ความขัดแย้งระหว่างชาวเซิร์บกับชาวอัลแบเนียในเมืองโคโซโว

 

โนเอิล มัลคอม[1]

ในขณะที่ซามูเอล ฮันติงคิดว่าปัญหาการปะทะทางอารยธรรมจะเป็นปัญหาสำคัญที่ปรากฏขึ้นหลังการล่มสลายของสงครามเย็น ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ที่แตกกระจายกลายสภาพเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยจำนวนมากถึง 15 รัฐ คือรัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กิซ  มอลโดวา ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ยูเครน อุซเบกิสถาน เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย เตอร์ติชสถาน คาซักสถาน จอร์เจีย เป็นต้น.  คำพยากรณ์นี้ได้ปรากฏขึ้นอย่างแพร่หลายในกระบวนการชาตินิยมใหม่ที่มีรากฐานมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม-อารยธรรม อาทิ ปัญหาชนกลุ่มน้อยในประเทศอินโดนีเซีย, รัสเซีย, บอสเนีย, และยูโกสลาเวีย เป็นต้น.  อย่างไรก็ตาม  มีบางคนสงสัยว่า วิกฤตการณ์ในโคโซโวเมื่อปี ค.. 1999 ที่ผ่านมานั้นเกิดจากปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมจริงหรือ?

คนมักชอบพูดกันว่า  วิกฤตการณ์ในยูโกสลาเวียมีจุดเริ่มต้นในโคโซโวและจะจบลงในโคโซโว  นี่เป็นเรื่องหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันในช่วงทศวรรษ 1990  เห็นพ้องต้องกัน  เพียงแต่ว่าไม่มีใครล่วงรู้แน่ชัดว่าเรื่องราวความขัดแย้งในโคโซโวจะจบลงอย่างไร.  จุดหมายปลายทางสุดท้ายที่เป็นไปได้ ซึ่งรวมถึงการปกครองตัวเอง (Autonomy) หรือการแยกดินแดนเป็นรัฐเอกราชและมีอิสรภาพ,  โดยที่วิถีทางที่จะบรรลุถึงเป้าหมายเหล่านั้นได้ก็มีตั้งแต่การเจรจาโดยสันติหรือการใช้การดื้อแพ่งของพลเรือน (civil disobedience) ในเวทีนานาชาติ, การต่อสู้ของพลเมืองด้วยความรุนแรง, หรือแม้กระทั่งการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบ.  อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายเห็นลงรอยกันว่า ปัญหาเรื่องโคโซโวเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดในบรรดาความขัดแย้งทางการเมืองทั้งหมดในแหลมบอลข่าน.  กล่าวได้ว่าพื้นที่แถบนี้เป็นพื้นที่ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรงที่สุดในยุโรป  และแน่นอนว่าจะเป็นที่ซึ่งถ้าหากมีสงครามปะทุขึ้นมาแล้ว การฆ่ากันและการทำลายล้างจะรุนแรงยิ่งกว่าที่อื่นใดในภูมิภาคนี้.

            โดยทั่วไปในประเทศตะวันตก มีทัศนะที่แพร่หลายอันหนึ่งเกี่ยวกับสงครามในโครเอเชียและบอสเนีย ว่าเป็นปัญหาของความขัดแย้งในทางชาติพันธุ์ (ethnic conflict) ซึ่งถูกสร้างสมขึ้นมาโดยความเกลียดชังระหว่างชาติพันธุ์ในหมู่ผู้คนในพื้นที่ ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งที่คลุมเครือแต่ก็มีผลกระทบที่รุนแรง.  แต่กล่าวได้ว่า วิธีการมองปัญหาทั้งหมดที่ผ่านมาโดยแก่นแท้แล้วผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง  (essentially  false) เนื่องจากละเลยบทบาทของนักการเมือง อันเป็นเชื้อมูลรากเบื้องต้นของปัญหาความขัดแย้ง  เพราะเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือ นักชาตินิยม-คอมมิวนิสต์ สัญชาติเซอร์เบีย ผู้มีนามว่า สโลโบดัน  มิโลเซวิซ  เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างความขัดแย้งขึ้นมาในระดับทางการเมือง.  นอกจากนี้ แท้จริงแล้ววิธีคิดที่ว่าปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดเป็นปัญหาความขัดแย้งเรื่องชาติพันธุ์นั้นได้เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า สงครามทั้งหมดไม่ได้ดำเนินไปโดยพลเรือนธรรมดาทั่วไป แต่ดำเนินไปโดยกองกำลังติดอาวุธที่มีการบังคับบัญชาจากเบื้องบน.  ถ้าว่ากันตามบุคลิกลักษณะทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคแล้ว  การพูดเกี่ยวกับเรื่องความเกลียดชังในทางชาติพันธุ์แต่อดีตโบราณกาล (Ancient  ethnic hatred) เป็นเรื่องที่ “หลงประเด็น” อย่างมากๆ เนื่องจากมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสงครามทางชาติพันธุ์ในประวัติศาสตร์ยุคโบราณของบอสเนียหรือโครเอเชีย.  ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องอยู่บ้างเกี่ยวกับชาติพันธุ์เป็นเรื่องซึ่งใหม่มากสำหรับคนในภูมิภาคนี้  และถูกผลิตขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ทางการเมือง (geopolitical condition) โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2.  บางแง่มุมของความไร้เดียงสาในวิธีการมองปัญหาเหล่านี้สัมพันธ์อยู่กับประเด็นทางศาสนา  ในขณะที่บางแง่มุมอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความทรงจำเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2;  แต่กว่าที่รากฐานของอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องชาติพันธุ์และศาสนาจะดำเนินไปสู่ความขัดแย้งในทางการทหาร, ค่ายกักกันนักโทษ, และการสังหารผู้คนพลเรือนจำนวนมากนั้นมันมีหนทางยาวไกล.  การที่มีผู้นำทางการเมืองจะสามารถผลักไสให้ประชาชนต้องเดินไปบนหนทางนั้นก็ไม่ได้มีรากจากความแตกต่างและความเกลียดชังในหมู่ประชาชนเป็นตัวหลักที่ทำให้ผู้นำทางการเมืองของตนดำเนินนโยบายที่มุ่งประหัตประหารซึ่งกันและกัน.

            ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชาติเซิร์บกับอัลบาเนียนในโคโซโวตอนแรกสุดนั้นดูเหมือนกับว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์อย่างแท้จริง,  เพราะการแบ่งในระดับที่พื้นฐานที่สุดนั้นเป็นเรื่องชาติพันธุ์โดยตรง ซึ่งในเรื่องนี้แตกต่างกับปัญหาในบอสเนีย  กล่าวคือ ชาวบอสเนียเป็นชนชาติสลาฟเหมือนกัน และพูดภาษาเดียวกัน  แต่นับถือคนละศาสนาคือ คริสต์กับอิสลาม,  ในขณะที่ชาวเซิร์บกับอัลบาเนียนมีความแตกต่างกันมากในเรื่องภาษา แล้วยังมีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องความแตกต่างในทางวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องศาสนา.  การแบ่งแยกระหว่างชาวเซิร์บกับอัลบาเนียนพอจะเทียบเคียงได้กับการแบ่งแยกระหว่างชาวคริสต์นิกายออโธดอกซ์ (Eastern Orthodox Christian) กับชาวมุสลิม,  แต่ข้อยกเว้นในเรื่องนี้นั้นก็มีอยู่บ้างเหมือนกันในส่วนของชนกลุ่มน้อยกลุ่มเล็กๆ ชาวอัลบาเนียที่นับถือศาสนาคริตส์นิกายโรมันแคทธอริกกับชาวสลาฟที่นับถือศาสนาอิสลาม  ซึ่งไม่มากก็น้อยที่จะสัมพันธ์อยู่กับชาวบอสเนียที่นับถือศาสนาอิสลาม.  ด้วยความแตกต่างในเรื่องภาษาและศาสนานี้เองที่แบ่งผู้คน 2 กลุ่ม คือชาวเซิร์บกับชาวอัลบาเนียน ออกจากกัน  ทำให้เงื่อนไขทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าจะดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นพื้นฐานสำคัญของความขัดแย้งระหว่างผู้คนสองเชื้อชาติ. 

แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มตรวจสอบทั้งในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้และประวัติศาตร์ของโคโซโว,  ความคิดที่ว่าความเกลียดชังในศาสนาและชาติพันธุ์เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างลึกซึ้งในจิตวิญญาณของผู้คนก็เริ่มที่จะดูเหมือนว่าน่าเชื่อถือน้อยลงทุกที.  ชาวอัลบาเนียนในโคโซโวในปัจจุบันเมื่อมองจากหลายๆ แง่มุมแล้วคือผู้คนซึ่งถูกปลุกเร้าในทางการเมือง โดยที่ศาสนาแทบจะไม่มีบทบาทแม้แต่น้อยในกระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองดังกล่าว,  เนื่องจากไม่มีกระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของศาสนาอิสลามในหมู่ชาวอัลบาเนียน.  ความตึงเครียดบางอย่างที่ปรากฏขึ้นระหว่างชาวอัลบาเนียนที่นับถือศาสนาคริตส์นิกายโรมันแคทธอริกกับชาวอัลบาเนียนที่นับถือศาสนาอิสลาม แม้ว่าโดยส่วนใหญ่จะถูกซ่อนเร้นจากการรับรู้ของสาธารณชน  แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นความขัดแย้งในกลุ่มชาวอัลบาเนียนด้วยกันเอง  แต่ก็ไม่เป็นเรื่องที่รุนแรงมากพอที่จะกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีหรือการร่วมมือทางการเมืองในหมู่ชาวอัลบาเนียน.  ปัญหาของการที่ศาสนากลายเป็นตัวแปรสำคัญในสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันนั้นกลับอยู่ที่ฝ่ายชาวคริสต์นิกายออโธดอกซ์ ซึ่งมักจะใช้ถ้อยคำและวาทะศิลป์ทางศาสนามาสร้างความชอบธรรมในการปกป้องผลประโยชน์ “อันศักดิ์สิทธิ์” ของชาวเซิร์บ  ซึ่งถือได้ว่าตัวอย่างที่ดีของการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการปลุกเร้าและระดมมวลชนเพื่อเป้าหมายทางอุดมการณ์บางอย่าง, เพราะถ้ามองกลับไปในอดีตของโคโซโวแล้วจะสามารถพบตัวอย่างจำนวนมากของการใช้ชีวิตอยู่ผสมร่วมกันมานานนมในชุมชนต่างศาสนาของชาวคริสต์นิกายออโธดอกซ์, นิกายโรมันคาทอริก, และชาวมุสลิม  ตัวอย่างเช่น จารีตธรรมเนียมประเพณีของชาวมุสลิมอัลบาเนียนในการเป็น “ผู้พิทักษ์รักษา” ศาสนสถานที่สำคัญของศาสนาคริตส์นิกายออโธดอกซ์.   อย่างไรก็ตาม ได้มีตัวอย่างจำนวนมากของการกดขี่ข่มเหงชาวคริสต์โดยเจ้าผู้ครองชาวอัลบาเนียนที่เป็นมุสลิมและบรรดาสาวก  และความยึดมั่นถือมั่นในทางศาสนาจึงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้ง,  แต่กล่าวโดยทั่วไปแล้วปัญหาของความขัดแย้งเป็นเรื่องของความขัดแย้งในทางสังคมการเมือง รวมทั้งการใช้และบิดเบือนอำนาจของผู้มีอำนาจในทางการเมืองระดับท้องถิ่นเพื่อผลประโยชน์ด้านเงินทองของตน.

ในฐานะที่กล่าวกันว่าเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนานของความขัดแย้งในทางชาติพันธุ์  สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่จะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด,  เนื่องจากสงครามและการต่อสู้จำนวนมากในโคโซโวในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งในทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวอัลบาเนียนกับชาวเซิร์บมาก่อนจนกระทั่งในช่วงราวร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง.  ย่อมแน่นอนว่า ชนชาติทั้ง 2 กลุ่มเคยต่อสู้ประหัตประหารซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นพันธมิตรของแต่ละฝ่ายในศึกโคโซโวเมื่อปี ค.. 1389  ซึ่งเป็นสงครามระหว่างเจ้าชายราซาร์ (Prince Lazar) กับกลุ่มของสุลต่านแห่งอาณาจักรออตโตมัน (มุสลิม),  แต่ประมาณอีก 300 ปีหลังจากนั้นเมื่อกองทัพของอาณาจักรออสเตรียบุกโคโซโวนั้น ทั้งชาวเซิร์บและชาวอัลบาเนียน (รวมทั้งพวกอัลบาเนียนที่เป็นมุสลิมด้วย) ก็ได้พากันร่วมมือต่อสู้เพื่อปลดแอกจากการปกครองของอาณาจักรออตโตมัน,  และความร่วมมือกันต่อสู้ศัตรูครั้งนี้ได้สร้างปัญหาอันยุ่งยากแก่นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ในการที่จะแบ่งแยกระหว่างชาวเซิร์บกับชาวอัลบาเนียนเมื่อต้องมานั่งวิเคราะห์เอกสารร่วมสมัยเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้.  นอกจากนี้ การกบฎในเวลาต่อมาเพื่อที่จะสนับสนุนการบุกเข้ามาของชาวออสเตรียนในปี ค.. 1737 ก็เป็นผลงานความร่วมมือระหว่างกลุ่มชาวอัลบาเนียนและชาวสลาฟที่มาจากแถบเทือกเขาตอนเหนือของอัลบาเนียและมอนเตเนโกรในปัจจุบัน, เนื่องจากชาวสลาฟและอัลบาเนียแถบเทือกเขาเหล่านั้นได้มีธรรมเนียมปฏิบัติอันยาวนานในเรื่องความร่วมมือและแต่งงานระหว่างกัน  และแม้กระทั่งมีตำนานเกี่ยวกับบรรพบุรุษร่วมกัน.  ในเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาในโคโซโว การแบ่งแยกในทางชาติพันธุ์ระหว่างเซิร์บกับอัลบาเนียนไม่เคยมีเส้นแบ่งที่ชัดเจน  และมีการผสมผสานกันทั้งในเรื่องชาติพันธุ์และทางภาษา  รวมทั้งการมีวิถีชีวิตร่วมกัน, จนกระทั่งเมื่อนักล่าอาณานิคมชาวเซอร์เบียเข้ามาในโคโซโวเมื่อทศวรรษ 1920 ก็ยังรู้สึกว่าชาวเซิร์บที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในโคโซโวมานานนั้นแทบจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขาชาวเซิร์บในเซอร์เบียในเรื่องวิถีการปฏิบัติต่างๆ  พอกันกับความแตกต่างระหว่างพวกต่างด้าวชาวอัลบาเนียนแตกต่างกับชาวเซิร์บ.

            อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าโคโซโวจะเคยเป็น “wonderland” ดินแดนในฝันแห่งขันติธรรมระหว่างกลุ่มคนสองเชื้อชาติ,  เนื่องจากมีเงื่อนไขหลายประการของประวัติศาสตร์โคโซโวที่ทำให้แดนดินแห่งนี้ห่างไกลจากยุคพระศรีอาริย์ (utopian). ปัญหาความผิดพลาดและคนที่จะถูกประณามมากที่สุดคือพวกผู้ปกครองท้องถิ่นชาวอัลบาเนียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งมักจะเห็นว่าทรัพย์สินของชาวนาที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นสิ่งที่พวกเขาจะหยิบฉวยไปเมื่อไรก็ได้,  แต่การขูดรีดแบบนี้ไม่ได้มีรากฐานมาจากความแตกต่างทางศาสนาหรือชาติพันธุ์  เพราะแม้กระทั่งชาวนาอัลบาเนียนที่เป็นมุสลิมก็ประสบชะตากรรมที่น่าเศร้าสลดที่ไม่ได้แตกต่างกัน.  สิ่งที่ผลักดันให้การแบ่งแยกระหว่างชาวเซิร์บที่นับถือคริสต์นิกายออโธดอกซ์กับชาวอัลบาเนียนมุสลิมไปสู่ความขัดแย้งกันทั่วไปและเป็นระบบขึ้นก็คือการทำให้เรื่องศาสนาและชาติพันธุ์กลายเป็นประเด็นทางการเมืองขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา อันเป็นปัญหาที่เกิดในช่วงแห่งการเติบโตและขยายอำนาจของรัฐชาวสลาฟที่นับถือศาสนาคริสต์ในแหลมบอลข่าน. 

กล่าวได้ว่าเป็นอุดมการณ์ของชาวเซอร์เบียในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่างหากที่สร้างความเชื่อเกี่ยวกับสงครามโคโซโวในยุคกลางในฐานะที่เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณที่ช่วยกำหนดความเป็นชาติของตน (nationally-defining historical and spiritual event) ให้กลับฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งต่างหาก, และบทบาทในทางการเมืองของมหาอำนาจอย่างรัสเซียผ่านทางกงสุลของตนในเมืองพริสตินาหรือเมืองมิโตรวิคาต่างหากที่สร้างบรรยากาศใหม่ๆ ของความระแวงสงสัยและความเป็นศัตรูต่อกันให้แก่ชาวอัลบาเนียน.  นอกจากนี้ สงครามไครเมีย (ค.ศ. 1853-1856) ระหว่างจักรวรรดิออตโตมันกับรัสเซียต่างหากที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้านรัสเซีย และต่อต้านศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ ขึ้นมาในโคโซโว และสร้างความร้าวฉานให้กับความสัมพันธ์ระหว่างอัลบาเนียนกับเซิร์บในโคโซโว.  นอกจากนี้ การขับไล่ชาวอัลบาเนียนและชาวมุสลิมอื่นๆ ออกไปจากพื้นที่ซึ่งถูกพิชิตโดยเซอร์เบียและมอนเตรเนโกรในปี ค.. 1877-1878 ทำให้ชาวอัลบาเนียนในโคโซโวเชื่อว่าประเทศเซอร์เบียและชาวเซิร์บในโคโซโว ซึ่งถูกอ้างว่าเป็น “พลเมืองของเซอร์เบียที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย” (unredeemed) กำลังรุกล้ำต่อการดำรงอยู่ของตน.  เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด นโยบายที่กำหนดลงมาจากเบื้องบนของรัฐบาลเซอร์เบียและมอนเตนิโกรตั้งแต่ช่วงแรกของการพิชิตโคโซโวในปี ค.. 1912 ต่างหากที่ได้สร้างความเกลียดชังและความเป็นศัตรูขึ้นอย่างเป็นระบบในระดับที่ภูมิภาคนี้ไม่เคยมีมาก่อน. ถ้ามองจากมุมของชาวอัลเบอร์เนียนแล้ว ประสบการณ์ที่ได้รับจากการกำหนดกฎเกณฑ์โดยชาวเซอร์เบียและมอนเตรเนโกร (ซึ่งต่อมาถูกทำให้กลายเป็นกฎเกณฑ์ของชนชาวยูโกสลาฟในปี ค.. 1918) ก็คือสิ่งที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่คนอื่นๆ ที่ถูกพิชิตและถูกล่าเป็นอาณานิคมเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกที่นับถือศาสนาคริสต์  ในลักษณะเดียวกับที่ชาวอัลจีเรียนมุสลิมต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝรั่งเศส, หรือชาวเชเชนมุสลิมในเอเชียกลางต้องตกอยู่ภายใต้อุ้งอำนาจของชาวรัสเซีย.  กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว  ประวัติศาสตร์ของโคโซโวในช่วงนี้เปรียบได้อย่างเหมาะสมกับแบบแผนของประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคม  เพราะมีแผนการที่ชัดเจนในการส่งผู้ปกครองอาณานิคม (Colonialists) ชาวเซิร์บเข้าไปปกครองโคโซโวตลอดช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กับสงครามโลกครั้งที่ 2.

            แต่ถ้ามองจากสายตาของชาวเซอร์เบีย สิ่งที่เกิดขึ้นในปี ค.. 1912 จำเป็นจะต้องเข้าใจด้วยความคิดที่แตกต่างออกไป, เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้คือ “ยอดตัวอย่าง” ของสงครามปลดปล่อยประชาชนที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองและตกเป็นเชลย (คือชาวเซิร์บในโคโซโว) ของมหาอำนาจจักรวรรดิต่างด้าวชาวเติร์กมุสลิม.  แน่นอนว่า มันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างกรณีของโคโซโวกับกรณีของดินแดนแบบอัลจีเรีย  เพราะในกรณีอัลจีเรียนั้นไม่มีประวัติศาสตร์อันสืบเนื่องใดๆ ว่าเคยมีชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ในอัลจีเรียที่พอจะทำให้ฝรั่งเศสสามารถสืบค้นถอยหลังขึ้นไปค้นหาอาณาจักรฝรั่งเศสในยุคกลางในดินแดนอัลจีเรียได้.  ปัญหาของโคโซโวก็คือ คำอธิบายทางประวัติศาสตร์ทั้งสองวิธีที่เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งนี้นั้นต่างก็จริงพอๆ กัน ระหว่างประวัติศาสตร์แห่งการล่าอาณานิคมโดยชาวเซิร์บในทัศนะของชาวอัลบาเนียน และคือประวัติศาสตร์แห่งการปลดปล่อยจากมหาอำนาจต่างศาสนาในมุมมองของชาวเซิร์บ.  แต่ความจริงอันโหดร้ายที่ชาวอัลบาเนียนกำลังประสบกับการไล่ล่าประหัตประหารโดยชาวเซิร์บนั้นมีฐานะเป็นจริงพื้นๆ ที่สำคัญมากกว่าความจริงที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าทั้งสองข้างต้นนี้บนพื้นฐานความจริงง่ายๆ ที่ว่าชาวอัลบาเนียนคือประชากรส่วนใหญ่ของโคโซโวในเวลาที่โคโซโวถูกพิชิตโดยเซอร์เบียและมอนเตรเนโกรเมื่อปี ค.. 1912,  แต่การที่จะลดฐานะคำอธิบายของชาวเซิร์บว่าคือนี่เป็นสงครามแห่งการปลดปล่อยให้มีน้ำหนักเป็นรองลงมานั้นก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการปฏิเสธคำอธิบายนี้ไปโดยสิ้นเชิง.

            ช่วงนั้นรัฐบาลเซอร์เบียพยายามอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการเขียนประวัติศาสตร์แห่งการปลดปล่อยจนทำให้กลายเป็นการตีความประวัติศาสตร์กระแสหลัก.  ในบันทึกช่วยจำที่รัฐบาลกรุงเบลเกรดแห่งเซอร์เบียส่งไปให้กับประเทศมหาอำนาจในช่วงต้นปี ค.. 1913  ได้อ้างความชอบธรรม 3 ประการที่ทำให้ชาวเซอร์เบียควรจะเข้าไปครอบครองโคโซโว คือ 1)สิทธิทางศีลธรรมของคนที่เจริญกว่า (The moral right of a more civilized people), 2)สิทธิตามประวัติศาสตร์เหนือพื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของสังฆบิดร (Patriarchate buildings) ของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ของชาวเซิร์บ  และสิทธิเหนือพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเซอร์เบียในยุคกลาง,  และ 3)สิทธิทางชาติพันธุ์ซึ่งวางอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตนั้นโคโซโวเคยมีพลเมืองชาวเซิร์บเป็นประชากรโดยส่วนใหญ่ อันเป็นสิทธิซึ่งไม่มีผลกระทบจากการเพิ่งบุกเข้ามาหมาดๆ ไม่นานนัก (recent invasion) ของชาวอัลบาเนียน.  

ข้ออ้างทั้ง 3 ประการนั้น ข้อแรกถูกทำให้ไร้ความหมายไปอย่างรวดเร็วโดยพฤติกรรมแห่งอำนาจการปกครองของชาวเซอร์เบียในโคโซโว,  ส่วนข้อที่ 2 แบ่งออกเป็นสองส่วน กล่าวคือ ส่วนแรกสัมพันธ์อยู่กับคริสต์ศาสนาจักรนิกายออโธดอกซ์ของชาวเซอร์เบีย และอีกส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับอาณาจักรในยุคกลางที่ยังคงเป็นที่อ้างกันอยู่ในทุกวันนี้ว่าโคโซโวคือ “เยรูซาเล็มของชาวเซิร์บ”. แต่คำกล่าวอ้างข้อที่ 2 ในส่วนแรกนั้นเป็นสิ่งซึ่งโอ้อวดเกินจริงอยู่สักหน่อย  เพราะในทางเทววิทยาของศาสนาคริสต์นั้นไม่มีสิ่งซึ่งเรียกว่า “ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์“ (holy place) ที่จะมีบทบาทเทียบเคียงได้เท่ากับกรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็น “ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์” ในทางเทววิทยาของศาสนายิว.  ยิ่งกว่านั้น สถานที่ตั้งของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ของชาวเซอร์เบียก็ไม่ได้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในโคโซโว  เพียงแต่ถูกย้ายเข้ามาในโคโซโวหลังจากที่ที่ตั้งเดิมซึ่งอยู่ในตอนกลางของเซอร์เบียถูกเผาผลาญลง.  นอกจากนี้องค์สังฆบิดรก็ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ความเป็นสถาบันที่ต่อเนื่อง  แต่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยรัฐยูโกสลาฟยุคใหม่ในปี ค.. 1920 ภายหลังจากที่สิ้นสูญไปเป็นเวลานานถึง 154 ปี,  และภายหลังจากที่รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่แล้วในปี ค.. 1920  องค์สังฆบิดรก็มักจะพำนักอยู่ในกรุงเบลเกรดเป็นส่วนใหญ่.  ส่วนเรื่องอาณาจักรเซอร์เบียที่เป็นรัฐในยุคกลางนั้นก็ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดอยู่ในดินแดนโคโซโว หากแต่ตั้งอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าราสซิอา (Rascia) อันเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่เลยจากพรมแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโคโซโว, นอกจากนี้วัดและโบสถ์ที่สำคัญในช่วงต้นยุคกลางของอาณาจักรเซอร์เบียส่วนใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้นนอกพื้นที่ของโคโซโว.  อย่างไรก็ตาม ข้อปฏิเสธหลักในที่นี้ก็คือว่ามันเป็นเรื่องที่ “ไร้สติ” ที่จะกล่าวอ้างความเป็นเจ้าของในทางการเมืองยุคใหม่บนพื้นฐานของราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิที่ล่มสลายไปในอดีตกาลเหมือนอยู่ในตำนานที่นานมาแล้ว.  ข้อปฏิเสธนี้เป็นประเด็นที่พื้นๆ มาก แต่ก็เป็นเหตุผลซึ่งผู้คนในแหลมบอลข่านบางครั้งพบว่ามันสะดวกใจที่จะหลงลืมและละเลยเสีย.

อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวอ้างในข้อที่ 3 ที่เกี่ยวกับเรื่องชาติพันธุ์นั้นเป็นข้อซึ่งถูกทำให้มีความซับซ้อนยุ่งเหยิงมากที่สุดในงานเขียนทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับโคโซโว.  เพราะเมื่อกลับไปมองงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ผลิตขึ้นภูมิภาคนี้แล้ว เราอาจจะคิดว่างานเขียนเกี่ยวกับเรื่องชาติพันธุ์คือหัวข้อและประเด็นที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวของประวัติศาสตร์โคโซโว.  นักเขียนนักประวัติศาสตร์ชาวอัลบาเนียนรุ่นใหม่ๆ บางคนกล่าวอ้างอย่างไม่ค่อยน่าเชื่อถือว่า ชาวอัลบาเนียนคือประชากรส่วนใหญ่ในโคโซโวมาโดยตลอด  แม้กระทั่งในสมัยของราชอาณาจักรเซอร์เบียยุคกลาง,  ส่วนชาวเซิร์บจำนวนมากเชื่ออย่างผิดๆ พอกันว่าไม่เคยมีชาวอัลบาเนียนอาศัยอยู่ในโคโซโวเลยก่อนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ก่อนการเข้ามาของจักรรวรรดิออตโตมัน และถึงมีตำนาน (Myth) อันหนึ่งเกี่ยวกับผู้คนในประวัติศาสตร์ซึ่งเคยมีอิทธิพลอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ว่าชาวอัลบาเนียนส่วนใหญ่ในโคโซโวนั้นแท้ที่จริงเป็นชาวสลาฟ บนพื้นฐานความจริงรองรับที่ว่าตัวตนและเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์มักจะเป็นสิ่งที่ลื่นไหลได้ระดับหนึ่ง.  แต่การกล่าวอ้างตำนานเพื่อบอกว่า ชาวอัลบาเนียนคือชาวสลาฟมาแต่เดิมจึงเป็นสิ่งซึ่งปราศจากหลักฐานในทางประวัติศาสตร์มารองรับ.  ตำนานอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการอพยพครั้งใหญ่ (Great migration) ของชาวเซิร์บในปี ค..1690 นั้นก่อให้เกิดช่องว่างของประชากร (คือดินแดนโคโซโวถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าปราศจากผู้คน) พร้อมกับในจังหวะเดียวกันพื้นที่ว่างเปล่าก็ถูกเติมเต็มจากการท่วมทะลักเข้ามาของกระแสคนต่างด้าวชาวอัลบาเนียนที่อพยพมาจากนอกโคโซโวอย่างทันทีทันใด.  หากศึกษาหลักฐานเหล่านี้อย่างพินิจพิเคราะห์ขึ้นจะทำให้ทราบว่า แม้ว่าจะเกิดความหายนะจากสงครามร้ายแรงในปี ค.. 1690 อันส่งผลสะเทือนต่อผู้คนทุกหมู่เหล่าก็จริง แต่เรื่องการอพยพครั้งใหญ่เป็นเพียงเรื่องที่เพ้อฝันมีสีสันเกินจริง (fanciful),  เนื่องจากเอกสารทางประวัติศาสตร์บอกว่าในขณะที่มีการไหลทะลักอย่างสม่ำเสมอของชาวอัลบาเนียนจากภาคเหนือของอัลบาเนียในปัจจุบันเข้ามาในโคโซโว  แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของประชากรชาวอัลบาเนียนขึ้นเป็นจำนวนมากในโคโซโวนั้นเกิดจากการขยายตัวของประชากรชาวอัลบาเนียนพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในโคโซโวเองต่างหาก.

            ในขณะที่บอสเนียมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางประวัติศาสตร์ และมีตัวตนในทางการเมืองที่ดำรงความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ยุคกลาง คือ ในฐานะที่เป็นหน่วยการปกครองหนึ่งในจักรวรรดิออตโตมัน, อาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี, และในรัฐยูโกสลาเวีย  แต่โคโซโวกลับไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนั้น.  แม้ว่าจะมีเขตเก็บภาษีแห่ง Prizren มาตั้งแต่ปี ค.. 1868 และเขตเก็บภาษีโคโซโวตั้งแต่ปี ค.. 1877 เป็นต้นมา,  แต่ในเขตเก็บภาษีมีรูปร่างบนแผนที่ที่แตกต่างจากโคโซโวในปัจจุบันอย่างมาก.  นอกจากนี้ ก่อนจะถึงยุคที่ถูกจัดตั้งให้เป็นเขตเก็บภาษีนั้นโคโซโวก็เคยถูกแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยในการบริหารควบคุมของจักรวรรดิออตโตมันหลายแห่ง.  ข้อเท็จจริงนี้บางครั้งก็ถูกนำเสนออย่างผิดๆ โดยผู้แทนของชาวอัลบาเนียนในกรณีบันทึกช่วยจำของตัวแทนชาวโคซาวา (คำที่ใช้เรียก ชาวอัลบาเนียนในโคโซโว) ที่เสนอต่อที่ประชุมนานาชาติว่าด้วยยูโกสลาเวียในเดือนกันยายน ค.. 1992 ที่ย้ำเน้นว่าโคโซโว “ได้ดำรงตนเป็นอิสระมาตั้งแต่อดีตกาล” (has been an autonomous entity since ancient times).

ในอีกด้านหนึ่ง เซอร์เบียเองก็ไม่ได้มีประวัติศาสตร์อันต่อเนื่องด้วยเหมือนกัน,  เพราะเป็นเวลาหลายร้อยปีที่โคโซโวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เบีย  เหตุผลหลักนั้นเนื่องมาจากการที่ไม่มีรัฐเซอร์เบียที่จะให้เป็นส่วนหนึ่ง  เพราะเกือบตลอดช่วงการรุ่งเรืองอำนาจของอาณาจักรออกโตมันอันยาวนาน รัฐเซอร์เบียไม่ได้ปรากฏและดำรงอยู่อย่างมีตัวตนในทางการเมืองเลย.  ในความเป็นจริง (de facto) แล้วโคโซโวถูกผนวกเข้ากับรัฐเซอร์เบียในปี ค..1912 ก็โดยอาศัยเรี่ยวแรงจากความทรงจำที่ยังเต้นเร่ามีชีวิตชีวาอยู่เท่านั้น,  แต่ในทางกฎหมาย (de jure) แล้วโคโซโวก็ไม่เคยถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรเซอร์เบียอีกเลย เพราะไม่มีอาณาจักรเซอร์เบียให้ถูกผนวกอีกแล้ว จนกระทั่งการล่มสลายของยูโกสลาเวียในช่วงหลังสงครามเย็นมานี่เอง.



[1] เนื้อหาส่วนนี้ ทวีศักดิ์ เผือกสม แปลและเรียบเรียงเก็บความจากบทนำของ Noel Malcolm, Kosovo: A Short History (London: Macmillan, 1998) ด้วยความช่วยเหลือของคุณรจเรศ ณรงค์ราช.

Back