โดย เกษียร เตชะพีระ เนชั่นสุดสัปดาห์, ปี ๘ ฉบับ ๔๐๗, ๒๐-๒๖ มี.ค. ๒๕๔๓
ความเป็นจีนแบบลูกโลก
-
ก็คือความเป็นจีนที่ถูกดึงให้หลุดลอยออกจากบริบทท้องถิ่นซึ่งเป็นรูปธรรมเฉพาะเจาะจงยิ่งของมัน
แล้วเอามาบรรจุหีบห่อใหม่วางขายเป็นสินค้าหายากแปลกพิสดารสำหรับบริโภคได้โดยไม่จำต้องเข้าใจซาบซึ้ง
ถึงนัยสำคัญของมันต่อบรรดาผู้คนที่เกี่ยวข้องแต่ประการใด
ลักษณะความเป็นจีนแบบลูกโลกดังกล่าวนี้แสดงออกด้วยการที่ภัตตาคารจีนผุดขึ้นราวดอกเห็ดทั่ว
โลกและต่างก็พากันขายอาหารกวางตุ้งที่ผ่านการแปลงรสให้เข้ากับท้องที่ต่าง ๆ มี ซินแส ฮวงจุ้ยเผยแพร่
ภูมิปัญญาแบบนิวเอจด้วยศัพท์แสงศาสตร์ฮวงซุ้ยจีนแบบดั้งเดิม มีศาสดาจอมปลอมเที่ยวอวดอ้างตัวเป็นพระ
ศรีอารย์
หรือเป็นปรมาจารย์มวยไท้เก๊กผู้มีคำตอบพร้อมสำหรับปัญหาทั้งมวลของโลก
ข้อคิดตรุษจีน โดย รศ. ดร. แคโรไลน์ เอส. เฮา แห่ง ศูนย์เอเชียอาคเนย์ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ใน LegManila.com, 17 February 2000
เราอาจเริ่มต้นสอบค้น
ความเป็นเจ๊ก (หรือความเป็นจีนในบริบทท้องถิ่นซึ่งเป็นรูปธรรมเฉพาะเจาะจงยิ่ง
ของเมืองไทย
ไม่ใช่ความเป็นจีนในเมืองจีนหรือ
ความเป็นจีนโดยทั่วไปที่ไหนก็ได้) ในภาพยนตร์เรื่อง อั้งยี่
ลูกผู้ชายพันธุ์มังกร ที่เพิ่งลาโรงไปหลังตรุษจีนปีนี้
ด้วยคำถามง่าย ๆ ว่า
มีสถาบันความเป็นเจ๊กใดปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในหนังเรื่องนี้บ้าง ?
เท่าที่เห็นนะครับได้แก่
ศาลเจ้า,
โรงงิ้ว, ตลาดสด, โรงน้ำชา, ภัตตาคาร, บ่อนพนัน, โรงฝิ่น, โรงหญิง
หยำฉ่าหรือโรงหญิงรับจ้างทำชำเราหาเงิน (ตามสำนวนเก่าสมัย
ร.๕
-
ร.๗) , ซ่องอั้งยี่, เจ๊กลากรถและ...แอ่น
แอ๊น ...
ตะไกรขาเดียว อันเป็นอาวุธพกพาประจำตัวอั้งยี่ทั้งหลาย
โดยเฉพาะอันหลังนี้ประทับใจผมมากเพราะได้ยินได้ฟังมานานแล้วตั้งแต่เด็กครั้งอ่านนิยายชุดพล
นิกร กิมหงวนของป. อินทรปาลิตเกี่ยวกับฤทธิ์เดชตะไกรขาเดียวจิ้มพุงของพลพรรคอั้งยี่สมัยนั้น
แต่ก็นึกไม่ออกสัก ทีว่าอาวุธชนิดนี้น่าเกรงขามตรงไหน ฟังบรรยายแล้วแทนที่จะหวาดเสียว
พาลจั๊กจี้ชวนหัวเราะไปเสียอีกน่ะนา
เพิ่งจะจินตนาการเห็นเป็นรูปธรรมก็ในหนังเรื่องนี้แหละครับว่า
เอ้อเฮอ....มันน่ากลัวจริง ๆ ว่ะ
บรื๊อ !
แต่ในทางกลับกัน
ผมก็ไม่เห็นสถาบันความเป็นเจ๊กอื่น ๆ
ที่สำคัญโดดเด่นในสยามช่วง พ.ศ. ๒๔๘๐
ก่อนเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นไทยและเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา
ไม่ว่าจะเป็นสมาคมจีน (อาทิสมาคมการค้า
สมา-
คมแซ่ตระกูล สมาคมสำเนียงพูดหรือถิ่นกำเนิด สมาคมการเมือง ฯลฯ) โรงเรียนจีน
หนังสือพิมพ์จีน หรือโรงเจ
สองแก๊งอั้งยี่ยกพวกเรือนร้อยตีรันฟันแทงกันบนถนนกลางวันแสก
ๆ อย่างนั้น ทำไมตำรวจไทยถึงไม่
โผล่มาสักคน
? ทำไมหนังสือพิมพ์จีนถึงไม่รายงานข่าวพาดหัวสักฉบับ
? ทำไมผู้นำสมาคมชุมชนจีนถึงไม่
เสนอหน้าออกมาไกล่เกลี่ย ?
อาเล้งถูกหัวหน้าแก๊งตัวเองไล่ล่าบาดเจ็บหนีตายกระเซอะกระเซิงอด
ๆ อยาก ๆ
ทำไมถึงไม่ไปขอข้าว โรงเจกิน ไม่ไปอาศัยโรงเจนอน ?
อาหงเป็นห่วงอาเล้งและพี่ชายที่เสี่ยงตายบุกไปล้างแค้นหัวหน้าแก๊งอั้งยี่ถึงในซ่อง ทำไมเธอถึงไปสวด
ภาวนาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองคนรักและพี่ชายที่วัดไทย แทนที่จะไปศาลเจ้าจีน
?
แล้วตอนจบเธอรอคนรักและพี่ชายมาสมทบเพื่อเตรียมขึ้นรถไฟเดินทางโยกย้ายไปไหน
? มีที่ไหนให้
เธอไป ? หรือไปไหนก็ได้ที่พ้นจากชุมชนจีน ?
จะได้ลาออกจากความเป็นเจ๊ก ? กระนั้นหรือ ?
ที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นหากท่านที่ได้ชมภาพยนตร์ดังกล่าวลองทบทวนดูให้ดีก็คือ
หนังเรื่องนี้แทบไม่มี
รัฐ (ไทย) เลย มีแต่สองแก๊งอั้งยี่ตีกันไปตีกันมาอย่างอิสรเสรีอนากี้ราวกับชาย
แดนตะวันตกสมัยคาวบอยชักปืนดวลกันกระจุยหรือบู๊ลิ้มสมัยจอมยุทธ์ชักดาบฟันกันแหลกก็ไม่ปาน เรียกว่า
เมืองไทยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ในเมืองมีอั้งยี่
ใครใคร่ฆ่าใคร-ฆ่า เจ้าเมืองบ่ไล่จับเอาเรื่องเอาความ
ฉากเดียวที่รัฐไทยโชว์ตัวบนจอคือตำรวจไม่กี่นายใส่เครื่องแบบสะพายปืนยาวเดินแถวไปมาลิบ
ๆ อยู่แบ็คกราวด์....ซึ่งทั้งเรื่องก็ทำแค่นั้น ไม่เห็นได้จับใครหรือทำอะไรขนาดเขาฆ่ากันอยู่โครม
ๆ เลือดท่วมจอ
ทั้ง
ๆ ที่พุทธทศวรรษ ๒๔๘๐ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่รัฐไทยสมัยหลวงพิบูลสงครามดำเนินนโยบาย รัฐ-ชาตินิยม เข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวจำกัดชุมชนจีนอย่างหนักทั้งด้านวัฒนธรรม
การเมืองและเศรษฐกิจเพื่อบั่น
ทอนอำนาจอิสระของประชาสังคมเจ๊ก (นายทุน + กรรมกร
+
อั้งยี่เจ๊ก) ให้กลับมาอยู่ใต้ร่มอำนาจอุปถัมภ์ของรัฐ
ราชการไทยอีกครั้ง อันเป็นผลพวงทางการเมืองอย่างหนึ่งจากการเปลีี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. ๒๔๗๕
(ดูราย
ละเอียดใน เออิจิ มูราชิมา, การเมืองจีนสยาม: การเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย ค.ศ. ๑๙๒๔-๑๙๔๑, (พ.ศ. ๒๕๓๙), บทที่
๓ นโยบายกดดันชาวจีนให้เป็นชาวไทยและปฏิกิริยาของชาวจีน)
หนังเรื่องนี้ยังไม่มี การเมือง ทั้งที่ช่วง
พ.ศ. ๒๔๘๐
เป็นระยะการเมืองเข้มข้นรุนแรงมากในหมู่ ชุมชนจีนสยามในรูปการเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นภายหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองระเบิดขึ้นเมื่อ
๗ ก.ค. ๒๔๘๐
โดยทั้งฝ่ายจีนก๊กมินตั๋ง จีนคอมมิวนิสต์ และกลุ่มเยาวชนกรรมกรอิสระ แซขั่ง เข้าร่วมเป็นตัวตั้งตัว
ตีแล้วดึงเอาแก๊งอั้งยี่ต่าง ๆ ๑๘
สมาคมรวมทั้งคณะสามแต้ม (ซาเตี้ยม) ซึ่งเป็นอั้งยี่มีชื่อที่สุดเวลานั้นมาร่วมด้วย
ภายใต้ชื่อองค์กร สมาคมชาวจีนโพ้นทะเลต่อต้านญี่ปุ่นและกู้ชาติขจัดผู้ขายชาติแห่งสยาม (มูราชิมา, การเมือง
จีนสยาม, น. ๓๗-๕๔, ๑๑๘-๑๔๓
โดยเฉพาะ ๑๒๗-๑๓๒)
ซ้ำร้าย
ดูแต่ต้นจนจบ ผมยังพบว่า อะหา... หนัง
อั้งยี่ ไม่มีตัวละครสำคัญที่เป็นคนไทย
(ตามท้องเรื่อง) เลยแม้แต่คนเดียว มีแต่จีนนอก (หรือจีนอพยพ) กับเจ๊ก
(หรือลูกจีนเกิดในเมืองไทย) เท่านั้น
เนื้อเรื่องจึงมีแต่เจ๊กตีเจ๊ก เจ๊กแค้นเจ๊ก เจ๊กรักเจ๊ก เจ๊กคบเจ๊ก ไม่มีภาพสะท้อนปฎิสัมพันธ์ข้ามเชื้อชาติ
ภาษาวัฒนธรรมและชุมชนระหว่างเจ๊กกับไทยบนแผ่นดินสยามให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราวเลย
ก็เรื่องราวหนัง
อั้งยี่ เกิดขึ้นในเมืองไทยมิใช่หรือ
? แล้วยังงั้นคนไทยหายไปไหนหว่า
?
แน่นอนผู้แสดงนำและประกอบส่วนใหญ่เป็นดาราไทย การแสดงและเสียงพูดไทยชัดแจ๋วของพวกเขา
ช่วยอำพรางความผิดปกติข้างต้นและทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็น
ไทย
ๆ
จนเราอาจเผลอลืมไปว่าเอาเข้าจริง พวกเขาล้วนเล่นบทเป็น
เจ๊ก ทั้งสิ้น ไม่ใช่ คนไทย
ชื่อหนังว่า
อั้งยี่ จึงเป็นสายใยเส้นเดียวที่เชื่อมเรื่องราวของหนังทั้งหมดเข้ากับไชน่าทาวน์เมืองไทย มิฉะนั้นแล้ว หนังเรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นที่ไชน่าทาวน์แห่งไหนก็ได้ในโลก ไม่จำต้องเป็นที่หมั่งก๊กหรือเสี่ยมล้อ มัน
อาจเป็นที่เซี่ยงไฮ้ กวางโจว
ฮ่องกง ไต้หวัน มาเก๊า สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์
จาการ์ตา มนิลา ซาน
ฟรานซิสโก นิวยอร์ค หรือ ไลม์เฮาส์ในลอนดอน ก็ได้
เพียงแต่เปลี่ยนชื่อหนังไปเป็น ไทรแอดส์ , หงเหมิน, อั้งปัง หรือ
เดอะ
เยียร์ ออฟ เดอะ ดราก้อน เท่านั้น
เพราะบัดนี้
สมาคมลับ ก็เหมือนกับมวยจีน วิทยายุทธ กำลังภายใน
อาหารกวางตุ้ง ฮวงจุ้ย ฟ่าหลุนกง บรู๊ซ ลี เฉินหลง
และโจวเหวินฟะ ฯลฯ คือเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของสินค้าจับฉ่ายทางวัฒนธรรมที่ถูกยัดใส่หีบห่อตี
ตราวางตลาดส่งจำหน่ายไปทั่วโลกภายใต้ยี่ห้อ ความเป็นจีน (แบบลูกโลก)
ซึ่งไม่จำต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับ ความเป็นเจ๊ก เลยแม้แต่น้อยทว่าก็ยังขายดิบขายดีแม้ในเมืองไทยเอง
โดยตัวมันเอง
หนัง อั้งยี่ จึงไปเสริมมิจฉาทิฐิอันหนึ่งเกี่ยวกับชุมชนจีนสยามในประวัติศาสตร์ซึ่งวาด
ภาพว่าเจ๊กกับไทยนั้นต่างคนต่างอยู่ ผสมแต่ไม่กลมกลืน อยู่เคียงใกล้แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
อันเป็นแนวคิดแบบ พหุสังคม ที่มองสังคมแตกขาดออกจากกันเป็นเสี่ยงเป็นซีกตามชุมชนเชื้อชาติที่แต่ละคนสังกัด และต่างตั้งแง่
รังเกียจระแวงกันเป็น พวกยิวแห่งบูรพทิศ บ้าง พวกอั้งยี่ บ้าง
เป็นต้น
เทียบกันแล้ว
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ๊กกับไทยกลับโดดเด่นเข้มข้นกว่ามากในภาพ
อั้งยี่ ที่
ป.อินทร- ปาลิตวาดไว้ในตอนหนึ่งของนิยายชุดพล
นิกร กิมหงวน เมื่อราว ๕๐ ปีก่อน
พล็อตโดยย่อเท่าที่จำได้ (หากรายละเอียดผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปบ้างต้องขออภัย) คืออาเสี่ยกิมหงวน
ถูกอั้งยี่แก๊งหนึ่งข่มขู่รีดไถหรือลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่อะไรทำนองนี้
แล้วเพื่อนพ้องคนไทยของเสี่ยคือพลกับนิกร
บุกซ่องอั้งยี่เข้าไปช่วย พลได้ลูกสาวอั้งยี่เป็นคู่รัก
และทั้งหมดร่วมกับตำรวจปราบแก๊งอั้งยี่จนราบคาบ
ความแตกต่างน่าสะดุดใจอย่างหนึ่งระหว่างนิยาย
อั้งยี่ สมัยโน้น
กับหนัง
อั้งยี่ สมัยนี้
สะท้อน บรรยากาศการเมืองและ ฐานะทางเศรษฐกิจสังคมของเจ๊กในเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ในนิยายชุดพล นิกร
กิมหงวน ป.อินทรปาลิตแต่งเรื่องให้ผู้ร้ายเป็นเจ๊กอั้งยี่ พระเอกเป็นไทยที่ไม่ใช่อั้งยี่ แต่ในหนัง อั้งยี่
ลูกผู้ชาย พันธุ์มังกร แม้ผู้ร้ายจะยังคงเป็นเจ๊กอั้งยี่ แต่พระเอกก็เป็นเจ๊กเหมือนกัน
แถมเป็นอั้งยี่ด้วย
เจ๊กอั้งยี่เป็นพระเอกได้นับเป็นความก้าวหน้าของสถานะและภาพลักษณ์เจ๊กในเมืองไทยอย่างหนึ่ง
แต่ น่าเสียดายที่หนัง อั้งยี่ ก็ยังคงเดินย่ำซ้ำรอยนิยายอั้งยี่เมื่อ
๕๐ ปีก่อนตรงอคติที่ว่าอั้งยี่เป็นเรื่องของเจ๊กจีนเท่านั้น
แน่นอน
อคติดังกล่าวสอดคล้องกับภาพลักษณ์อั้งยี่โลกานุวัตร
และขายได้ในฐานะส่วนหนึ่งของ ความ
เป็นจีนแบบลูกโลก ทว่าข้อมูลประวัติศาสตร์ความเป็นเจ๊กในสยามกลับชี้ชัดว่าอั้งยี่ไม่ได้มีแต่เจ๊ก ชนเชื้อชาติ
อื่นก็จัดตั้งอั้งยี่เป็นเหมือนกัน เอาเข้าจริงอั้งยี่จึงเป็นวัฒนธรรมพหุชาติพันธุ์หรือข้ามชาติพันธุ์ที่มิได้จำกัดวงอยู่
เฉพาะชุมชนเจ๊กจีนเท่านั้น ดังปรากฎหลักฐานในคำกราบบังคมทูลของกรมหมื่นนเรศวรฤทธิ์ต่อสมเด็จพระบรม
ราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๖
ว่า
ได้มีก๊กแบบอั้งยี่เกิดขึ้นหลายก๊กในขณะนั้นโดยที่ผู้จัดตั้งเป็นคนไทย
แขก และกระทั่งฝรั่งที่เลียนแบบ จีน ก๊กอั้งยี่ที่ไม่ใช่จีนเหล่านี้ได้แก่ ก๊กสามัคคีสุจริตเจริญสุข
มีหลวงภักดี ขุนนางนอกราชการ นายท้วมคนไทย และนายชมคนในบังคับอังกฤษ
เป็นหัวหน้า, พวกกตัญญู
มีนายฤทธิ์คนไทยเป็นหัวหน้า,
ก๊กแขกในบังคับ ฝรั่งเศส มีนายฟาเป็นหัวหน้า, ก๊กถนนเจริญกรุง
มีแขกบังเซน คนในบังคับอังกฤษเป็นหัวหน้า เป็นต้น (อ้างจาก
พลกูล อังกินันท์, บทบาทชาวจีนในประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ๒๕๑๕)
ด้วยพลังโลกานุวัตรทางวัฒนธรรม ความเป็นจริงมากมายหลายมิติของเจ๊ก-ไทยจึงถูกกลบเกลื่อน บดบังเลือนหายไปใต้เงามายา อั้งยี่โลกานุวัตร ด้วยประการฉะนี้