หตุการณ์ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒

รุงศรีอยุธยานับเนื่องแต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกอบกู้อิสรภาพจากพม่าได้สำเร็จ เมื่อปี พุทธ ศักราช ๒๑๓๕ ก็มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเป็นลำดับ เนื่องด้วยว่างเว้นจากศึกสงคราม ประชาราษฎร ก็มีเวลาได้ทำมาค้าขาย บ้านเมืองก็เป็นปึกแผ่นสามารถทำการค้า และติดต่อ สัมพันธไมตรีกับชาว ต่าง ประเทศมากยิ่งขึ้น รวมทั้งวิทยาการหลากหลายจากต่างประเทศ ก็ได้แพร่สะพัดเข้ามาสู่ กรุงศรีอยุธยา ตลอดระยะเวลา ๑๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา ความรุ่งโรจน์ของ กรุงศรีอยุธยาเกี่ยวกับการค้าขาย ลาลูแบร์ ราชฑูต ฝรั่งเศส ที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ ในจดหมายเหตุว่า ".....สินค้าที่ขึ้นหน้าตาซื้อขายกันมาก คือ ผ้าฝ้ายจาก โจฬะ มณฑลเมืองลุรัต เครื่องถ้วยชามจีน เพชร พลอย ทอง ขี้ผึ้ง ไม้ฝาง ไม้สัก ดีบุก ตะกั่ว หนังสัตว์ และ หนังปลากระเบน เฉพาะหนัง กวางนั้น ปีหนึ่งๆ เขาฆ่ากวาง ประมาณ ๑๕๐๐,๐๐๐ ตัว และส่งหนังไปขาย ใน ประเทศญี่ปุ่น ได้กำไรดี ."

ย่างไรก็ตาม ความรุ่งโรจน์ของราชธานีแห่งนี้ ก็ย่อมเป็นไปตามครรลอง แห่ง สัจธรรม เมื่อมี ความรุ่งเรือง แล้วก็ย่อมมีการแตกดับอันเป็น ธรรมดา ของโลก หากจะ วิเคราะห์ถึงความเสื่อม ของกรุงศรีอยุธยาแล้ว ก็พอจะทราบได้ว่า
ยุคใดสมัยใดที่มีกษัตริย์ และ ชนชั้นปกครอง ที่มี ความเข้มแข็งสามัคคีภักดีต่อบ้านเมืองยุคสมัย นั้น ประชาราษฏร ก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุขบ้านเมืองก็มีแต่ ความรุ่งเรือง แต่หากกษัตริย์และ ชนชั้นปกครอง อ่อนแอ ไร้ความสามัคคีแตกแยกไม่ปรองดองต่อกันบ้านเมืองก็ถึง กาลแตกดับย่อยยับ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับ กรุงศรีอยุธยา ในพุทธศักราช ๒๓๐๙

นแผ่นดินของสมเด็จพระสุริยาสน์อมรินทร์หรือสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ เหล่าข้าราชการ และ ชนชั้น ปกครองต่างก็ขาดความสามารถไม่มีความสามัคคีปรองดองกัน บ้านเมืองมิได้มีการตระเตรียมกำลัง ไว้ป้องกันอริราชศัตรูแต่อย่างไร ในที่สุดบ้านเมืองก็เริ่มอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด พม่าได้กรีธาทัพ อันเกรียงไกร เข้าประชิดถึงกำแพงพระนครศรีอยุธยา ในปีพุทธศักราช ๒๓๐๙ ด้วยอายุแผ่นดินศรีอยุธยา ถึงกาลอวสาน
ได้มีเหตุอาเพศ เป็นนิมิตประหลาด หลายประการดังปรากฏใน เพลงยาว พุทธทำนาย ของคนกรุงเก่า กล่าวไว้ว่า
"ในลักษณะทำนายไว้บ่ห่อนผิด เมื่อวินิจพิศดูก็เห็นสม มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม มิใช่เทศกาลลม ลมก็พัด มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวล้น มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัต ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัดเกิดวิบัตินานาทั่วสากล"
าเพศประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนกรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าบุกเข้าปล้นและเผาผลาญ เมืองได้คือ
-พระประธานวัดพนัญเชิงมีน้ำพระเนตรไหลลงมาที่พระนาภี
- ส่วนพระพุทธรูปที่อยู่ในวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่มี ชื่อว่า พระบรมไตรโลกนารถ มีพระอุระแตกร้าว ดวงพระเนตรตกลง มาอยู่ที่ตักเห็นเป็นอัศจรรย์
-พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในโรงพระแสง ในก็ สำแดงปาฏิหาริย์ กระทืบพระบาท เสียงสนั่นลั่นเลื่อน กึกก้องท้อง พระโรงเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก



ลังจากกองทัพพม่ายกทัพมาตั้งล้อมพระนครศรีอยุธยาได้ ๑ ปี กับ ๒ เดือน ครั้นวันอังคาร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำปี กุน นพศกศักราช ๑๑๒๙ (พุทธศักราช ๒๓๑๐) เพลาบ่าย ๓ โมง พม่า ก็จุดไฟ สุมราก กำแพงเมือง ตรงหัวรอ ที่ริมป้อมมหาชัย และ ยิงปืนใหญ่เข้าสู่ วัดท่าการ้อง วัดแม่นางปลื้ม ในที่สุดกำแพงเมืองก็ทรุดลง เป็นช่องโหว่ ทหารพม่าก็กรูกันเข้าเมืองได้ บ้างก็ เอาบันไดพาดกำแพงปีนเข้าพระนคร พวกทหารไทย ที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ต่างหนีเอาตัวรอด ทหารพม่าจึงบุกเข้าเผาพระราชวัง วัดวาอารามตลอดจน บ้านเรือน ราษฏรทั่ว ทุกหนแห่งที่เข้าไปถึง ไฟไหม้ลุกลาม สว่างไสว ดังกลางวัน
ล่าวกันว่าครั้งนั้นพระนครตกอยู่ในกองเพลิงถึงสามวัน
สามคืนจึงสงบลง ผู้คนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทหารพม่า เที่ยวเก็บกวาดทรัพย์สิน และจับผู้คนให้อลหม่าน ไปทั่วทั้ง พระนคร ดีแต่เป็นเวลากลางคืน ชาวเมือง จึงหนีเอาตัวรอดไป ได้มาก พม่าจับได้เพียง บางส่วน(ระหว่าง ๖๐,๐๐๐-๒๐๐,๐๐๐ คน) รวมถึง พระเจ้าอุทุมพร ซึ่งยังทรงผนวช เป็น พระอยู่ในเวลานั้น ส่วนสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ มหาดเล็กพาลงเรือ ไปซุกซ่อนที่สุมทุมพุ่มไม้ที่บ้านป่าจิก ริมวัดสังฆาวาส กองทัพพม่าเมื่อตีได้กรุงศรีอยุธยาแล้วก็พักอยู่ใน พระนครร้างไร้ผู้คนนี้ เพียง ๙ วัน พอรวบรวมเอาเชลยศัตราวุธและทรัพย์สินต่างๆได้มากพอแล้ว จึงเลิกทัพ กลับไป ส่วนที่คอยสืบจับ ผู้คน ก็ยังมีตาม ค่าย เช่นค่ายโพธิ์สามต้น พวกพม่าได้ เข้าไปพบ พระเจ้าเอกทัศน์ ที่บ้านจิก ซึ่งได้อด อาหาร มากว่า ๑๐ วัน จึงรับ เสด็จไปถึง ค่ายโพธิ์สามต้น แต่ก็ สวรรคตเสียก่อน ทำนองว่าสุกี้(ชาวมอญที่เคยมาพึ่ง พระบรมโพธิสมพาล แต่ภาย หลังกลับใจไปสวามิภักดิ์กับกองทัพพม่า) จึงให้อัญเชิญพระบรมศพมาฝังไว้ที่โคกพระเมรุตรงหน้าวิหารพระ มงคลบพิตร ส่วนบรรดาเจ้านาย และ ข้าราชการ ที่ถูกจับเป็นเชลยพม่าก็ให้กระจายไป อยู่ตามที่ ต่างๆ บ้างก็หนี กลับมาได้ ในภายหลัง ที่สูญไป ในเมืองพม่านั้น ก็มีอยู่มาก
เป็นอันว่ากรุงศรีอยุธยาราชธานีอันงดงามสง่าของไทยในอดีตได้ล่มสลาย ลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อ วันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๑๐
นพงศาวดารกล่าวว่า" เมื่อพระเจ้าตากทรงรวบรวมกำลัง เพื่อกอบกู้บ้านเมืองคืนจากพม่าได้แล้ว ก็คิดที่จะ ปฏิสังขรณ์ กรุงศรีอยุธยาให้เป็นราชธานีของสยามดังเดิม แต่ในขณะที่ ทรง ประทับแรมอยู่ที่ พระที่นั่ง ทรงปืน ในพระบรมมหาราชวังหลวง ทรงพระสุบินว่า พระเจ้าแผ่นดิน องค์ก่อนๆทรงขับไล่มิให้อยู่ พระเจ้าตากสิน จึงได้อพยพผู้คนไปสร้างราชธานีใหม่ ชื่อกรุงธนบุรี ดังปรากฏในปัจจุบัน" กรุงศรีอยุธยาจึงได้ ถูกทิ้งร้าง ตั้งแต่นั้นมา

 

ภาพของกรุงศรีอยุธยาภายหลังจากที่กรุงแตกไปแล้ว ๔๐ ปีคือในปีพุทธศํกราช ๒๓๕๐ พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) ได้มีโอกาสผ่านไป เห็นจึงแต่งนิราศพระบาทเอาไว้ บางตอนดังนี้


".....อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มโหรีปี่กองจะก้องกึก จะโครมครึกเซงแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ฯลฯ
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้ามาเวียงชัย โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
ฯลฯ
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา

ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคนฯ"

ภาพบนซ้าย เป็นภาพป้อมเพชร ซึ่งเป็นป้อม โบราณที่มีมาแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี มีที่ตั้งอยู่ ที่บริเวณซึ่งแม่น้ำเจ้าพระยามาบรรจบกับ แม่น้ำลพบุรีอยู่ทางทิศใต้ของตัวเกาะอยุธยา

 

 

BACK

1