แผ่นดินสยามในอดีตมีอาถรรพณ์ ประจำอยู่อย่างหนึ่ง เกิดขึ้นแทบทุกแผ่นดิน
ต้องรบทัพจับศึก เป็น ประจำ ยามเราอ่อนแอจากพระเจ้าแผ่นดิน ชาติอื่นทั้งพม่า
รามัญ ญวน เขมร จะพากันมารุมทึ้ง แผ่นดิน ให้ต้องทำศึกอยู่เรื่อยๆแพ้บ้างชนะบ้างว่ากันไป
แผ่นดินไหนพระเจ้าอยู่หัวมีพลานุภาพสูง บุญญาบารมี แก่กล้า ก็ทรงยกทัพออกไปราวีชาติต่างๆโดยรอบ
เพื่อแสดง ความ เป็น มหาอำนาจให้ประจักษ์ ใช่จะ ยอม ให้ข่มเหงรังแกกันตะพึด และตราบ
ใดที่แผ่นดินว่างศึกไม่มีใครมารุกรานหรือไม่ได้ออก รุกรบ ขยาย อาณาจักร มักจะเกิดกบฏชิงราชบัลลังก์
กันภายในให้ต้องปราบปรามแทบไม่มีเวลาพัฒนาบ้านเมือง ในแผ่นดิน ของสมเด็จ พระมหาจักรพรรดิราชาธิราช
ก็เช่นกัน เมื่อพระเจ้า กรุงหงสาวดียอมรับพระราช ไมตรีถอนทัพกลับ กรุงหงสาวดีแล้ว
พระองค์ ก็ทรง จัดพระราชพิธีพระราชทาน เพลิงพระศพอัครมเหสี วีรสัตรีไทย ผู้ทรง
แสดงความกล้าหาญเอาชีวิตเข้าปกป้องพระเจ้าอยู่หัวไว้คือ พระศรีสุริโยทัย การจัดงาน
ครั้งนี้กระทำอย่างสมพระเกียรติยศยิ่ง เสร็จแล้วทรงให้ สถาปนา ที่พระราชทานเพลิงศพ
เป็น เจดีย์วิหาร พร้อมวัดวาอารามเป็นพระราชอนุสรณ์ พระราชทานนามวัดนี้ว่า วัดสบสวรรค์ แล้วทรงทำการพัฒนา
ไพร่ บ้านพลเมือง ให้เอาบ้าน ทำจีน ตั้งเป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็น
เมือง นนทบุรี ให้แบ่ง เอาแขวงเมืองราชบุรีแขวงเมืองสุพรรณบุรีตั้งเป็น เมือง
นครชัยศรี แล้วทรงปรึกษา ว่า กำแพงเมืองลพบุรี เมืองนครนายก เมือง สุพรรณบุรี
สามเมืองนี้ควรล้างเสียหรือจะเอาไว้ สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ พระราเมศวร พระมหินทราธิราช
กับมุขมนตรีพร้อมกัน ปรึกษากราบทูล ว่า จะให้ไปรับหัว เมืองนั้นถ้ารับได้ ก็จะ
เป็น คุณ ถ้ารับมิได้ข้าศึกจะอาศัย ดังนั้นให้รื้อกำแพงเมืองดีกว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ก็บัญชาตามแล้ว ให้ตั้ง พิจารณาเลิกสังกัด สมพรรค์ได้สกรรจ์ลำเครื่องแสนเศษ
ต่อมาศักราช ๙๐๖ ปีมะโรง ฉศก(พ.ศ.๒๐๘๗) พระศรีศิลป์น้องพระยอดฟ้า โอรสคนเล็กสุด
ของสมเด็จพระไชยราชาธิราช กับ แม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งขุนพิเรนทรเทพ
ละไว้ระหว่างจู่โจมสังหารขุนวรวงศาธิราช กับ เจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ และบุตรีน้อย
ในเรือ พระที่นั่งระหว่าง เสด็จไปจับช้างป่า นำมาถวายพระเธียรราชา หรือ สมเด็จพระมหา
จักรพรรดิ และทรง ชุบเลี้ยงไว้บัดนี้ได้เติบโต อายุได้ ๑๓-๑๔ ปี จึงให้ออกบวช
เป็น สามเณรอยู่ ณ วัดราชประดิษฐาน อัน เป็นวัดที่พระเธียรราชาผนวชอยู่เดิม มีข่าวสะพัดว่าพระศรีศิลป์
มิได้ตั้งอยู่ในกตัญญู ส้องสุมพวกพล คิดการกบฎ จึงรับสั่งให้เจ้าพระยา มหาเสนา
ไปนำตัวมาพิจารณาผลออกมาได้ความเป็นสัตย์ โดย เหตุการณ์ผ่านมาแต่ละยุคนั้นจะต้องได้รับโทษถึงประหารชีวิต
แต่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระเมตตา เพียงให้นำตัวไปคุมไว้
ณ วัดธรรมมิกราชา
หมื่นจ่ายวดได้รับมอบหมาย หน้าที่ เป็นผู้ ควบคุม กระทั่ง เวลาล่วงไปจวนเข้าพระวัสสา
ทรงพระกรุณาตรัสว่าพระศรีศิลป์ ซึ่งเป็นโทษ คุมไว้นั้นอายุจะได้ อุปสมบท เป็นภิกษุ
ภาวะอยู่แล้วให้เอามาอุปสมบท จึงทราบว่าพระศรีศิลป์หลบหนีที่ควบคุมไปได้สามวัน
ซุ่ม ชุมนุมพลอยู่ที่บ้านม่วงมดแดง จึงทรงมี พระราชดำรัสให้ เจ้าพระยามหาเสนา
ตามเอาตัว กลับคืน มาอีก ระหว่างนั้นพระศรีศิลป์ได้ขอฤกษ์กระทำการ ใหญ่ "พลิกแผ่นดิน"
จาก พระ พนรัตนป่าแก้วได้ฤกษ์มาว่า วันเสาร์ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ ฤกษ์ดี ให้ยกเข้า
มาเถิดจะกระทำการสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ก่อนถึงเวลาฤกษ์ พระยาเดโช พระยาท้ายน้ำ
พระยาพิชัยรณฤทธิ์ หมื่นภักดีสวร หมื่นไภยนรินทร์ ผู้ร่วมก่อการกับ พระศรีศิลป์
ซึ่งถูกจับได้ และเป็นโทษจำไว้ในที่สงัดได้แอบส่งสารลับไปถึงพระศรีศิลป์ ในวันแรม
๑๓ ค่ำ รำพันว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสไว้ วันรุ่งขึ้น ๑๔ ค่ำ จะเอาตัวทั้งห้า
ไปฆ่าเสียขอ ให้พระองค์ทรงเข้ามา ใน กลางดึก วันนี้(ที่ ๑๓ ค่ำ) อย่าให้ทันรุ่ง
พระศรีศิลป์ จึงเข้า มาทางประตูหอรัตนชัย โดยไม่คำนึงถึงฤกษ์ พระพนรัตนป่าแก้วให้ไว้ว่า
ให้เข้าวันเสาร์ขึ้น ๑ ค่ำ ด่วนเข้าก่อนฤกษ์ เจ้าพระยามหาเสนา ซึ่งได้รับพระ
บัญชา จากพระเจ้าอยู่หัวให้ติดตาม พระศรีศิลป์ ทราบเรื่องว่าพระศรีศิลป์ ยกเข้ามาทางประตูดังกล่าว
จึงตามเข้า มาจัดการ พอเห็นช้างเผือกลงมาอาบน้ำเจ้าพระยามหาเสนา ก็นำ ช้างเผือก
ออกมารบ กับ พระศรีศิลป์ ที่ถนนหน้าบางตราถูกร้องสำทับว่า "เจ้าพระยา มหาเสนาจะสู้เราหรือ"
เจ้าพระยา ก็ตะโกน ตอบ "พระราชกำหนดโทษ พระองค์ฉันใด โทษข้าพเจ้าฉันนั้น" ว่าแล้วก็ไสช้างเข้าชนกัน
เจ้าพระยา มหาเสนามีอายุกว่าไม่แคล่วคล่องว่องไวเหมือนพระศรีศิลป์จึงถูกตีด้วยขอตกช้างลง
เปิดทาง ให้พระ ศรีศิลป์ รุกเข้าทางประตูเสาธงชัยเข้าพระราชวังได้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทราบเรื่องการบุก
พระราชวัง ของพระศรีศิลป์ โดย กะทันหันเช่นนั้นก็ทรงลงเรือพระที่นั่งหนีไป ทางขึ้นเกาะ
มหาพราหมณ์ เปิดโอกาส ให้พระศรีศิลป์ปลดปล่อย พระยาเดโช พระยาท้ายน้ำ พระยาพิชัยรณฤทธิ์
หมื่นภักดีศวรกับ หมื่นไภยนรินทร์ พ้นจากที่คุมขังรับอาวุธร่วมก่อการล้มราชบัลลังก์ต่อไป พระราเมศวร
พระมหหินทราธิราช ตั้งตัวตั้งสติได้ พร้อมด้วยเสนาบดีทั้งหลายเข้ารบกับพระศรีศิลป์
กับพวกที่รับการปลดปล่อย น่าสลด สังเวชใจ ครั้งนั้นต้องล้มตายกันทั้งสองฝ่ายมากมายแต่จะด้วยการ
"แหกฤกษ์" หรือชะตาถึง ฆาต หลังจากรอดตายมาแต่เยาว์วัยสองครั้งสามครา ทำให้พระศรีศิลป์ต้องปืนตาย
ส่วนห้าสมุน เพิ่งรับการช่วย ออกมาไม่ทันไร ก็ถูกจับเรียบอีก เมื่อปราบกบฎเรียบร้อย
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิฯ เสด็จคืนเข้า พระราชวัง ทรงชำระคดีกบฎครั้งนี้เมื่อทราบว่า
พระพนรัตน ป่าแก้วเป็นผู้ให้ฤกษ์ พระศรีศิลป์ ก่อการกบฎ ก็โปรดให้นำตัวมาสอบถามพร้อมกับห้านักโทษเดิม
เมื่อสอบได้ความเป็น สัตย์ ไม่มีสิ่งที่เคลือบแคลง จึงทรงพิพากษาโทษให้ ประหารชีวิตพระพนรัตนป่าแก้ว
พระยาเดโช พระยาท้ายน้ำ พระยาพิชัยรนฤทธิ์ หมื่นภักดีศวร และหมื่นไภยนรินทร์
แล้วให้นำศพเสียบ ประจานไว้ ณ ตะแลงแกง กับศพพระศรีศิลป์ ที่ต้องปืน ตายในที่รบ
นอกจากนี้เมียน้อยขุนนางโจทก์ว่า ผัวเข้าด้วยพระศรีศิลป์ และคอยรับ พระศรีศิลป์
เข้าเมืองโค่นบัลลังก์ นำตัวมาสอบต่างรับเป็นสัตย์ ก็โปรดให้ ประหารเสียเป็นอันมาก
ปราบเสี้ยนหนาม แผ่นดินแล้ว เกิดศุภนิมิตดีซ้อนกัน คือศักราช ๙๐๗ ปีมะเส็ง สัปตศก(พ.ศ.
๒๐๘๘ )สมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเสด็จไปวังช้างตำบลไทรย้อยได้ช้างเผือกพลายสูงสี่
ศอกสิบนิ้วช้างหนึ่ง ให้ชื่อ พระรัตนากาศ ลุศักราช ๙๐๘ ปีมะเมีย อัฐศก(พ.ศ.
๒๐๘๙) เสด็จไปวังช้าง ป่าเพชรบุรีได้ช้างเผือกพลายสูงสี่ศอกเศษ ให้ชื่อพระ แก้วทรงมาศ
และใน เดือนสิบปีมะเมียนั้น เสด็จไป ได้ช้างเผือก ตำบลป่ามหาโพธิ์ทั้งลูกทั้งแม่
ก็เผือก
ปีต่อมาศักราช ๙๐๙ ปีมะแม นพศก(พ.ศ. ๒๐๙๐) เสด็จไปได้ ช้างป่าทะเล ชุบศร เป็นเผือกพลายสูง
สี่ศอกห้านิ้วช้างหนึ่ง ให้ชื่อพระบรมไกรสร พอเดือนอ้าย ปลายปีก็ได้ช้างเผือกพลาย
ที่ตำบลป่าน้ำ ทรงสูง สี่ศอกคืบให้ชื่อ พระสุริยกุญชร ในรัชสมัยนั้นทรงได้ ช้าง
เผือกพลายพังถึง ๗ ช้าง พระเกียรติยศ ปรากฎ ไปในนานาประเทศทั้งปวง กระทั่งได้รับพระราชสมัญญา
ใหม่ว่า สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิราชาธิราช พระเจ้าช้างเผือก เมื่อข่าวร่ำลือถึงกรุงหงสาวดีว่า
พระนคร ศรีอยุธยามีช้างเผือกถึง ๗ ช้าง สมเด็จ พระ เจ้าหงสาวดีก็มีพระทัยใคร่ได้สัก
๒ ช้าง นี่เองเป็นต้นเหตุว่า จะ เสียช้างหรือเสียเมือง