...แม้พระคชาธารจะโลดแล่นไปเพียงสองช้าง
โดยท้าวพระยามุขมนตรี และ โยธาหาญ ซ้ายขวาหน้าหลัง จะไล่ ตามมิทัน แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์
หาได้ทรงหวั่น ไหวไม่ ทรงขับพระคชาธาร เข้าโจม แทงช้างม้าลี้พล ปรปักษ์ ไล่ส่ายเสยถีบฉัดตะลุมบอน
จนพลพม่ารามัญที่เต็มไปทั้งทุ่งกว้าง สมรภูมิเลือด ล้มตายเกลื่อนกลาด ช้าง ข้าศึกได้กลิ่น
น้ำมันพระคชาธารก็หกหันตลบปะกันเป็นอลหม่าน พลพม่ารามัญ ก็โทรมยิง ธนูหน้า ไม้
ปืนไฟ ระดม เอาพระคชาธาร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ และธุมาการก็ตลบ
มืด เป็นหมอกมัวไป มิได้เห็นกัน ประจักษ์ ครานั้น พระบาทสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า
ตรัส ประกาศแก่ เทพยดาทั้งปวงว่า.... "ให้เราบังเกิดมาในประยูรมหาเศวตฉัตร
จะให้บำรุง พระบวรพุทธศาสนา ไฉนจึงมิช่วย ให้สว่าง แลเห็นข้าศึกเล่า"
พอตกพระโอษฐ์ลง บังเกิด เหตุอันเป็นอัศจรรย์อาถรรพณ์ พิศดารในบัดดล พระพายได้พัด
โหมแรงจัดพัดควันอัน หมอกควันนั้นสว่างไปทั้งทุ่งทอดพระเนตรเห็นช้างเศวตฉัตร
๑๖ ช้าง มีช้างดั้งช้างกันยืน อยู่เป็นอันมาก แต่มิไดเห็น พระมหาอุปราชา ครั้นเหลือบไป
ฝ่ายทิศขวา พระหัตถ์ เห็นช้าง เศวตฉัตรช้างหนึ่งยืนอยู่ ณ ฉายาไม้ข่อย มีเครื่องสูง
และ ทหารหน้า ช้างมาก ก็เข้าพระทัย ว่าช้างพระมหา อุปราชา พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์
ก็ขับพระ คชาธาร ตรงเข้าไป ทหารหน้าช้างข้าศึกต่างวางปืน จ่ารงมณฑกนกสับตะแบงแก้ว
ระดมยิง เป็นห่าฝน แต่กระสุนปืน หาไดัต้อง พระวรกาย และพระคชาธาร แม้สักนัดเดียว
ประหนึ่งมี ม่านแก้ว อาถรรพณ์สกัด กั้นไว้ สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ตรัสร้องเรียกด้วย
พระสุรเสียง อันดังว่า
'พระเจ้าพี่เรา
จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่าเชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกันให้เป็น เกียรติยศ
ไว้ในแผ่นดิน เถิด
กาลภายหน้าไปไม่มีกษัตริย์ที่จะได้ทำยุทธหัตถีอีกแล้ว'
พระมหาอุปราชาได้ฟังดังนั้น ละอายพระทัยยิ่งนัก มีขัตติยราชมานะบ่าย
พระคชาธาร ออกมารับ เจ้าพระยา ไชยานุภาพ เห็นช้างข้าศึกก็เร็วไปด้วยมีน้ำมันมิทันยั้ง
จึงเสียทีพลาย พัทกอ ได้ล่าง แบก ลุนมา พระมหา อุปราชา ฉวยนาทีทอง จ้วงฟันด้วยพระแสง
ของ้าว หมายที่พระเศียร สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงพระองค์ หลบทัน พระแสง ของ้าวจึงฟัน
ปีกพระมาลาขาดโดยที่ พระแสงของ้าวมิได้ต้องพระองค์ หลังจากเสียที พระคชาธาร พลายพัทกอ
ที่พระ มหาอุปราชาทรงอยู่ พระคชาธารเจ้าพระยา ไชยานุภาพที่ สมเด็จ พระนเรศวร
ทรงกลับได้เปรียบ สบัดลงได้ล่าง แบกถนัด พลายพัทกอ เบี่ยงเบนไป เป็น จังหวะที่
สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ได้ที จ้วงฟันด้วยพระแสงพลพ่าย ต้อง พระอังสะ เบื้องขวาของพระมหาอุปราชาตลอดลงมา
จนปัจฉิมุรา ประเทศซบลงกับคอช้าง ขณะเดียว กันกับ มหานุภาพ ควาญพระคชาธารพระนเรศวรต้องปืนข้าศึกตาย
ระหว่าง สมเด็จ พระนเรศวร เป็นเจ้า ทำยุทธหัตถี กับ พระมหาอุปราชา เจ้าพระยาปราบไตรจักร
ซึ่งเป็น พระคชาธาร สมเด็จพระเอกาทศรถ พระราชอนุชาเข้าชนด้วย พลาย พัชเนียงช้าง
มางจาชโร เจ้าพระยาปราบไตรจักรได้ล่าง พลายพัชเนียงที่เสียที แปร ไป สมเด็จพระเอกาทศรถ
จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวต้องคอมางจาชโรขาดกับคอช้าง หมื่นภักดีศวร กลางช้าง สมเด็จพระเอกาทศรถก็ต้องปืนข้าศึกตายด้วยเหมือนกัน
ขณะเมื่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งสองพระองค์ทำคขสงครามยุทธหัตถีได้ชัยชนะพระ
มหาอุปราชา และ มางจางชโร นั้น บรรดาท้าวพระยามุขมนตรี นายทัพนายกองซ้ายขวาหน้าหลัง
ทั้งปวงติดตามมาทันเสด็จ ได้เข้ารบพุ่งแทงฟัน ข้าศึก เป็นสามารถ พลพม่ามอญ ทั้งนั้น
ก็แตกกระจัดกระจายไป เพราะพระเดชานุภาพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัส ให้นายทัพนายกอง
ทั้งปวงยกไป ตามจับ ข้าศึก ที่สูญเสียพระมหาอุปราชา กับ มางจาชโร จนไม่มีขวัญกำลังใจ
สู้รบ อีกต่อไป แล้วเสด็จคืนมายังพลับพลาพระราชทานชื่อ เจ้าพระยา ไชยยานุภาพ
เป็นเจ้าพระยา ปราบหงสา เพื่อเป็นเกียรติ์ประวัติอันยื่งใหญ่ ที่ได้ทำยุทธหัตถีได้รับชัยชนะ
เป็น ประวัติศาสตร์ บรรดามุขมนตรีนายทัพ นายกอง ซึ่งยกติดตามข้าศึกไปนั้น ได้ฆ่าฟันพม่า
มอญโดย ทางไป จนถึงกาญจนบุรี ปรากฎศพ เกลื่อนไป ตั้งแต่ตะพังตรุนั้น ประมาณ สอง
หมื่นเศษ กับได้เจ้าเมืองส่วน และ นายทัพนายกองกับไพร่เป็นอันมากได้ช้างใหญ่สูงหกศอก
สามร้อย ช้างพลายช้างพังระวางเพรียวห้าร้อย ม้าสองพันเศษ มาถวายสมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัว
ตรัสให้ก่อพระเจดีย์ฐาน สวมศพ พระมหาอุปราชา ไว้ที่ ตำบลตระพังตรุ ขณะนั้นโปรดพระราชทาน
ช้างหนึ่งกับหมอและควาญ ให้เจ้าเมือง ส่วน ขึ้นไปแจ้งเหตุแก่ พระเจ้าหงสาวดีและ
เสด็จคืนเข้าสู่พระนคร ทั้ง สองพระองค์ ดำรัสว่า เจ้ารามราฆพ กลางช้าง กับ
ขุนศรีคชคงควาญ ซึ่งได้ผจญข้าศึก จนมีชัยชำนะด้วยพระองค์นั้น พึงรับ ปูนบำเหน็จ
พระราชทานยศ ถาศักดิ์ เครื่องอุปโภคบริโภคเสื้อผ้าเงินทอง ฝ่ายนายมหานุภาพ ควาญช้าง
หมื่นภักดีกลางช้างได้โดยเสด็จงาน พระราชสงครามจนถึงสิ้นชีวิต ในท่าม กลางศึก
มีความชอบให้เอา บุตรภรรยา มาชุบ เลี้ยง พระราชทาน เครื่อง อุปโภค บริโภค เงินทองเสื้อผ้าโดยสมควร
เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจ แก่ข้าราชบริพารทั้งหลายทั้งปวง ได้ยึดเป็นแบบอย่างปฏิบัติหน้าที่
ปูนบำเหน็จความชอบแก่ผู้กล้าหาญแล้ว ก็พิจารณาความ บกพร่องของนายทัพนายกองโดยมีพระราชดำรัสว่า
"ข้าศึกยกมาถึงพระนคร สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทั้งสองพระองค์ ตั้งพระทัยจะรักษา
พระพุทธศาสนา และ สมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎร มิได้คิดเหนื่อยยาก ลำบากพระองค์
ทรงพระ อุตสาหะ เสด็จยก พยุหโยธาทัพ ออกไปรณรงค์ด้วยข้าศึก และ นายทัพนายกอง
กลัวข้าศึก ยิ่งกว่าพระราชอาญา มิได้โดยเสด็จ พระราช ดำเนินให้ทันละ แต่พระคชาธาร
สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทั้งสองพระองค์ ให้เข้าอยู่ท่ามกลางข้าศึก จนได้ กระทำ
ยุทธหัตถี มีชัยแก่ พระมหาอุปราชาเสร็จ โทษนายทัพ นายกอง ทั้งนี้จะเป็น ประการ
ใด" พระมหาราชครูปโรหิต ทั้งปวง ปรึกษาใส่ด้วยพระอัยการศึก กับ พระราช กฤษฎีกาว่า
"สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินงาน พระราชสงคราม และเกณฑ์ ผู้ใด
เข้ากระบวนทัพแล้วมิได้ โดย เสด็จให้ทันยุทธการ ท่านว่าโทษผู้นั้นเป็นอุกฤษฎ์
ให้ประหารชีวิตเสียอย่าให้ ผู้อื่นดูเยี่ยง อย่าง" เอาคำพิพากษาดังผลแห่งคำปรึกษาทูลถวาย
สมเด็จพระนเรศวร มหาราชเจ้า จึงทรงมี พระราชดำรัสสั่งให้เอาตาม ลูกขุนปรึกษา
แต่ทว่าบัดนี้จวนวันจาตุททสีบัณณรสีอยู่ ให้เอา นายทัพนายกอง จำเรือนตรุไว้ก่อน
สาม วันพ้นแล้ว จึงให้สำเร็จโทษโดยพระอัยการศึก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง แก่
นายทัพนายกองต่อไปในวันหน้า ซึ่งยังต้องเผชิญศึก อีกหนักหนา นัก ก่อนถึงวันประหาร
วันนั้น วันอาทิตย์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ สมเด็จพระวนรัตนวัดป่าแก้ว และพระราชาคณะยี่สิบห้ารูป
ได้เข้าถวายพระพรถามข่าวงานพระราช สงคราม ได้กระทำ ยุทธหัตถี มีชัยแก่พระมหาอุปราชา
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ แถลงการณ์ ปราบ ปัจจามิตร ให้ฟัง ทุกประการ สมเด็จพระวนรัตนจึงถวายพระพรถามว่าพระราชสมภารมีชัยแก่ข้าศึก
เหตุไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องราชทัณฑ์เล่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสว่า
"นายทัพ นายกองเหล่านี้อยู่ ในกระบวน ทัพโยม มันกลัวข้าศึก มากกว่าโยม ละให้แต่โยม
สองคน พี่น้อง ฝ่าเข้าไป ใน ท่ามกลางศึก จนได้ทำ ยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา มีชัย
ชำนะแล้ว จึงได้เห็นหน้า มัน นี่หากว่าบารมี ของโยมหาไม่ แผ่นดินจะ เป็นของหงสาวดีแล้ว
เพราะ เหตุดังนี้โยม จึงให้ลงโทษโดยพระอัยการศึกเพื่อมิให้ เป็นเยี่ยงอย่างกันสืบไป"