ดูหนังดูละคร  แล้วย้อนดูตัว

โดย เกษียร เตชะพีระ  เนชั่นสุดสัปดาห์, ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๔๐๐ (๓๑ ม.. - ๖ ก.. ๒๕๔๓)

 

                “ ความจริงเรื่องนี้ ตัดสินง่ายนิดเดียว โดยผมมีข้อเสนอบ้างว่า

                ให้ฝรั่งหรือใครก็ได้ เอาเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงของบิดาคนที่เรียกร้องสิทธิจะดูหนัง เรื่องนี้

                แต่งเติมเสริมอะไรเข้าไปในเรื่องราวของหนังให้บิดาของคน ๆ นั้นดูยังกะไม่ใช่คนผู้เจริญ แล้ว โง่ก็เท่านั้น เซ่อก็เท่านั้น แถมยังออกมาในแบบน่าเกลียด กักขฬะ โสมม หรืออะไรก็ได้  ใส่ลง ไปในหนังให้เต็มเหยียดเลย

                อยากจะรู้ว่าคน ๆ นั้น และญาติพี่น้องของคน ๆ นั้น จะเรียกร้องดูหนังเรื่องนั้นไหมในบ้าน ของเขาเอง ในเมื่อก็รู้ว่าภาพลักษณ์ของบิดาจะออกมาแย่มาก ๆ “

สุจินต์ จันทร์นวล, เนชั่นสุดสัปดาห์,  ๘: ๓๙๘ (๑๗-๒๓ ม.ค. ๔๓), ๙๗

 

                “ ทุกวันนี้คงได้ยินเสียงวิจารณ์ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้จงรักภักดีจำนวนหนึ่งที่เทิดทูน ด้วยการยกให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น “พ่อ”   เรียกว่าพ่อด้วยความเทิดทูน ซึ่งจะเป็น การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงอย่างผู้ดึงไม่รู้ตัว  ท่านต้องช่วยบอกให้พวกเขาเข้าใจว่าไม่ทรงเป็น อื่นได้  สำหรับพสกนิกรแล้ว ต้องทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น  ต้องไม่เป็นอื่น  ขอฝากให้ช่วยกันในเรื่องสำคัญเรื่องนี้ด้วย “

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก มติชนรายวัน, ๑๘ ม.ค. ๔๓, น. ๒๔

 

                หากตั้งคำถามในกระทู้เดียวกับการอภิปรายของนักประวัติศาสตร์ที่ศูนย์มานุษยวิทยา-สิรินธร เมื่อ ๒๑ ม.ค. ศกนี้  (มติชนรายวัน, ๒๒ ม.ค. ๔๓, น. ๓)  ว่า

“อะไรกันนักกันหนา ?...”

 กะอีหนังฝรั่งแค่เรื่องเดียว  ทำไมต้องท้าวความลามปามถึงบุพการีกันด้วย ? 

                ผมก็คงเห็นด้วยครับว่าเตี่ยผมไม่เกี่ยว  แกอยู่ของแกดี ๆ ไม่น่าพาโลโฉเกลากแกมายุ่งด้วย เลย   แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้มันก็มีเงื่อนงำลึกซึ้งของมันอยู่ ซึ่งเราไม่ควรดูเบาหรือหลงประเด็น .....

                ประเด็นมันไม่ใช่แค่หนังเจ๊กปนฝรั่งปลอมเป็นไทยเรื่องเดียวดอกครับ  ถ้าแค่นั้นก็ง่ายมาก

                แต่เป็นเรื่อง อำนาจ กับ วิธีคิดของผู้ใช้อำนาจ  ต่างหาก

                ผมเองโดยส่วนตัวถึงจะเป็นแฟนโจวเหวินฟะมาตั้งสองทศวรรษ  แต่ก็ไม่ได้พิศวาสหนัง “แอนนา”  สักเท่าไหร่   เอาเข้าจริงยังไม่เคยดูด้วยซ้ำไป  และเท่าที่สดับตรับฟังจากคนที่เขา เคยดู,

หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ดิบดีน่าประทับใจอะไรนัก   ดังท่านผู้ใช้นามปากกาว่า  “บัวนอกบึง”    (ใครหว่า ?     ING K. ?  หรือ กาญจนา แก้วเทพ, นพพร ประชากุล, ทวีศักดิ์ เผือกสม ฯลฯ ???)  สรุปไว้ใน บทวิจารณ์เผ็ดแสบเฉียบคมทั้งทฤษฎี ประวัติศาสตร์  และภาพยนตร์ว่า

                “ เป็นหนังก่อเรื่องที่ไม่ได้เรื่อง  ว่างั้นเถอะ” (“Anna and the King and the Thai,” มติชนรายวัน, ๒๐ ม.ค. ๔๓, น. ๑๒)

                ไม่สมพอที่คนไทยเราจะต้องมาแตกคอเสียความรักสามัคคีกันเพื่อปกป้องหนังไม่ได้เรื่อง เรื่องนึง  มิใช่หรือ........... ?

                แต่เดี๋ยวก่อน  ประเด็นที่พาหลงมันอยู่ตรงนี้แหละครับ

                เพราะคนที่เขาวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งแบนและเรียกร้องสิทธิ์จะดูหนังเรื่องนี้นั้น  เขาไม่ได้ปก ป้องหนัง “แอนนา”  นะครับ

                เขาปกป้องตัวเขาเองและสังคมไทยต่างหาก  ปกป้องมันจาก

                )  อำนาจเซ็นเซ่อร์และแบนหนังซึ่งถือเป็นข่าวสารข้อมูลสาธารณะอย่างหนึ่ง และ

                ) วิธีคิดค่อนข้างคับแคบของผู้ที่ไปนั่งกุมอำนาจดังกล่าวนี้อยู่ ดังแสดงออกในกรณีแบน หนัง “แอนนา” นี้

                อำนาจดังกล่าวอ้างความตามกฎหมายในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์และคำสั่งคณะปฏิวัติใน ยุคเผด็จการทหาร  อันตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่ารัฐเป็นผู้ใหญ่  ส่วนสังคมเป็นเด็ก  ผู้ใหญ่จึงมีอำนาจ หน้าที่ปกครองดูแลคัดเลือกหนังเฉพาะที่ผู้ใหญ่เห็นว่าดีมาให้เด็ก ๆ ดู

                แต่บ้านเมืองเราไม่ได้อยู่ในยุคนั้นอีกต่อไปและความจริงก็ได้ปลดเปลื้องตัวเองหลุดพ้นจาก ยุคดังกล่าวมาตั้งนมนานแล้ว  เราอยู่ในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย  อันตั้งอยู่บนสมมุติ ฐานว่าสังคมไทยเป็นผู้ใหญ่ที่พึงมีอำนาจปกครองตัวเอง  มีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกดูหรือไม่ดูหนังที่ เห็นว่าดีหรือไม่ดีด้วยเหตุผลของตนเอง 

                การเซ็นเซ่อร์และแบนหนังในฐานะมาตรการป้องกันตัวเองและควบคุมทางวัฒนธรรมควร จะมีอยู่อีกหรือไม่  ?  นั่นเป็นปัญหาเปิดปลายที่สังคมเราถกเถียงกันต่อได้  แต่ต่อให้มีก็เป็นหน้าที่

ของสังคมที่จะต้องจัดวางกระบวนการที่โปร่งใส  สรรหาตัวแทนที่รับผิดชอบ และมอบหมายอำ-

นาจที่ตรวจสอบได้ให้เอง   ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าหน้าที่รัฐและแขกรัฐเชิญเพียงไม่กี่คนที่

จะมาชุบมือ เปิบตัดสินใจแทน

                อำนาจสิทธิ์ขาดที่จะกำหนดว่าสังคมดูและรับรู้อะไรได้หรือไม่ได้โดยปราศจากการตรวจ สอบถ่วงดุลจากสมาชิกสังคมนั้น  เราปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มเดียวได้อย่างไรใน เมื่อเราเข้าใจตัวเราเองว่าเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ?

                เพียงเรื่องลักษณะและขอบเขตของอำนาจเรื่องเดียวนี้ก็ชวนกังวลพอดูแล้ว  แต่เมื่อพิจารณา

เนื้อหาหลักการของการใช้อำนาจในครั้งนี้ก็ยิ่งน่าวิตกเข้าไปใหญ่  เพราะข้อหาอุกฉกรรจ์ร้ายกาจที่ ใช้ในการแบนหนัง “แอนนา”  คือ

                “ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ “

                นั่นหมายความว่าคณะเจ้าหน้าที่เซ็นเซ่อร์กำลังใช้วิจารณญาณต่างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อปกป้องสิ่งที่เห็นว่าเป็น “พระบรมเดชานุภาพ”  ไว้จากการ “หมิ่น”  ตามความเข้าใจของตน

                แต่แน่ใจแล้วหรือว่าอะไรคือ “พระบรมเดชานุภาพ”  ?  และอะไรคือการ “หมิ่น”  ?  สังคม ไทยมีคำตอบแน่ชัดสำเร็จรูปตายตัวต่อคำถามเหล่านี้แล้วหรือ  ?

                ลองคิดดูเถิดว่าในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพใหญ่โตอื้อฉาวครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้น

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ประณามการก่อรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติว่า เป็นการ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างร้ายแรงที่สุดในปาฐกถา ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อัยการยื่นฟ้องสุลักษณ์ต่อศาลอาญาว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในปาฐกถาดังกล่าว

ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่าปาฐกถาของสุลักษณ์มิได้ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พิพากษา ยกฟ้อง ปล่อยตัวจำเลยเป็นอิสระ

อดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้รับผิดชอบรวบรวมหลักฐานในคดีนี้และออกหมายจับสุลักษณ์กลับ ถูกหาว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  ในเวลาต่อมา

..................................................................................................

ตกลงใครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กันแน่ ?  และอะไรคือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ?    “พระบรมเดชานุภาพ”  ในความเข้าใจของแต่ละฝ่ายที่กล่าวหาว่าอีกฝ่าย “หมิ่น” นั้นคืออะไร ?  เหมือนหรือต่างกันตรงไหนอย่างไร ?

เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ว่าข้อหาใหญ่โตร้ายแรงดังกล่าวนี้เอาเข้าจริงในทางปฏิบัติมีความหมาย คลุมเครือลื่นไหลเพียงใด

การให้คณะบุคคลหนึ่งมีอำนาจตั้งข้อหานี้  ตัดสินวินิจฉัยว่าผิด และใช้อาญาสิทธิ์ลงโทษ หนังเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตามที่ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยการแบน  จึงนับว่าล่อแหลมหวาดเสียวยิ่ง

โดยเฉพาะหากทรรศนะของคณะบุคคลนั้น ๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรม เดชา นุภาพคับแคบตายตัว  แตกต่างจากทรรศนะของบุคคลและกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม

เช่นเห็นว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

เห็นว่าความขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจ หรือกบฎ ไม่มีในราชสำนัก

เห็นว่าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงพิโรธโกรธกริ้วปึงปัง

ฯลฯลฯลฯ

แล้วตั้งข้อหาและตัดสินเสร็จสรรพว่าหนังเรื่องไหนเสนอภาพพระมหากษัตริย์ต่างจากนี้ถือว่า “หมิ่นฯ”

ความจริงท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะคิดเห็นส่วนตัวอย่างไร ก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่เดือดร้อน หนักหนาผมหรือใครอื่นแต่อย่างใด  เพราะนี่ก็เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย

แต่เผอิญเรื่องที่ท่านคิดเห็นนี้เป็นเรื่องสำคัญเอกอุในสังคมไทย

และพวกท่านก็ดันมีอำนาจเสียด้วย

มีอำนาจเหนือเรื่องที่ละเอียดอ่อนเปราะบาง  แต่ขณะเดียวกันก็คลุมเครือลื่นไหล

จนไม่ควรที่ใครจะมีอำนาจกล่าวหาใครง่าย ๆ ในเรื่องนี้ในสังคมนี้

ผมจะได้ดูหนังดูลครเรื่อง “แอนนา” หรือไม่ - ไม่สำคัญนักดอกครับ  ที่สำคัญคือสังคม ไทยได้ตระหนักตื่นและย้อนดูตัวในเรื่องอำนาจและวิธีคิดของผู้ใช้อำนาจหรือไม่ต่างหาก

 

Back