ฝ่าตีนเหยียบโลก

โดย เกษียร  เตชะพีระ

เนชั่นสุดสัปดาห์, ๘: ๔๑๒ (๒๔-๓๐ เม.ย. ๔๓)

 

 

          หากยึดมาตรฐานการบริโภคส่วนตัวของผมทุกวันนี้เป็นเกณฑ์  แล้วลองวัด “รอยเท้านิเวศ” ของตัวเอง ดูตามสูตรคำนวณของ Jason Venetoulis (http://www.esb.utexas.edu/drnrm/EcoFtPrnt/Calculate.htm) ปรากฏว่า เพื่อผลิตสินค้าและบริการมาป้อนตัวเองแบบที่บริโภคอยู่ในแต่ละปี   ต้องกินเนื้อที่บนพื้นผิวโลกถึง

            ๑ ๑ ๕ ไ ร่   (หนึ่งร้อยสิบห้าไร่ถ้วน ๆ จ้า ! )

            นั่นคิดเป็นกว่า ๘ เท่าของส่วนแบ่งเนื้อที่บนพื้นผิวโลกที่มนุษยชาติปัจจุบัน ๖,๐๐๐ ล้านคนแต่ละคน พึงมีพึงได้โดยยุติธรรมเท่าเทียมกันในสัดส่วนคนละ ๑๓ ไร่ ๓ งาน

            ซึ่งทำให้ผมเสมือนมีฝ่าตีนยักษ์เหยียบย่ำจับจองอยู่บนผืนโลกขนาดเท่ากับเจ้าที่ดินรายย่อยไป

            ที่ “รอยเท้านิเวศ “ ของผมใหญ่โตถึงเพียงนี้ทั้งที่เอาเข้าจริงผมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแม้เท่าฝ่ามือก็ด้วย อภินิหาร อำนาจที่จะซื้อ กับ เสรีภาพที่จะบริโภค ของผมโดยแท้

            จึงทำให้ผมเบียดเบียนโลกและเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยการบริโภคทรัพยากรเกินกว่าที่ควรถึง ๘ เท่า

            ง่า ..... ว่าแต่ว่า (ฝ่าตีน) ท่านล่ะครับ  ใหญ่แค่ไหน  ?

            ....................................................................................................................

            แนวคิด “ รอยเท้านิเวศ “ (ecological footprints) นี้ริเริ่มนำเสนอเมื่อ ๔ ปีก่อนโดยนักวางแผนชุมชน ๒ คนแห่งมหา วิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ชื่อ Mathis Wackernagel และ  William Rees ในหนังสือ เรื่อง Our Ecological Footprint : Reducing Human Impact on the Earth   (Philadelphia and Gabriola Island, BC, Canada: New Society Publishers, 1996)

            ทั้งคู่เริ่มจากความจริงมูลฐานว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนต้องอาศัยทรัพยากรจากระบบนิเวศเพื่อดำรงอยู่ รอด  ซึ่งอาจสื่อสะท้อนออกมาได้ในรูปลักษณ์ขนาดเนื้อที่บนพื้นผิวโลกที่ต้องใช้เพื่อผลิตสรรหาทรัพยากรดัง กล่าวมาสนองให้ในแต่ละปี   แล้วเรียกมันว่า “ รอยเท้านิเวศ “ ของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ

            ในกรณีคนเราก็เช่นกัน  เราอาจบันทึกข้อมูลการบริโภคของแต่ละคนแล้วแปรมันเป็นขนาดเนื้อที่บน พื้นผิวโลกที่ต้องใช้เพื่อผลิตสรรหาทรัพยากรจากระบบนิเวศมาสนองให้บริโภคในแต่ละปี  โดยประยุกต์แนว คิดเศรษฐศาสตร์พื้นฐานเรื่อง อุปสงค์ / อุปทาน (demand/supply) มามองว่า

            อุปทานการบริโภคของมนุษย์เราได้มาจากชีวมณฑล (biosphere) หรือนัยหนึ่งอาณาบริเวณจากเปลือก โลกชั้นนอกถึงบรรยากาศห่อหุ้มโลกที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่  ชีวมณฑลนี้พระเจ้าประทานมาให้ครั้งเดียว  หมดแล้ว หมดเลย  ไม่อาจหาใหม่  และทุกวันนี้ก็มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงเพราะการตัดไม้ทำลายป่า  การเกิดทะเลทราย  ดินสึกกร่อน  ดินเค็ม  ฯลฯ  ทำให้เนื้อที่ผิวดินที่ใช้ผลิตได้ของโลกลดลง

            ในแง่อุปสงค์การบริโภค  ความอยากของมนุษย์เรานั้นแปรตามดินฟ้าอากาศ  ฤดูกาล  รสนิยมส่วนตัว  บริบททางวัฒนธรรม และทรัพย์สินหรือนัยหนึ่งกำลังซื้อ

            “รอยเท้านิเวศ “ ก็คือการวิเคราะห์หาสัดส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์ / อุปทานข้างต้นของมนุษย์

            ในระดับสังคม การวิเคราะห์ “รอยเท้านิเวศ “ ช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมการบริโภค ของเรากับการพึ่งพาระบบนิเวศ    ในระดับโลก  มันช่วยเผยผลกระทบของแต่ละประเทศต่อทรัพยากรโลก โดย เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพและปริมาณของทรัพยากรทางนิเวศที่ชุมชนหรือชาติหนึ่ง ๆ บริโภค   ไม่ว่าทรัพยากรนั้นจะ หาได้เองในท้องถิ่นหรือนำเข้ามาโดยใช้การค้าและเทคโนโลยีจากแหล่งภายนอกที่ไหนในโลกก็ตาม

            คำถามนำเวลาประเมินวัด “รอยเท้านิเวศ “ ของชุมชนใดชาติไหนก็แล้วแต่ ก็คือ

            ต้องใช้ที่ดินขนาดเท่าไหร่ต่อหัวจึงจะค้ำจุนการอุปโภคบริโภคอาหาร  บ้านเรือน  การขนส่ง  สินค้าและ บริการของประชากรชาติหนึ่ง ๆ ได้  ?  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ

          ต้องสิ้นเปลืองพลังงานฟอสซิล   (พลังงานอันเกิดจากเชื้อเพลิงธรรมชาติอาทิ ถ่านหิน แก๊สธรรมชาติ น้ำมัน ฯลฯ ซึ่งก่อตัวจากซากสัตว์ซากพืชดึกดำบรรพ์)  ต้องทำให้ดินเสื่อม  ต้องใช้พื้นที่ทุ่งสวนนาไร่ป่าไม้ไปเท่า ไร จึงจะสามารถผลิตทั้งหมดที่ผู้บริโภคซื้อ ?

            จากนั้นก็จัดการแบ่งเนื้อที่พื้นผิวดินของระบบนิเวศที่ใช้ทำการผลิตได้ (รวมทั้งพื้นที่ป่าดงดิบ)  ด้วยจำ นวนประชากรโลก   เพื่อหาขนาดมัธยฐานของ “รอยเท้านิเวศ “ ที่ เสมอภาคที่สุด  โดยไม่เลือกชาติผิวเพศวรรณะ ตระกูลหน้าอินทร์หน้าพรหม

            สำหรับวิธีวัดการบริโภคนั้น จะดูปัจจัยต่าง ๆ เช่นที่ดิน  พลังงาน  น้ำที่ใช้ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ระบายออกมา  เท่าที่มีการสำรวจวิจัยไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ นั้น  พบผลสรุปตามตารางข้างล่างนี้ว่า

 

การบริโภคต่อคนในปี ๒๕๓๔                    อเมริกา              แคนาดา                        อินเดีย               โลก

แก๊ส CO2 ที่ระบายออก (เมตริกตัน/ปี)       ๑๙.๕                ๑๕.๒                            ๐.๘๑                ๔.๒

อำนาจซื้อ (ดอลล่าร์สหรัฐฯ)                     ๒๒,๑๓๐           ๑๙,๓๒๐                       ๑,๑๕๐             ๓,๘๐๐

รถยนต์ (ต่อ ๑๐๐ คน)                            ๕๗                   ๔๖                               ๐.๒                  ๑๐

ใช้กระดาษ (กิโลกรัม/ปี)                           ๓๑๗                 ๒๔๗                                                   ๔๔

ใช้พลังงานฟอสซิล (จิ๊กกะจูลส์/ปี)            ๒๘๗                 ๒๕๐                                                   ๕๖

ดึงน้ำสะอาดมาใช้ (ลูกบาศก์เมตร/ปี)        ๑,๘๖๘             ๑,๖๘๘                         ๖๑๒                 ๖๔๔

รอยเท้านิเวศ (ไร่/คน โดยประมาณ)           ๓๑ ไร่ ๓ งาน     ๒๖ ไร่ ๓ งาน                 ๒ ไร่ ๒ งาน        ๑๑ ไร่ ๑ งาน

(ดัดแปลงจาก David Holtzman, “Ecological Footprints,” Dollars and Sense, July/August 1999 ที่ http://www.igc.apc.org/dollars/1999/224holtzman.html )

 

            จากตารางข้างต้น  พอสรุปได้ว่า :-

            ชาติที่พัฒนาแล้วมีรอยเท้านิเวศใหญ่กว่าชาติที่ยากจนแม้จะมีประชากรน้อยกว่าก็ตาม 

            ทั้งนี้เพราะชาติที่พัฒนาแล้วใช้พื้นที่กับทรัพยากรของโลกอย่างมโหฬารเพื่อค้ำจุนความมั่งคั่งทางวัตถุ ของคนชาติตน  จนเหลือเศษเดนให้ชาติยากจนที่อยากมีมาตรฐานการครองชีพแบบ “พัฒนา “ บ้างน้อยเหลือเกิน

            รอยเท้านิเวศอันแตกต่างเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมเช่นนี้ดำรงอยู่ได้โดยอาศัยการขาดดุลนิเวศ (ecological deficit) มหาศาลระหว่างชาติที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่เหลือของโลก

            อาทินครแวนคูเว่อร์ รัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดานั้นขาดดุลนิเวศกับโลกอย่างหนักเพราะ ชาวเมืองนี้ดึงทรัพยากรจากระบบนิเวศมาใช้มากกว่าชาวโลกโดยเฉลี่ยถึง ๑๙ เท่า  หมายความว่าเมืองแวนคูเว่อร์ ต้องใช้เนื้อที่พื้นผิวโลกราว ๑๙ เท่าของ ๔,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรที่ตนมีอยู่จริงเพื่อค้ำจุนการผลิตอาหาร  ผลิต ภัณฑ์ป่าไม้และพลังงานที่ตนบริโภคในหนึ่งปี   ในทำนองเดียวกัน  ชาวเนเธอร์แลนด์ก็ต้องใช้ที่ดิน ๑๕ เท่าของ ประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการด้านอาหาร ผลิตภัณฑ์ป่าไม้และพลังงานของตน

            พูดกันแบบขวานผ่าซากก็คือทุกวันนี้ใครก็ตามที่มีมาตรฐานการครองชีพดีพอควรแบบคนชั้นกลางล้วนกำลังหยิบเอาจากทรัพยากรโลกเกินสัดส่วนที่เป็นธรรมของตนทั้งนั้นไม่มากก็น้อย - รวมทั้งกระผมด้วย

            ต่อให้เราจ่ายราคา “ตลาด “ ที่ยุติธรรมเพื่อแลก “อภิสิทธิ์ “ นั้นมาก็ตาม-มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงข้อนี้

            ข้อน่าวิตกก็คือเมื่อชาติยากจนเริ่มมั่งมีขึ้น  ก็จะบริโภคมากขึ้นและรอยเท้านิเวศใหญ่ขึ้น  เมื่อมีเงินใช้  คล่องมือขึ้นก็ย่อมจะเกิดอุปสงค์มากขึ้นต่อบ้าน  ถนนหนทาง  ศูนย์การค้า  ฯลฯ  ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลผลักดันพื้นที่ ระบบนิเวศให้หลุดจากวงจรการผลิตโดยตรงมากขึ้นด้วย  อาทิ แทนที่จะใช้ที่ดินปลูกข้าวเลี้ยงคนหรือธัญพืชเลี้ยง สัตว์  ก็กลับเอาไปทำสนามกอล์ฟร่วม ๒๐๐ แห่งทั่วประเทศ เป็นต้น

            เกิดสภาพบรรดาไอ้ตีนโตเบ่งเบียดไอ้ตีนเล็ก แถมรุมกันเหยียบโลกจนแหลกมุ่นไปหมด

            จนกระทั่งว่าถ้าจะให้พลโลกทุกคนมีมาตรฐานรอยเท้านิเวศเท่าชาวอเมริกันหรือแคนาดาโดยเฉลี่ยทั่วไป แล้ว  ก็จะต้องไปหาโลกใหม่เพิ่มอีกใบสองใบถึงจะพอ

            แล้วจะไปหาที่ไหน  ?  ดวงจันทร์  ?  ดาวอังคาร  ?

            อย่างไรก็ตาม หากลองหยิบแนวคิด “รอยเท้านิเวศ “ มามองประเด็นใกล้ตัวในบ้านเรา  ก็อาจลองตั้งคำ ถามได้บ้างว่า

            รอยเท้านิเวศของคนกรุงเทพฯ  และหัวเมือง  มีขนาดเท่าไหร่ ?  เทียบกับรอยเท้านิเวศของคนชนบท แล้ว  แตกต่างเหลื่อมล้ำกันหรือไม่เพียงใด ?   กรุงเทพฯ และเมืองทั่วประเทศขาดดุลนิเวศกับชนบทสักเท่าไร  ?

            สี่สิบปีของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ,  สิบปีของการวิ่งไล่กวดทางเศรษฐกิจในลู่แข่งโลกาภิวัตน์ ,  สามปีของวิกฤตเศรษฐกิจ การลดค่าเงินบาท (หรือนัยหนึ่งการเพิ่มค่าดอลล่าร์ฯโดยเปรียบเทียบ)  และการเลหลัง ประเทศไทยที่ผ่านมา

            ได้ทำให้รอยเท้านิเวศและดุลทางนิเวศเปลี่ยนไปอย่างไรหรือไม่  ดีขึ้นหรือเลวลง

            ระหว่างเมืองกับชนบทของไทย  ?

            และระหว่างเมืองไทยกับชาติที่พัฒนาแล้ว ?

            โปรดลองไตร่ตรองดู

           

Back