ลี้ยวซ้ายไปตามถนนอู่ทองจะพบกับสะพานข้ามคลองคูเมืองไปยังวัดหน้าพระเมรุจาก ลักษณะที่หน้าวัดหันเข้าหาลำน้ำ แสดงให้เห็นว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นก่อนสมัย กรุงศรีอยุธยา อย่างแน่นอน
พระราชพงศาวดารเหนือระบุว่า"ขณะนั้นองค์อินทร์เป็นเชื้อมาแต่ พระยากาฬปักษ์มาได้ราชสมบัติที่ ๓๕ ปี สร้างวัดหน้าพระเมรุ ไว้เป็นหลักพระพุทธศาสนา"

พระอินทราชานี้น่าจะเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๔ ของศรีรามเทพนคร เนื่องจากในคำให้การ ชาวกรุงเก่าระบุว่าพระองค์ครองราชย์อยู่ ๓๕ ปีเท่ากับที่ระบุในพระราชพงศาวดารเหนือ 
วัดนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายครั้งครั้งที่ใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นใน สมัยของพระเจ้า ปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้มีการซ่อมแปลงพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถ จากปางมารวิชัยธรรมดาเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง(พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืององค์นี้มี
พระนามว่า พระพุทธนนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนารถ)

ซึ่งยังคงเป็นพระประธานองค์ปัจจุบันนี้(วัดนี้เป็นวัดเดียวในพระนครศรีอยุธยาที่
รอดพ้น จากการทำลายล้างของพม่า คราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
  

พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชย์บรมไตรโลกนาถ พระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ หรือ วัดเมรุชิการาม
ภาพของรากไทรที่แผ่เข้าครอบคลุมเจดีย์รายสามองค์ ที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถของวัดหน้าพระเมรุน่า จะ ดูคุ้นตา สำหรับผู้ที่เคยเห็นภาพวาดกรุงศรีอยุธยา ในหนังสือของ อังรีมูโอต์นักสำรวจชาวฝรั่งเศส ที่เดินทางเข้ามาใน ประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ น่าจะแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เรายังคงสามารถเห็น ภาพนี้ ไดÑอีกทั้งๆที่ เวลาผ่านไปเกือบร้อยปีภายใต้รากไม้อันรกเรื้อนี้คือมรดกที่หลงเหลือ อยู่อีก ส่วนหนึ่งของศรีรามเทพนคร แม้ว่าตอนล่างของเจดีย์จะถูกขุดคุ้ยจนยับเยิน ก็พอมองเห็น ว่าเป็นเจดีย์ทรงระฆังกลมที่ใช้เทคนิคการก่อสร้างก่ออิฐแบบไม่สอปูน เป็นหลักฐานที่พอ จะยืนยันได้ว่าวัดหน้าพระเมรุนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมาแต่ครั้งก่อนกรุงศรีอยุธยา
จากวัดหน้าพระเมรุตามถนนสายเล็กๆ ที่มุ่งออกนอกเมืองที่ขนานไปกับคลองสระบัว บริเวณนี้ยังมีร่องรอยของศิลปกรรมศรีรามเทพนครหลงเหลืออยู่ให้ชมกันอีกไม่น้อย เมื่อ เลี้ยวเข้าซอยวัดศรีโพธิ์ เบื้องหลังซุ้มประตูที่ถูกรากไทรแผ่สาขาปกคลุมจนรกครื้มนั้น เจดีย์เก่าแก่ของวัดพระรามที่ชำรุดปรุพรุนไปด้วยรอยขุดค้นหาสมบัติของวัดพระรามยังคง ยืนหยัดอยู่ แม้ว่าอิฐและปูนที่กระเทาะออกทำให้แลดูราวกับว่าเจดีย์บิดเบี้ยวไปบ้างก็ตาม  ภายในบริเวณที่เคยเป็นโบสถ์มีซากพระพุทธรูปหินทรายขนาดใหญ่น้อยที่แตกหัก อยู่กลาด เกลื่อน
จาก วัดพระรามไปทางทิศเหนือเราจะมองเห็นเจดีย์แปดเหลี่ยมระฆังเรียวสูงของ วัดจงกรม วัดนี้ยังคงหลงเหลือร่องรอยของโบราณสถานโบราณวัตถุมากมายใต้องค์ระฆัง ของเจดีย์ประธานมีซุ้มซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีบันทึกว่าเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา ๑๖ องค์ ในลักษณะทำทักษิณาวรรตโดยรอบเจดีย์  อันเป็นที่มาของชื่อวัดจงกรม แต่ใน เวลานี้พระพุทธรูปเหล่านี้หายไปหมดแล้ว ไม่ทราบว่าตกลงมาแตกหักเสียหาย หรือถูก ขโมย ด้านหน้าของเจดีย์มีช่องทางเข้าไปด้านในเป็นเจดีย์องค์เล็กที่ถูกครอบเอาไว้ มีร่องรอย ถูกขุดค้นจนกระจุยกระจาย แต่เดิมคงเป็นกรุที่เก็บทรัพยฺ์สิน เพราะดู ภายใน เป็นช่องลึกลงไปมากอุโบสถด้านหน้าของเจดีย์มีเศษพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ เกลื่อนกลาดอยู่อีกทั้งลวดลายหน้ากระดานจำหลักศิลาทรายที่พบอยู่ด้วยกันนั้น ยืนย้น ถึงอายุอานามของวัดแห่งนี้ว่าต้องเก่าแก่ร่วมสมัยกับอาณาจักรขอมเป็นอย่างแน่นอน กลับออกมาที่หน้า วัดศรีโพธฺ์ ตรงต่อไปตามถนนทางเดิมที่มุ่งไปทางทิศเหนือจนถึง วัดครุฑาราม เลี้ยวขวาไป ไม่ไกลก็จะพบกับ วัดท่าแค อันเป็นอาณาบริเวณกว้างขวาง บริเวณวัดเรียงรายไป ด้วยเจดีย์ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดแตกต่างกันไปหนึ่งเป็น เจดีย์ทรงระฆังตั้งอยู่บนฐานสูง เจดีย์องค์หนึ่งรูปสี่เหลี่ยมอีกองค์หนึ่งเป็นเจดีย์รูปทรง คล้ายกับพระธาตุแช่แห้งของจังหวัดน่านทางภาคเหนือ ถัดไปเป็นเจดีย์ทรง ระฆัง ซึ่งมีการก่ออิฐแบบเก่าแก่ พังทลายลงสามองค์เห็นปล่องไฉนกองอยู่กับพื้น วัดท่าแค นี้ก็เช่นเดียวกับวัดเก่าแก่อื่นๆ คือไม่มีประวัติความเป็นมาที่แน่ชัด ด้านหน้าของวัดนี้มีลำน้ำ ซึ่งบัดนี้ได้ตื้นเขินไปแล้ว การหันหน้าสู่ลำน้ำแทนที่จะหัน ไปทางทิศตะวันออก บ่งบอก อย่างชัดเจนว่าเป็นวัดที่สร้าง ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างแน่นอน
จากวัดท่าแคตรงไปตามถนนสายเดิมจนถึงสามแยกเลี้ยวขวาก็จะพบ วัดแม่นางปลื้ม บนฐานทักษิณา ของเจดีย์ขนาดมหึมาที่วัด แม่นางปลื้ม เรียงรายไปด้วยปูนปั้นรูปสิงห์ ขนาดใหญ่ ท่วงที องอาจน่าเกรงขามในรูปแบบของ ศิลปะขอม ต้นไม้ ที่ขึ้นอยู่รกเรื้อยื่งทำให้ บรรยากาศเหมือนอยู่ในอดีตกาลอันไกลโพ้น
เมื่อขึ้นไปอยู่บนฐานทักษิณาของเจดีย์ เราจะสามารถมองเห็น ยอด เจดีย์ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ได้อย่างชัดเจน จึงไม่น่าเป็นที่แปลกใจ เลยว่า เมื่อครั้งพม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวกรุงแตกครั้งที่ ๒นั้นพม่าซึ่งได้มาตั้งค่ายที่วัดแม่นางปลื้มแห่งนี้ คงได้ขนเอาปืน ใหญ ่ขึ้นมาตั้งบนฐานเจดีย์แห่งนี้เพื่อระดมยิงเข้าสู่พระนครศรีอยุธยา
สังเกตได้จากบนฐานทักษิณาทางด้านทิศใต้ซึ่งมองออกไปเห็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ นั้นสิงห์ปูนปั้นมีเหลือ อยู่น้อย มาก คงจะถูกพม่าทำลายไปเพื่อนำปืนใหญ่มาตั้งหรือไม่ ก็แตกหักเสียหาย ด้วยแรงกระเทือน จากการยิงปืนใหญ่
วัดแม่นางปลื้มนี้มีผู้สันนิษฐาน ว่าน่าจะเป็นวัดมหาธาตุของศรีรามเทพนคร กลับมาดูทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยาเลยทางแยกเช้า วัดไชยวัฒนาราม ออกไปในท้องทุ่งกว้างห่างจากàกาะเมืองอยุธยาไม่มากนักเป็นที่ตั้งของ วัดกระช้าย หรือ วัดกระไชย มีเจดีย์ แปดเหลี่ยมขนาดใหญ่มีซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปโดยรอบยืนหยัด อยู่กลางทุ่งประเชดอย่างที่เคยเป็นมาหลายศตวรรษปูนที่ฉาบภายนอกของเจดีย์นั้นหลุด ร่อนจนหมดสิ้นเผยให้เห็นเนื้ออิฐที่เรียงกันอย่างแนบชิดเป็นระเบียบ ภายในเจดียฺ์ซึ่ง ก่ออิฐอย่างเป็นระเบียบกลวงจนไปถึงยอดแสดงให้เห็นเทคนิคการก่อสร้าง อันประณีต ของช่างของศรีรามเทพนคร วัดแห่งนี้เคยปรากฏชื่อเป็นที่ตั้งของกองทัพพม่าครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ใน ครั้งนั้นปืนใหญ่จาก ค่ายพม่า ที่วัดกระซ้ายแห่งนี้ได้ระดมยิง เข้าสู่ พระราชวังหลวง จนกระทั้ง อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ถึงแก่ กาลอวสานลง
องร้อยปีต่อมา..กรุงศรีอยุธยากลับมีโอกาสฟื้นคืนความรุ่งเรืองแห่งอดีต ชึ้นมาอีก ครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นบางส่วน ในวันที่กรุงศรีอยุธยาได้รับการยกย่องให้เป็น มรดกทาง วัฒนธรรมของโลก จากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และ วัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ หรือยูเนสโ
แต่....ศิลปะสถาปัตยกรรม อันงดงาม และยิ่งใหญ่ แห่งศรีรามเทพนคร ที่มีอายุเก่าแก่ร่วมสมัยกับอาณาจักรขอมและอาณาจักรพุกาม อันเลื่องชื่อทั้งอีก ยังเป็น ต้นแบบของศิลปกรรมแห่งกรุงศรีอยุธยานั้นก็ยังคงถูกทอดทิ้งไม่มีใครใน บ้านเมืองนี้ เหลียวแล.. มรดกนี้ถูกทิ้ง ให้จมอยู่ในป่าอันรกชัฏรอคอยวันเวลาที่จะพังภินท์ลงซึ่ง ก็คง จะมาถึงอีกไม่นานนักและเมื่อ
ถึงวันนั้นนามของ "อโยธยาศรีรามเทพนคร" ก็คงจะถูกลืมเลือน ไปตลอดชั่วกาล

HOME

 

1