ศิลปะอยุธยาตอนปลาย
สมัยอยุธยาตอนปลาย
เริ่มตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือตั้งแต่ปี เสวยราชย์ พ.ศ.๒๑๙๙
เป็นต้นไป ด้วยรัชสมัยนี้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น หลายประการซึ่งเป็นเหตุ ให้เกิด
การ เปลี่ยนแปลงปฏิรูปในวงการศิลปะ เปลี่ยนโฉมหน้าเป็นอีกแบบ หนึ่งแปลกไปจากเดิมมาก
ประการแรก อาณาจักรอยุธยาสมัยนั้นเริ่มปฏิรูปวงการปกครองใหม่ โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เปิดโอกาส ให้ชาวต่างชาติ ซึ่งมีความสามารถเข้ามา รับราชการในตำแหน่งสูงๆได้โดยเสรีเป็นเหตุให้
วิเทโศบาย ของเมืองไทยสมัยนั้นทันสมัย ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยไทยเรา ไม่เสียเปรียบชาวต่างชาติ
ซึ่งเข้ามา ค้าขายในอยุธยาอย่างคับคั่งเลย ผลก็คือได้เงินเข้าท้องพระคลัง มากขึ้น
กว่าเดิม ชาวต่างชาติซึ่งเข้ามา มีอำนาจใหญ่เป็นถึงอัครเสนาบดี คือเจ้าพระยา
วิไชเยนทร์เป็นฝรั่งชาติกรีก ซึ่งได้แสดง ความ สามารถ เป็นที่ประจักษ์โดยชาวฝรั่งเศสหลายคน
ผู้เขียนจดหมายเหตุได้ยกย่อง ชมเชยความเฉลียวฉลาด ของท่าน ผู้นี้ เป็นอย่างมาก
แต่ขณะเดียวกัน ชาว ฮอลันดากลับไม่ชอบหน้า ด้วยฮอลันดาหรือดัชทมีนโยบายผูกขาดการค้า
และมี
เบื้องหลังคิดจะฮุบเมืองไทยไว้ใต้อำนาจ เช่นเดียวกับที่ทำสำเร็จในปัตตาเวียมาแล้ว
ชาว ฮอลันดา เข้ามาตั้ง สถานีการค้า เป็นห้างใหญ่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาถัดวัดพนัญเชิงไปทางทิศใต้
ใกล้กับหมู่บ้าน ญี่ปุ่น ชาวฝรั่งเศส ผู้ เข้ามาในงบฑูตฝรั่งเศศสมัยนั้น ได้กล่าวยกย่อง
ชมเชยตึก อันใหญ่โต ของ ห้าง ฮอลันดาว่าสวยงามสง่าและใหญ่โตมาก นอกจากชาวฮอลันดาจะเข้ามาสร้างอาคาร
แบบ ยุโรป ณ อยุธยา เป็นแห่งแรกแล้วยังมีบาดหลวงคณะต่างๆ จาก ฝรั่งเศส เข้ามาทำการสอน
ศาสนา อย่างเป็นล่ำ เป็นสัน พร้อมกับสร้างโบสถ์ฝรั่ง ไว้อย่างสวยงาม ทางนอก ตัวเกาะทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงศรีอยุธยา
นอกจากนี้ ผลจากการติดต่อ ทาง การฑูต ซึ่งทางไทยได้ส่ง ท่านราชฑูตโกษาปานไปฝรั่งเศส
จนสามารถ นำเอานายช่างวิศวกร นายช่างศิลป์ และทหาร ฝรั่งเศสมายังเมืองไทย เป็นจำนวนมาก
นายช่างวิศวกร ได้ทำการติดตั้งน้ำพุอันสวยงามในพระนครศรีอยุธยา และเมืองลพบุรี
และยังได้วาง แปลนเมืองละโว้ นครราชสีมา กับสร้างป้อมใหญ่ตรงเมืองบางกอกสองฝั่งแม่น้ำเพื่อสกัดกั้นอำนาจของฮอลันดา
ซึ่งกำลัง คุกคามไทยอยู่ในขณะนั้น กำลังทหารฝรั่งเศสส่วนหนึ่งอยู่ประจำป้อมเมืองบางกอก
ส่วนหนึ่งออกตระเวน ไปตามฝั่งทะเลกับอีกส่วนหนึ่งไปประจำอยู่ยังเมืองมะริด อันเป็นเมืองสำคัญ
ของอยุธยาทางฝั่งทะเล ตะวันตก สินค้าต่างๆ จากยุโรปได้แพร่หลายเข้ามายัง อาณาจักรอยุธยาอย่างกว้างขวาง
เช่น พรมเปอร์เซีย ซึ่งจะถูกนำ ไปปูพื้นคฤหาสถ์ขุนนางผู้มั่งคั่ง ในพระราชวังและกุฏีสงฆ์ของพระราชาคณะ
ยังมีรูปภาพอัน เป็น ภาพพิมพ์ ด้วยมือ กับภาพเขียนของยุโรป ส่งเข้ามาขาย ยังเมืองไทยด้วย
ภาพเหล่านี้ถูกนำ ไป ประดับบ้านเรือน และที่ต่างๆ แม้บนพระเมรุที่ตั้งพระบรมศพของพระนารายณ์มหาราชเอง
สินค้าอื่นๆเช่น ศิลปะประยุกต์ต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้าสู่ อยุธยา อย่างมาก จนมีเครื่องลายคราม
กับ ข้าวของ ต่างๆ เต็มท้อง พระคลัง บ่งถึงความมั่งคั่ง ของอยุธยาในยุคนั้น เป็น
อย่างมาก ชาวฝรั่งเศส และ ชาวยุโรป เช่น ฮอลันดา กับชาติอื่นๆ เช่น อาหรับ และญี่ปุ่น
ได้เข้ามาดำเนินชีวิต ใน อยุธยาอย่างอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาว ยุโรปซึ่งผิวขาว
พระอุโบสถสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่วัดยางตำบล สามแยกไฟฉายมีรูปปั้น ปั้นประดับ
หน้าบัน รูปลายกนก และเทพนม ตัวเทพนม นั้นคือเทวดา รูปร่างเป็นฝรั่ง ไว้ผมยาวหยิกเป็นลอน
สวม หมวกฝรั่งใส่เสื้อแขนยาวมีลูกไม้เป็นระบายที่ข้อมือ นั่นคือทัศนะเทวดา ของคนอยุธยา
ในยุคนั้น เมืองไทยปฏิรูปตนเองก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว พระราชวังในลพบุรีซึ่งสร้าง
ขึ้นใช้เป็นที่รับฑูต และ แขกเมืองประดับด้วยกระจกทำจากยุโรปเต็มทั้งผนัง ตึกรับแขกเมืองที่ลพบุรี
ซึ่งเรียกกันว่า ตึกวิไชเยนทร์ ก็ปลูก สร้างแบบฝรั่ง เป็นตึก สองชั้น แบบเรอนาซอง
เพราะแบบอย่างอาคารของฝรั่ง เช่นห้างวิลันดา กับตึกวิไชเยนทร์ ตึกปิจู ที่ข้างวัดเสาธงทอง
ทำเป็นอาคารสูงสองชั้น มีหน้าต่างถี่โปร่ง มีการใช้หน้าต่าง แบบ อาร์คโค้ง เหล่านี้เป็น
แบบแปลกตา แสงสว่างเข้าในอาคารมากขึ้น การสร้างก็ไม่ยากสลับซับซ้อน จนเป็นเหตุให้คนไทยเอาแบบบ้าง
อาคารแบบแรกในสมัย พระนารายณ์ซึ่งเอา อย่างฝรั่ง เป็นอาคาร ลูกผสมคืออาคารโบสถ์วัด
ตะเว็ดอยู่ใ่กล้คลอง ประจาม ทางทิศใต้ ของวัด พุทไธยสวรรย์ อาคารนี้ เห็นผนังด้านข้าง
เจาะหน้าต่างโค้ง หน้าบันก่ออิฐปั้นปูนเป็นลาย แบบโรโคโค้ของ ฝรั่งเศส ผสมกับลาย
นกคาบของไทย อาคารตึกแบบนี้ ได้ปรากฏปฏิรูปแก้ไข ให้ดีขึ้น ดังเช่น ตำหนักวัดพุทไธสวรรย์
วิหารวัด เจ้าย่าริมคลองสระบัว และวิหารวัดตึก รวมทั้งพระราชวังในวังนารายณ์ราชนิเวศน์
กับ พระที่นั่งเย็น ใน ลพบุรีด้วย อาคารแบบใหม่ซึ่งหน้า ต่างเจาะถี่ ใช้แบบผนังรับ
น้ำหนักเครื่องบนหลังคานี้ ได ้กลายเป็นแบบ อันนิยม สร้าง พระอุโบสถ พระวิหารสมัยอยุธยาตอนปลาย
อย่างกว้างขวาง ดังเช่นวัดพญาแมน ที่ตำบล ลุมพลีอยุธยา ปฏิสังขรณ์สร้างในสมัยพระเพทราชา
พระอุโบสถวัดบรมพุทธาราม สร้างขึ้นในสมัย พระเพทราชา พระอุโบสถวัดตองปุ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
พระอุโบสถวัดกุฏีดาว ปฏิสังขรณ์ ในสมัยพระเจ้าท้ายสระ พระอุโบสถวัดธรรมรามปฏิสังขรณ์สร้างในสมัยพระนารายณ์
พระอุโบสถ และ พระวิหาร ในสมัย อยุธยา ตอนปลาย แยกลักษณะออกเป็นสองแบบ คือ แบบที่
๑ เป็นพระอุโบสถ ขนาด ย่อมก่อผนัง หุ้มกลองหน้าหลังเชื่อมผนังเป็นหน้าบันยันอกไก่
และปั้นปูนเป็นรูปลายเครือเถา ประดับถ้วย ชาม และปั้นปูน ลวดลาย ในตรงที่เป็นช่อฟ้าใบระกา
มีปรากฏในที่ต่างๆ ดังนี้ พระอุโบสถวัดยาง สามแยกไฟฉาย ธนบุรี พระอุโบสถ วัดบางเสาธงธนบุรี
พระอุโบสถวัดธรรมารามอยุธยา พระอุโบสถวัดช่องลมอยุธยา พระอุโบสถวัดกลาง สมุทรปราการ
พระอุโบสถวัดท่าหลวง อ่างทอง พระอุโบสถวัดทอง คลองบางพรม ธนบุรี พระอุโบสถวัด
บางขุนเทียนนอก ธนบุรี แบบที่ ๒ เป็นพระอุโบสถ เจาะหน้าต่างถี่ มีเสารับชายคาปีกนก
ด้านหน้า และ ด้านหลัง ด้านละสองเสา เสาเป็นแบบย่อมุมสิบสอง บัวหัวเสากลีบ ยาว
หลังคาสลักไม้ มีช่อฟ้าใบระกา มีลายสลักไม้ หน้าบัน ปรากฏในที่ต่างๆดังนี้ พระอุโบสถวัดบรมพุทธารามอยุธยา
พระอุโบสถวัดใหม่ข้างวัด ภคินีนาถธนบุรี พระอุโบสถ วัดพิชัยสงคราม(วัดนอก) สมุทรปราการ
พระอุโบสถวัดเขียน อำเภอวิเศษชัยชาญ อ่างทอง พระอุโบสถ วัดโพธิ บางโอธนบุรี ภาพเขียน
สมัยอยุธยาตอนปลาย ส่วนใหญ่ก็คล้ายครั้ง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทุกอย่าง คือเขียนภาพ
เทพชุมนุมผนังด้านข้าง ส่วนบน ผนังระหว่างช่องหน้าต่างเขียนรูปพุทธประวัติ หรือทศชาติชาดก
ผนังด้านหลัง เขียนรูปเสด็จลงจากดาวดึงส์ ผนังด้านหน้า เขียนรูป มารผจญ
ภาพเขียนสมัยอยุธยาตอนปลายปรากฏตามที่ต่างๆดังนี้
๑.ตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทไธสวรรย์ เขียนเรื่อง ทศชาติชาดก และเรื่องราวในพระคัมภีร์ต่างๆ
เช่นไตรภูมิ และยักษ์กับเทวดา ใช้สี มากขึ้นกว่า สมัยอยุธยาตอนต้น มีสีเขียวและสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นด้วย
๒.ผนังพระอุโบสถวัดเขียน อำเภอ วิเศษไชยชาญ อ่างทอง เขียนผนังระหว่างหน้าต่างรูปสังข์ทอง
และชาดกตอนอื่นๆ
๓.ผนัง พระอุโบสถวัดปราสาทเขียนรูปเทวดายืนสลับกับเรื่องราวพระพุทธประวัติ และแสดง
ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆสมัยอยุธยา สีประมาณเกือบเป็นสีเดียว
๔.ผนังวิหารวัดใหม่ประชุมพลเขียนรูปเทพชุมนุมนั่งสลับกับเจดีย์ย่อมุมสิบสองสมัยพระเจ้า
ปราสาททอง เบื้องหลังพระประธานเป็นรูป พระพุทธเจ้าในเรือนแก้ว ล้อมรอบด้วยลวดลาย
บนพื้นสี น้ำตาลแดง มีสัตว์ต่างๆ เช่นกระรอก และ นกไต่เต็มมีรูปโขลงช้าง รูปฝูงม้า
และนกยูง นับว่าเป็น ภาพ อันน่ายกย่องชมเชยมาก
๕.ผนังพระอุโบสถ วัดท่าหลวง อำเภอวิเศษไชยชาญ อ่างทอง เขียนเป็นรูป ทศชาติชาดก
ระเบียบการ เขียนภาพ คล้ายวัดสุวรรณาราม
๖.ผนังพระอุโบสถ วัดเกาะเพชรบุรี รูปเจดีย์ใหญ่สลับกับภาพพระพุทธองค์ปางต่างๆ
ฝีมือช่างสมัย พระบรมโกฐ มีจารึกบอก ศักราช ปีที่เขียนไว้ด้วย
๗.ผนังวิหารวัดใหญ่อินทราราม (วิหารเก่า) ชลบุรี ผนังด้านหน้ารูปมารผจญ ผนังด้านหลังรูป
เสด็จจาก ดาวดึงส์ ด้านข้างลบเลือนหมด แต ่เห็นผนังข้างบน เป็นรูปพระพุทธรูป
อันดับ แทนเทพชุมนุม บ่งว่าเป็น ภาพเขียนต้น ของ อยุธยาตอยปลาย
นอกจากจิตรกรรมฝาผนัง ตามวัด ดังกล่าว รวมทั้งที่ไม่กล่าวถึงอีกหลายแห่ง
จิตรกรรมอยุธยา ยังมีอีก ลักษณะหนึ่ง คือภาพ เขียนลายทอง ซึ่งนิยมเขียนบนตู้พระธรรมต่างๆ
ภาพ เขียนลายทอง สมัยอยุธยา ตอนปลาย บ่งถึงความ รุ่งเรือง ในการใช้เส้น ได้งดงามเป็นเยี่ยม
แม้ลวดลาย ก็เบิกบานเต็มที่ ดังเช่นลายตู้ พระธรรม ฝีมือวัดเชิงหวาย เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีรายทองตู้พระธรรมชิ้นอื่นอีกจำนวนมาก เขียนขึ้น ใน สมัยอยุธยาตอนปลาย
ฝีมือทัดเทียมกัน ทั้งนั้น ลายอันปรากฏในตู้พระธรรม สมัยอยุธยาตอนปลาย ส่วนใหญ่นิยมเขียน
กนกเปลว ซึ่งช่อกนกเปลว ได้ไป ปรากฏบนลายสลัก หน้าบัน วัดป่าโมกข์ อันทำขึ้น
สมัยพระเจ้าท้ายสระลักษณะกนกตัวยาวปลายแหลม และยัง ปรากฏบน ลาย หน้าบัน วัดพรหมนิวาส
(วัดขุนญวน) ข้างวัดศาลาปูนในอยุธยาเป็นต้น ลายไทยสมัยอยุธยา บ่งถึง ความคลี่คลาย
ขยายตัวงาม อย่างสุดขีด ไม่มียุค สมัยใดจะเนรมิตลวดลายได้งดงามเท่านี้ ยังปรากฏลาย
ตามประตู ฝังมุก เช่น ลายบานประตูฝังมุก วัดบรมพุทธาราม ฝีมือช่างสมัย พระเพทราชานำมาไว้ในกรุงเทพฯ
และบานประตู ฝังมุกสมัยพระบรมโกฐ อันปรากฏที่พระวิหาร หลวงพระศรีรัตนมหาธาตุ
พิษณุโลก ซึ่งได้ ให้อิทธิพล แก่ช่างในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นอย่างมาก
ดังปรากฏฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๑ บานประตูโบสถ์วัด พระแก้ว และช่างสมัยรัชกาลที่
๓ บานประตูโบสถ์วัดพระเชตุพน ทำได้อย่างวิจิตรบรรจงงดงาม ทัดเทียมกับช่าง สมัยอยุธยาตอนปลาย
มาก จนอาจกล่าวได้ว่า ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย คงเบิกบาน ข้าม อาณาจักรมาจนถึงสมัยรัชกาลที่
๓ แห่งยุค กรุง รัตนโกสินทร์ ศิลปะสลักไม้ของอยุธยา ตอนปลาย ยังคงปรากฏเหลือให้เห็นจำนวนมาก
เช่นธรรมาสน์ยาว วัดเชิงท่า และธรรมาสน์วัดศาลาปูน ธรรมาสน์วัด บางขุนเทียนนอก
ธนบุรี ธรรมาสน์วัดพระยาทำ ธนบุรี ธรรมาสน์ กลมในพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พระนคร
ธรรมาสน์ในวัดคลองเตย ตำหนักปลายเนิน ของสมเด็จ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์
และธรรมาสน์เก่าในศาลาการเปรียญ วัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี เป็นต้น ฝีมือธรรมาสน์อยุธยา
บ่งถึง การช่างสลักไม้สมัยนั้นคงครอง ความเป็นเอก เช่นเดียวกับ การช่างสาขาอื่น
ช่างสลักไม้สมัยอยุธยา จะทำตัว กนกอ่อนพริ้วและซ้อนกัน ปลายกนกบิดพับ ไปมา ราวกับธรรมชาติของใบไม้
ลายสลักไม้ยัง คงปรากฏที่หน้าบัน วิหาร วัดธรรมาราม หน้าบัน วัดศาลาสี่หน้า
ธนบุรี หน้าบันวัดใหม่เทพนิมิต ธนบุรี หน้าบันศาลาการเปรียญวัดเชิงท่า หน้าบัน
พระอุโบสถวัดป่าโมกข์ อ่างทอง หน้าบันพระอุโบสถ วัดพรหมนิวาสน์อยุธยาเป็นต้น
ดังได้กล่าวถึง ภาพ ลายทอง อันปรากฏอยู่บนตู้พระธรรม แล้วยังมีภาพ ลายทอง เขียนประดับบน
ตำหนัก ประทับแรม เช่น หอเขียนวัง สวนผักกาด และตำหนักพระเจ้า แผ่นดิน ที่วัดไทรเป็นต้น
เฉพาะที่ตำหนักวัดไทร เขียนลายทองแบบ ลายรดน้ำ ทั้ง ผนังด้านนอก และภายใน อย่าง
ประณีตพิศดารมาก ลายปูนปั้น อันวิจิตรของสมัยอยุธยาตอนปลาย คงปรากฏ พบ เห็นได้ทั่วไป
ตามพระ เจดีย์รุ่นนั้น และลายซุ้ม ประตูอาคาร พระอุโบสถและพระวิหารตามสถานที่ต่อไปนี้
๑. หน้าบันพระอุโบสถวัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี ฝีมือช่าง สมัยปลายสุด เข้าใจว่าสมัยพระบรมโกฐ
เป็นลายปูนปั้น อันงดงาม มากทั้งหน้า บันด้านหน้ากับด้านหลัง
๒. หน้าบันพระอุโบสถวัดไผ่ล้อม เพชรบุรี ฝีมือช่างสมัยพระเพทราชา ยังมีปูนปั้นผนัง
ด้านหลัง เป็นรูปปราสาทต่างๆ ฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย ใบเสมาวัดนี้เป็น ใบเสมาสมัยพระเพทราชา
๓. หน้าบันพระอุโบสถวัดกลางวรวิหาร สมุทรปราการ เป็นลายสมัย พระนารายณ์
๔. ลายปูนปั้นที่ซุ้มประตูวิหารหลวง วัดราชบูรณะ อยุธยา ฝีมือช่างสมัยพระบรมโกฐ
๕. ลายปูนปั้น ซุ้มหน้าต่าง วัดโรงช้าง ราชบุรี สมัยพระเพทราชา
๖.ลายปูนปั้นหน้าบัน พระอุโบสถ วัดธรรมาราม อยุธยา งานวิจิตรกรรมของช่างสมัยอยุธยา
นอกจากจะ ปรากฏบน งานกราฟิก เช่น ลายรดน้ำปิดทอง ลายมุกต่างๆ กับวิจิตรกรรม ฝาผนังแล้ว
ยังมีการเขียน ตกแต่ง บนผนังระเบียง และ ผนังพระเจดีย์ด้วย ดังเช่นภาพเขียนเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์สลับกันบนผนัง
พระระเบียง วัดไชยวัฒนาราม กับ ภาพเขียนบนผนังห้องเจดีย์ใหญ่วัดใหม่ประชุมพล
เป็นรูปลาย พุ่มข้าวบิณฑ์ เหมือนกันทั้งสองแห่ง ฝีมือช่าง สมัยพระเจ้าปราสาททอง
ที่พระอุโบสถวัดสระบัว กับที่ ศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี ทั้งสองแห่งมีการ
เขียนลวดลายลงบนเครื่อง บนหลังคา ด้วย เส้นทอง พื้นไม้ทาสีดินแดง เช่นเขียนบนคาน
และระแนง รับกระเบื้อง ชายคา เฉพาะที่วัดสระบัว เขียนลายดาวเพดาน กับรูปมังกร
พญานาค เป็นลายอันงามให้คุณค่า ทางสุนทรียภาพ อย่างสูง นอกจาก จะเขียนภาพประดับอย่างละเอียดจุกจิกประณีตแล้ว
สมัยอยุธยาตอนปลายยัง ตกแต่ง เครื่องใช ้ต่างๆ ด้วยลวดลายสลักไม้ อย่าง งดงาม
เช่น คานหามซึ่งปรากฏอยู่ ณ พิพิธภัณฑ -สถานลพบุรี เป็นเสลี่ยง สลักทอง ลวดลายเป็นแข้ง
สิงห์ซ้อนเป็นชั้นๆ บ่งว่าเป็นเสลี่ยง ของเจ้านาย ชั้นสูงของอยุธยา กับเสลี่ยง
สำหรับ พระราชาคณะ ซึ่งอยู่ที่วัดพนัญเชิง ยังมีการ สลักลวดลาย ลงเป็น เรือพาหนะประจำตำแหน่ง
ซึ่งในจดหมายเหตุ ของชาว ต่างประเทศซึ่งเข้ามาสมัยนั้นว่า ล้วนสลักเสลาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
เป็นลวดลาย อันงามอย่างมหัศจรรย์ ยังคงมี ตัวอย่างปรากฏอยู่ที่ครุฑโขลนเรือพระที่นั่ง
กษัตริย์อยุธยา ในพิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา เครื่องทอง สมัยอยุธยาตอนปลาย
ส่วนใหญ่ถูกทำลาย โดยขโมย ที่ขุดคุ้ย ตามเจดีย์ เอาทองมาหลอมไปขาย เสียหมด คงเหลือ
เท่าที่ ปรากฏในห้องทองคำของ พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติเจ้าสามพระยา ล้วน เป็นเครื่องทอง
สมัยพระ นครินทราธิราช ซึ่งขุดมาจาก กรุวัดราชบูรณะ กล่าวกันว่าประเพณี สมัย
โบราณ มักจะ ขนเอาเครื่องราชูปโภค ของกษัตริย์ซึ่งสวรรคต เอาไปบบจุไว้ในกรุ ของปรางค์
หรือ เจดีย์ รวมกับพระอัฐิของกษัตริย์นั้นด้วย เครื่องทอง เหล่านี้ ถูกขโมยทำลายไป
เสียจำนวน มาก ที่เหลืออยู่เป็นส่วนอันตกหล่น อันขโมยผู้ลักลอบขุดกรุหลงเหลือไว้
และ บางแห่งยังขุดไปไม่ตลอด ที่พระ เจดีย์สามองค์ วัดพระศรีสรรเพชญ์ อันสถาปนาขึ้นในสมัยพระรามาธิบดีที่
๒ มีข่าว ว่า นายพร้อม นักขุดกรุคนสำคัญ ได้ลักลอบขุด เครื่องทองของกษัตริย์
ขนเอาไปถึงสามคันรถเจ็ก โดยมีร้านค้าทอง ที่ตลาดหัวรอเป็นตัวแทนรับซื้อทองเหล่านั้น
เอาไปหลอมหล่อ เป็นเนื้อทอง อีก ต่อหนึ่ง เราได้สูญเสีย สมบัติอันล้ำค่า ของชาติไปจำนวนมาก
โดยฝีมือพวกลักลอบขุดกรุเหล่านี้ อันที่จริงการขุดทำลาย โบราณสถาน เช่น เจดีย์ต่างๆ
ได ้เคยทำกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่สมัยหนึ่ง ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ชาวยุโรปซึ่งเข้ามาในสมัยนั้นบันทึกไว้ว่า
คนไทย ไม่ทำมาหากิน อะไรอื่น ได้ร่วมมือกับคนจีน ขุดคุ้ยตาม เจดีย์เก่าๆ เอาสมบัติออกขาย
ทำเช่นนี้ทั่วไปทุกหน ทุก แห่ง ด้วยถึงคราววิบัติ ข้าวยากหมากแพง ศิลปะ อยุธยาตอนปลาย
จึงเหลือแต่ความประทับใจ ให้แก่ ช่างสมัย รัตนโกสินทร์ ตอนต้น ทำการเนรมิตศิลปะ
อันงดงาม สืบต่อไป คงเป็น ศิลปะอันงาม สง่าด้วยดำเนินรอยตาม ครูเดิม ไม่ผิดเพี้ยน
ซึ่งที่จริงช่างผู้ สร้างศิลปกรรมแห่งยุคเริ่มก่อสร้าง กรุงเทพพระมหานคร ก็คือช่าง
อยุธยาอันตกค้าง อยู่นั่นเอง มิใช่ใคร ที่ไหนอีก ฝีมือความจัดเจน เก่าๆ คงหลงเหลืออยู่
อย่างสมบูรณ์ ดังนี้เมื่อเขาเหล่านั้น ทำการเนรมิต บ้านเมืองขึ้นใหม่ จึงสามารถเนรมิตได้งดงามวิเศษสุด
ดังปรากฏที่พระที่นั่งมหาปราสาท วัดพระศรี รัตนศาสดาราม ราชรถ ภาพเขียนอัน ยิ่งใหญ่ที่ผนังพระที่นั่งพุทไธยสวรรย์แห่งวังหน้า
กับภาพเขียน ใน สมุดไตรภูมิพระร่วงฉบับ พิพิธภัณฑ์เบอลิน เป็นต้น