำ เดือน ๘
(หรือ เดือน ๙
กรณีเข้าพรรษาหลัง)
แล้วอยู่ประจำที่หรือวัดนั้นเรื่อยไป
จนสิ้นสุดในวันขึ้น
๑๕ ค่ำ
เดือน๑๑ (หรือเดือน
๑๒ ในกรณี
เข้าพรรษาหลัง)หลังจากนี้ก็สามารถจาริกไปค้างแรมที่อื่นได้
วันออกพรรษานี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
วันปวารณา
หรือ
วันมหาปวารณา
คือวันที่พระสงฆ์ทำปวารณากรรม
คือเปิดโอกาสให้เพื่อน
พระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันด้วยเมตตาจิตได้
เมื่อได้เห็นได้ฟังหรือ
สงสัยในพฤติกรรมของกันและกันวันออกพรรษานี้
๑.นับเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนาด้วยเหตุผลดังนี้.
พระสงฆ์ได้รับพระบรมพุทธานุญาตให้จาริกไปค้างแรมที่อื่นได้
๒.
เมื่อออกพรรษาแล้วพระสงฆ์จะได้นำความรู้จากหลักธรรม
และประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างพรรษาไปเผยแพร่แก่ประชาชน
๓.
ในวันออกพรรษา
พระสงฆ์ได้ทำปวารณา
เปิดโอกาสให้
เพื่อนภิกษุว่ากล่าวตักเตือนเรื่องความประพฤติของตนเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ความเคารพนับถือ
และความสามัคคีกันระหว่างสมาชิกของสงฆ์
๔.พุทธศาสนิกชนได้นำแบบอย่างไปทำปวารณาเปิดโอกาสให้
ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเองเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาตนและสร้างสรรค์สังคมต่อไป
|