ก่อนกรุงศรีอยุธยาพัฒนาการบ้านเมืองในสยามประเทศนั้นมีความเก่าแก่ ที่ไม่แพ้ ภูมิภาคใดๆในโลก เพราะมีหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่า เกิดบ้าน และเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า ๔,๐๐๐ ปี
๒,๐๐๐ปี ที่ผ่านมมีการติดต่อกับบ้านเมืองภายนอก ที่ห่างไกลทั้งทางตะวันออก และ ทางตะวันตกมีการรับอารยธรรมจากภายนอกมาผสมผสานกับสิ่งที่ เป็นมาในท้องถิ่น ให้มีลักษณะที่ เหมาะสม และเกิดความ งอกงามขึ้น ในทางสังคมแลัวัฒนธรรม ดังเห็น ได้จากการนับถือศาสนาใหญ่ๆเช่น พุทธศาสนา และศาสนาฮินดู การเป็นสังคมที่มี ลายลักษณ์มีภาษาหนังสือใช้ในการสื่อสารกันรวมไปถึงความรุ่งเรือง ทางวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรม
เมื่อราว ๑,๓๐๐ ปี ก็ได้เกิดบ้านเมืองที่เป็นรัฐและแคว้นขึ้น ตามภูมิภาคต่างๆ ในภาค กลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วต่อมาเป็นภาคเหนือ ดังมีการกล่าวถึง ชื่อบ้าน เมืองและแว่นแคว้น ที่เรียกว่าทวาราวดี ศรีวิชัย เจนะ และหริภุญไชย ลำพูน เป็นต้น
พอล่วงเข้าสมัยเวลาราว ๘๐๐ ปีที่ผ่านมา การเติบโตของบ้านเมือง และแว่นแคว้น ก็ปรากฏอยู่แทบทุกจังหวัด และท้องถิ่น ของประเทศ ซึ่งบรรดาชื่อเมือง และรัฐ เหล่านั้นก็ยังคงสืบเนื่องมา จนปัจจุบัน ดังตัวอย่างเช่น เมืองละโว้หรือ ลพบุรี นครศรีธรรมราช พิมาย สุโขทัย อยุธยา สุพรรณบุรี เพชรบุรี ราชบุรี เชียงใหม่ แพร่ น่าน และที่อื่นๆ บ้านเมืองเหล่านี้ ล้วนเป็นเมืองใหญ่ ที่มีกษัตริย์ปก¤รองเป็นแว่นแคว้นเป็นรัฐมาแล้วทั้งสิ้น ความเป็น ศูนย์กลางในการปกครอง และความรุ่งเรืองทางอารยธรรมของบ้านเมืองเหล่านี้ ล้วน สะท้อนให้เห็นจากสถานที่และสิ่งสำคัญทางศาสนา อันได้แก่ วัดวาอาราม พระพุทธรูป เทวรูป หรือปราสาทเทวาลัย อย่างเช่นการมีพระมหาธาตุเจดีย์ที่เป็นศูนย์กลาง ของ เมืองลำพูน เมืองสุโขทัย เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น จนเป็นที่รับรู้กันว่าแต่ละเมืองมีวัดมหาธาตุเป็นวัดสำคัญ หรือในบ้านเมืองที่เคย นับถือ ศาสนาฮินดูและพุทธมหายาน ก็จะ มีปราสาทเทวาลัย เป็น ศูนย์กลาง ดังตัวอย่างเช่น เมืองพิมาย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น
กรุงศรีอยุธยา ครั้นเมื่อถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ อันเป็นเวลาที่พระนครศรีอยุธยา เป็น ราชธานีของสยามนั้นได้มีการรวบรวมบ้านเมืองที่เป็นรัฐ หรือ แคว้นอิสระต่างๆ เข้า มÒรวÁเป็นราชอาณาจักร โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ ณ พระนครศรีอยุธยา ความเป็นศูนย์กลางของบ้านเมืองที่แลเห็นได้จาก พระมหาธาตุเจดีย์ในวัดมหาธาตุ ดังที่พบ ตาม เมืองสำคัญแต่ก่อน ก็เปลี่ยนแปลงไป มารวมอยู่ที่ พระบรมมหาราชวัง อันเป็นที่ ประทับของสมเด็จพระมหา กษัตริยาธิราชแทนก่อนพระนคร
ศรีอยุธยานั้นไม่มีพระบรมมหาราชวัง มีแต่ พระราชวังหรือวังที่ประทับ ของกษัตริย์และเจ้านาย ซึ่งส่วนใหญ่มี อาณาบริเวณไม่ใหญ่โต อีกทั้งบรรดา อาคารสถานที่ก็ล้วนสร้าง ด้วยอิฐ หรือหิน เป็น ขอบเขต จะมีก็คงแต่เพียงรั้วกำแพง และประตูที่เป็นไม้ ภายใน พระราชฐานก็คงมี เพียงเรือนจันทร์ที่สร้างขึ้น เป็น กลุ่มเป็นทั้งที่อยู่อาศัย ที่ออกว่าราชการ และสถานที่ ประกอบพิธีกรรม อยู่ในบริเวณเดียวกัน ลักษณะเช่นนี้ คงไม่แตกต่างไปจาก บรรดา วังของพวกเจ้าฟ้า ไทยใหญ่ ในเขตประเทศ พม่า หรือบรรดาคุ้มของ เจ้าผู้ ครองนคร ในเขตแคว้น ล้านนาในสมัยก่อนรัชกาลที่ ๕ เท่าใดนัก

อาคารที่เป็นเครื่องไม้ อันเป็นที่ประทับว่าราชการ ตลอดจนสถานที่ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์เหล่านี้ แตกต่างไปจาก อาคารที่อยู่อาศัย ของผู้คน ธรรมดา ในด้าน ขนาด ความสง่างาม และการมีสิ่งที่เป็น สัญลักษณ์ที่เหนือความเป็นบุคคลธรรมดานั่นก็คือมี ขนาดใหญ่ หลายห้องหรือไม่ก็เป็นกลุ่มของอาคาร ที่สร้างขึ้นในบริเวณ เดียวกันอย่างวิจิตรพิศดารมีรูป แบบที่ชัดเจน อีกทั้งมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างไป จากความเป็นสามัญชนเช่นมีการสลักลวดลาย มีการ ประดับเครื่องบนของอาคารด้วยช่อฟ้าใบระกา หรือไม่ ก็มีเครื่องยอดให้เด่นเป็นศักดิ์ศรี ความหมายของคำว่า"เรือนจันทร์"นั้นคง เนื่องมา จากใช้ไม้ชนิดดีมีคุณค่ามาสร้างนี่เอง อย่างไรก็ตามบรรดาอาคารที่เป็นที่ประทับและ ออกว่าราชการ ตลอดจนประกอบพิธีของกษัตริย์ดังกล่าวนี้ ก็หาได้แตกต่างไปจาก อาคารบ้านเรือนของคนธรรมดาสามัญÍย่างสิ้นเชิงไม่ หากยังมีความคล้ายคลึงกัน ในด้านการใช้ไม้เป็นวัสดุในการก่อสร้าง และการที่สร้างให้เป็นอาคารมีใต้ถุนสูง แบบบ้านคนธรรมดาทั่วไป นับเป็นลักษณะที่แตกต่างไปจากอาคาร และสิ่งก่อสร้าง ในทางศาสนาอย่างสิ้นเชิง เพราะบรรดาอาคารที่เป็นศาสนสถานเช่น โบสถ์ วิหาร พระสถูป เจดีย์หรือเทวาสถาน ปราสาทเทวาลัย อะไรต่างๆนั้นล้วนเป็นอาคาร ที่ไม่มีใต้ถุนสูง ถ้าไม่มีการก่ออิฐให้สูงขึ้นเป็นชั้นๆเช่น พระสถูปเจดีย์หรือ ปราสาท เทวาลัย ก็สร้างอยู่บนฐานเตี้ยๆติดกับพื้นดินเช่นบรรดาโบสถ์ และวิหาร เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกเว้นบรรดากุฏิพระหรือที่อยู่อาศัยของพวกนักบวช ที่เป็นอาคาร ตั้งอยู่บนเสาสูงมีใต้ถุน เช่น ที่อยู่ อาศัยของ กษัตริย์ และ สามัญชนทั่วไป หลายแห่งทีเดียวที่บรรดา กุฏิหรือที่อยู่อาศัยของ บรรดา นักบวช นัดพรต มี ลักษณะใกล้เคียง กับ อาคารที่อยู่อาศัยของพวก กษัตริย์และเจ้านาย คือมีเครื่อง ประดับ อาคาร เช่น ช่อฟ้า ใบระกา อันแสดงให้เห็นว่า แตกต่างไปจาก พวกคนธรรมดา และ มีหลายแห่งที่บรรดา กุฏิหรืออาคารที่อยู่อาศัยของสงฆ์ เป็น อาคารที่เคยเป็นตำหนักหรือวังเก่าที่ผู้เป็นเจ้าของสั่งให้รื้อถวายวัด เมื่อถึงแก่กรรม ไปแล้ว
เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ บรรดา อาคารที่เป็นตำหนัก ปราสาทราชวังของกษัตริย ์และเจ้านายตามเมืองและรัฐต่างๆในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้และเป็นอาคารที่มีใต้ถุนสูงแบบที่อยู่อาศัยของคน ธรรมดาสามัญ ทั่วไปหาได้มีการสร้างอยู่บนฐานที่ก่อทับ เช่นบรรดาอาคารทางศาสนาไม่
ถ้าหากจะดูหลักฐานทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์ก็ อาจมีบางท่าน กล่าวว่าการสร้างอาคารในพระราชวังที่ตั้งอยู่บนฐาน ก่ออิฐถือปูน ตามแบบอาคารที่เป็นวิหาร และ โบสถ์ ทางศาสนา เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยกรุงสุโขทัยเพราะ มีเนินปราสาทอันเป็นสถานที่ที่พบพร้อมกัน กับศิลา จารึกของพ่อขุนรามคำแหงเหลือแสดงให้เห็น อีกทั้ง มีข้อความในศิลาจารึกของสมเด็จพระมหา ธรรมราชาลิไทที่กล่าวถึงพระราชมณเฑียรในตอน ประกอบพระราชพิธี ผนวชและทรงศีลด้วย จึงเป็น เหตุให้มีการเสนอว่าการสร้างปราสาทราชวัง ที่มีการ ก่ออิฐถือปูนมีมาแต่ครั้งสุโขทัยแล้ว ข้มมูล และการ ตีความจนเป็นข้อเสนอในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ควร ต้องมี การทบทวน นั่นก็คือถ้าหากมีการก่อสร้างสิ่งที่เรียกว่าพระราชมณเฑียรในศิลาจารึก ให้เป็นปราสาทในพระราชวังจริงแล้ว ซึ่งน่าจะตรงกันกับเนินปราสาท อันเป็นสถานที่ พบศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นของที่เกิดขึ้นใน พุทธศตวรรษ ที่ ๒๐ นั่นเองหาได้เป็นสิ่งมีมาก่อนหน้านี้ไม่
แต่กระนั้นก็ดีพระราชมณเฑียรที่เกิดขึ้นนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานอื่นมาสนับสนุนให้เห็นว่า เป็นสถานที่ภายในพระราชวัง อันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์สุโขทัย สิ่งที่น่าเป็น ไปได้ก็คือเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธี ดังปรากฏกล่าวถึงในศิลาจารึกว่า สมเด็จ พระมหาธรรมราชาลิไททรงผนวช ณ ที่นี้ ซึ่งก็คงอยู่นอกเขตพระราชฐาน หรือ พระราชวัง ในครั้งนั้นอย่างแน่นอน เนินปราสาทหรือพระราชมณเฑียรนี้คงสร้างขึ้น เพื่อการพระราชพิธีโดยเฉพาะ นับเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของ พระราชวัง ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากการแยกสถานที่ประกอบพระราชพิธี ออกจากสถานที่พำนักของ พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์อย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจนับได้ว่า เป็นวิวัฒนาการของ พระราชวังได้ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเมืองสุโขทัยอันมีการสร้าง พระราชมณเฑียรขึ้น นั้น ก็มีพระนครศรีอยุธยาเกิดขึ้นแล้วเพราะรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)นั้นร่วมสมัยเดียวกันกับสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท พระราช พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงการสร้างพระราชวังว่า
"วันศุกร์ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ เพลาสามนาฬิกาเก้าบาท สถาปนากรุงพระนครศรีอยุธยา ชีพ่อพราหมณ์ให้ ฤกษ์ตั้งพิธีกลบบาตร ได้สิงข์ทักขิณาวัฏใต้ต้นหมันใบหนึ่ง แล้วสร้าง พระที่นั่งไพฑูรย์มหา ปราสาท องค์หนึ่ง สร้างพระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาทองค์หนึ่ง สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์มหาปราสาทองค์หนึ่ง"

ข้อมูลในพระราชพงศาวดารนี้เป็นสิ่งที่นำมารวบรวมเขียนขึ้นในภายหลัง แต่ก็น่าจะ เป็นการบันทึกสิ่งที่เป็นจริงอันเป็นการถ่ายทอดกันมาแต่ก่อน ถ้าหากรับทราบเพียง แค่
·Õèยกมาอ้างนี้ ก็คงไม่รู้ว่าบริเวณพระราชวังในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ อยู่ตรงไหนและพระมหาปราสาทที่เป็นพระที่นั่ง ๓ องค์ นั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่ง พระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถตอนปลาย พุทธศตวรรษ ที่ ๒๐ ว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถทรงยกพระราชวังท่านเป็น

วัดศรีสรรเพชญ แล้วย้ายมาอยู่ริมน้ำ โปรดให้สร้าง พระที่นั่งเบญจรัตน มหาปราสาทองค์หนึ่ง กับพระที่นั่ง สรรเพชญปราสาทอีกองค์หนึ่ง จึงรู้
แน่ว่าบริเวณ¾ะราชวังเดิมนั้นอยู่ใน บริเวณที่เป็นวัดพระศรีสรรเพชญนั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ พระที่นั่ง ๓ องค์แรก ที่มีมาแต่เดิมครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)ก็คงถูกรื้อเปลี่ยนแปลงไป เป็นแน่ ไม่มี หลักฐานอันใดที่เหลืออยู่ว่าสร้างด้วยเครื่องไม้ เป็นเรือนจันทร์Ëรือเป็น ปราสาท ที่ก่ออิฐทึบ เช่นเดียวกันกับเนินปราสาทที่เชื่อว่าเป็นพระราชมณเฑียรใน เมืองสุโขทัยครั้งรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท แต่เป็นที่แน่นอนว่าตั้งแต่ครั้ง สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ พระราชวังย้ายมาอยู่ใกล้ริมน้ำคือแม่น้ำลพบุรี หรือที่ เรียกว่า "คลอง¤Ùเมือง" ทางทิศเหนือ เพราะโบราณสถานที่เป็นพระราชวัง ยังปรากฏ ให้เห็นจนกระทั่งปัจจุบัน กระนั้นก็ดี พระราชวังที่มีมาแต่
รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง คือไม่ใช่ว่าสร้างแล้วก็ แล้วกันไม่มีการเปลี่ยนแปลง หาก มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตาม ช่วงเวลาต่างๆของพระนครศรีอยุธยา ที่มีการสืบเนื่องเรื่อยมาหลายร้อยปี ดังเห็นได้จากปราสาทพระที่นั่ง

ที่เป็นโบราณสถานในขณะนี้ว่ามีหลายองค์ ได้แก่ พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ พระที่นั่งวิหารสมเด็จ พระที่นั่งตรีมุข พระที่นั่งบรรยงค์ รัตนาสน์ พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ และอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นพระที่นั่งที่มีฐาน ก่ออิฐ ถือปูนทั้งสิ้นไม่ÁÕีองค์ใดที่ทำเป็นเรือนไม้มีใต้ถุนสูงเลย ยิ่งไปกว่านั้นร่องรอยของ สถาปัตยกรรมที่ปรากฏในบรรดาพระที่นั่งเหล่านี้ ก็แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยี่ที่มีการรับอิทธิพลทางตะวันตกเข้ามาผสมผสาน โดยเฉพาะการก่ออิฐ ขนาดเล็กบางและแกร่ง รวมทั้งการใช้สอปูนประสานในการเรียงอิฐนั้น แสดงถึงความ นิยมในสมัยตั้งแต่รัขกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองลงมา ซึ่งเป็นสมัยเวลาที่ กรุงศรีอยุธยาเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคความรุ่งเรืองทางศิลปะและอารยธรรมโดยแท้

เมื่อดูจากร่องรอยของ
โบราณสถานที่เป็นปราสาท ราชวังในพระนครศรีอยุธยา ขณะนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่า ยากแก่การที่จะเห็น อะไร เก่าแก่ไปจนถึงรัชกาลสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถได้ยกเว้น แต่ข้อมูลทางเอกสาร ที่กล่าวถึง การย้ายพระราชวังการสร้างวัดพระศรีสรรเพชญและการสร้าง พระที่นั่ง ๒ องค์คือ พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทและ พระที่นั่งเบญจรัตนมหาปราสาท เป็นสำคัญ พระที่นั่งเบญจรัตนมหาปราสาท นั้นไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ในขณะนี้จะถูก เปลี่ยนแปลงเป็น พระที่นั่งในสมัยหลังลงมาอย่างใด ดูเป็นเรื่องยากแก่การเดา จึงมี เพียงแต่ พระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทเท่านั้นที่มีการสืบเนื่องทั้งในด้านนามธรรม และรูปธรรมอยู่นั่นก็คือในด้านนามธรรมนั้น ชื่อพระที่นั่งยังคงสืบเนื่องมาจนวาระ สุดท้ายของพระนครศรีอยุธยา ส่วนในด้านรูปธรรมนั้นก็คือโบราณสถานที่เป็นพระที่นั่ง องค์อื่นๆ เพราะโบราณสถานที่เป็นพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทนั้น มีร่องรอยการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายสมัยดูแตกต่างกับพระที่นั่งองค์อื่นๆ โดยเฉพาะ พระที่นั่งวิหารสมเด็จ ที่เกือบไม่มีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
แน่นอนพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทคือพระที่นั่งที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงศรีอยุธยา ที่ดำรงอยู่สืบมาจนถึงสมัยคราวเสียกรุงเมื่อแรกสร้างคงเป็นพระที่นั่งที่มีฐานก่อด้วยอิฐ ถือปูน เช่นเดียวกันกับเนินปราสาทหรือพระราชมณเฑียรของเมืองสุโขทัย
ครั้งรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท คงเป็นพระที่นั่งที่ไม่ใช่เป็นที่ประทับอาศัย ของพระมหากษัตริย์แน่ หากเพื่อการประกอบพระราชพิธีของรัฐและของราชสำนัก โดยตรง เพราะบริเวณที่พระที่นั่งÊรรเพชญปราสาท ตั้งอยู่นั้นนับเนื่องในเขต พระราชฐานชั้นที่ ๒ หาใช่ชั้นในอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไม่ จีงเป็นสิ่งที่ แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของพระราชวังอย่างแท้จริงนั่นก็คือการขยายเขต และ การจัดแบ่งบริเวณพระราชวังให้ซับซ้อนขึ้น มีทั้งบริเวณที่อยู่อาศัย บริเวณออกว่า ราชการ บริเวณประกอบพิธีกรรมและอื่นๆ แยกออกจากกัน ถ้าหากจะมีผู้กล่าวอ้างว่า การแบ่งเขต พระราชวังเป็นบริเวณๆ ดังกล่าวนี้เป็นของที่เกิดขึ้นในสมัยหลังๆ ลงมา อย่างเช่นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายแล้ว ก็คงโต้แย้งได้ว่า เป็นการเข้าใจผิดอย่าง มหันต์ เพราะมีหลักฐานในกำสรวลสมุทร ซึ่งเป็นวรรณคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยาครั้ง รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ¡ล่าวว่า

อยุธยาไพโรจน์ใต้ ศรีบูร
ทวารรุจิรยงหอ สรหล้าย
อยุธยายิ่งแมนสูร สุรโลก รงงแฮ
ถนัดดุจวสวรรคคล้าย คล้าย แก่ตา

คำว่า ตรีบูร นั้นหาได้หมายความว่าพระนครศรีอยุธามีกำแพง ๓ ชั้นไม่Ëากหมายถึง ความรุ่งเรืองของ พระนคร ศรีอยุธยานั้น อยู่ภายใต้พระมหาราชวังที่มีกำแพงล้อม ๓ ชั้นเป็นสำคัญ การแบ่งเขตพระราชฐาน ออกเป็น ๓ ชั้น ๓ บริเวณนี้ ก็มีกล่าวถึงใน กฎมณเฑียรบาลอันเป็นกฏหมายเก่าตราขึ้นครั้งรัชกาลสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ จึงนับ ได้ว่าในรัชกาลนี้ได้มี การพัฒนา พระราชวังให้มีความสำคัญกว่าสมัยใด ๆ ที่ผ่านมาอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามการเกิดพระราชวังที่มีกำแพงล้อม ๓ชั้นดังกล่าวนี้ ก็หาได้เกิดขึ้น เพราะความริเริ่มจาก พระมหากษัติย์แต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากเป็น เรื่องที่มีปัจจัยอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะการเติบโตของรัฐและบ้านเมืองขึ้น เป็นราชอาณาจักร เพราะในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้น เป็นช่วงเวลาที่ รัฐนครศรีธรรมราช สุพรรณภูมิ และสุโขทัย ได้ถูกผนวกเข้ามารวม กับรัฐอยุธยาอย่าง สมบูรณ์ เปลี่ยนแปลงจากการที่เคยเป็นรัฐอิสระมีกษัตริย์ หรือเจ้านายปกครองกันเอง มาเป็นเมืองพระยามหานครภายใต้การปกครองที่มีศูนย์รวมอยู่ ณ พระนครศรีอยุธยา ทำให้กรุงศรีอยุธยากลายเป็นราชอาณาจักรอย่างแท้จริง มีความจำเป็นต้องปฏิรูป การปกครอง และการบริหารราชการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งการออก และตรากฎหมายพระราชบัญญัติต่างๆ ขึ้นมากมาย เพื่อควบคุม ให้เกิดระเบียบแบบ แผนและความสงบเรียบร้อยในราชอาณาจักร การเกิดพระราชวังที่มีกำแพงล้อม ถึง ๓ ชั้นเช่นนี้ คือผลพวงของการเปลี่ยนแปลงการเติบโตของราชอาณาจักร เพราะ พระราชวัง อันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์นั้น คือศูนย์แห่งอำนาจที่จะต้องมีการ จัดการและปรับปรุงให้เหมาะสม โดยที่บริเวณภายในพระราชวังแต่ละชั้นนั้น มีความหมาย และความสำคัญดังนี้
พระราชฐานชั้นในหรือพระราชวังชั้นใน เป็นที่รโหฐานสำหรับพระมหากษัตริย์ และ ข้าราชบริพารฝ่ายใน ซึ่งในกฏมณเฑียรบาล ห้ามไม่ให้บุคคลฝ่ายนอก โดยเฉพาะพวก ผู้ชายผ่านเข้าไปในบริเวณ ซึ่งจัดเป็นสถานที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ
ชั้นที่ ๒ ถัดมาเป็นสถานที่ราชการที่สำคัญที่สุดในการปกครองราชอาณาจักร เป็นที่ซึ่ง มีการสร้างพระที่นั่งสำหรับการออกว่าราชการแผ่นดิน รับแขกเมือง และ ประกอบพิธี บรมราชาภิเษก และพระราชพิธีที่เนื่องในการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น นอกจากพระมหาปราสาทที่เป็นพระที่นั่งแล้ว ก็มีอาคารที่เป็นท้องพระคลัง โรงช้าง โรงม้า และอื่นๆ อีกหลายอย่าง
ส่วนชั้นที่ ๓ หรือชั้นนอกสุดนั้น เป็นบริเวณเพื่อการรักษาความปลอดภัย แก่พระ มหากษัตริย์ มีอาคารสถานที่สำหรับทหารรักษาวังเป็นส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน ก็มี พื้นที่ว่างเป็นสนามเพื่อใช้ในการสวนสนาม ตลอดจนการประกอบพิธีกรรมกลางแจ้ง ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักร แต่สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในเขตพระราชฐานชั้นนอกนี้ก็คือการผนวกเอา วัด พระศรีสรรเพชญเข้าไว้ภายในกำแพงพระราชวังด้วย
วัดพระศรีสรรเพชญเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาแต่เป็นวัดที่มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โต และสง่างามเพื่อเป็นวัดสำหรับพระราชสำนักและ พระมหากษัตริย์ ทรงประกอบ พระราชพิธีสำคัญทางศาสนา ก่อนรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถไม่มีวัดอยู่ใน พระราชวัง วัดสำคัญคือวัดมหาธาตุเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นที่ สักการะของประชาชนพลเมืองทั่วไปเป็นที่ประกอบพระราชพิธี และพิธีกรรมทาง ศาสนาของรัฐ และบ้านเมือง การสร้างวัดพระศรีสรรเพชญขึ้นในเขตพระราชวังนั้น จึง เท่ากับดึงบทบาทและความสำคัญในเรื่องพระราชพิธีของรัฐจากวัดมหาธาตุมาไว้ ณ วัดพระศรีสรรเพชญแทน

HOME BACK

 

สัญญาลักษณ์ญลักษณ์ทางอารยธรรมของราชอาณาจักรอยุธยา
ก่อนกรุงศรีอยุธยา
และในสมัยกรุงศรีอยุธยา
1