เพื่อนร่วมชาติหรือเจ้าเข้าครอง
?
โดย
เกษียร เตชะพีระ
สิ่งที่พี่น้องชาวสงขลาได้ประสบและคนไทยทั่วประเทศได้เห็นทางจอทีวีเมื่อเสาร์ที่
๒๑ ตุลาคมที่ผ่าน มาคือ สงคราม ดังที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันรุ่งขึ้นพาดหัวจริง
ๆ,
เป็นฉากจริงจากสงครามแย่งชิงทรัพยา- กรในเมืองไทยที่กำลังปะทุและแผ่ขยายลุกลามออกไปทุกหัวระแหงทุกวี่วัน
มันเป็นสงครามระหว่างรัฐราชการ
รัฐวิสาหกิจผูกขาดและบรรษัทข้ามชาติฝ่ายหนึ่ง กับ
ชุมชนท้องถิ่น ต่าง ๆ และพันธมิตรองค์กรนักศึกษาประชาชน-องค์กรพัฒนาเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง
ในสงครามท่อก๊าซที่สงขลาครั้งนี้ แทนที่รัฐบาลจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยปรองดอง เจรจาหาทางระงับข้อ พิพาทและยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นตามหน้าที่ กลับเข้าเป็นภาคีฝ่ายหนึ่งในสงครามนั้น ร่วมกับรัฐราชการ รัฐ- วิสาหกิจและบรรษัทข้ามชาติ แล้วรบกับประชาชนไทยเสียเอง
ในที่สุด รัฐบาลที่หมดสิ้นความชอบธรรมและต้องสงสัยว่าสมาชิกนับสิบจะเป็นรัฐมนตรีเถื่อน ก็ทู่ซี้ยื้อ อยู่ต่อมาจนเรียกเลือดคนไทยด้วยกันไปสังเวยโลภจริต โมหจริต และโทสจริตส่วนตนเพิ่มซ้ำอีกครั้งหนึ่งจนได้
เลือดไทยที่สาดกระเซ็นลงอาบแผ่นดินปักษ์ใต้ครั้งนี้ตามรอยไปได้จนถึงประตูพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติพัฒนาชนิดล้างไม่ออก
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่โอ้อวดนักหนาว่ากุมเสียงภาคใต้ เป็นตัวแทนและปากเสียงให้ชาวปักษ์ใต้ กลับดันทุรังเดินหน้ากดดันให้คนใต้ตกอยู่ในสถานการณ์แตกสามัคคี เผชิญหน้าและต่อตีกันเอง โดยไม่ฟังเสียง ทัดทานไม่ว่าของใคร
เลือกตั้งครั้งหน้า คนไทยจงอย่าลืมว่าใครพรรคไหนซดดื่มเลือดไทยไปเพียงเพื่อบำบัดความผยองอำนาจ และมักมากทรัพยากรของตน !
ส่วนคณะกรรมการจัดทำประชาพิจารณ์ผู้เผ่นหนีจากเวทีจ้าละหวั่นจนถึงแก่เป็นลมเป็นแล้งแล้วมาลัก ไก่ประกาศชัยชนะว่าบัดนี้ได้ทำประชาพิจารณ์ขั้นตอนเปิดเวทีสาธารณะเสร็จสิ้นลงแล้วนั้น
ชัยชนะของพวกท่านครั้งนี้ช่างมีแต่รูปแบบพิธีกรรมทางการ ปราศจากเนื้อหาสาระ ไร้เกียรติ กลวง เปล่า ไม่มีความหมาย บิดเบี้ยวเฉไฉแชเชือนอย่างน่าเอนจอนาถใจเสียนี่กระไร
ดูเอาเถิด เวทีประชาพิจารณ์ที่ล้อมด้วยลวดหนาม กั้นด้วยท่อซีเมนต์ คุมด้วยตำรวจนับพัน......
การประชาพิจารณ์ที่ใช้เวลาน่าจะสั้นที่สุดในโลกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผู้ร่วมประชุมอย่างน้อยบางราย ฝ่ายเจ้าของโครงการว่าจ้างจัดตั้งมา ขณะที่ฝ่ายค้านถูกกีดกันอยู่ข้างนอก มีผู้ได้ขึ้นชี้แจงเพียงคนเดียวฝ่ายเดียว แล้วประธานก็รวบรัดยกมือโหวตโดยไม่มีการซักถามอภิปรายหรือโต้แย้ง ก่อนจะวิ่งหนีแตกฮือตัวใครตัวมัน
ขอถามว่ามีเยี่ยงอย่างการประชาพิจารณ์บัดซบแบบนี้ที่ไหนในโลกบ้าง ? พร้อมกับคำประกาศชัยชนะ ของพวกท่านว่าสิ้นสุด ประชาพิจารณ์ กำมะลอ, เกียรติยศศักดิ์ศรี เครดิตและคุณประโยชน์ใด ๆ อันกระบวน การประชาพิจารณ์ที่แท้จริงพึงมีในฐานะกลไกประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขความขัดแย้งในสังคมและหาทางออกโดย สันติอย่างหนึ่ง ก็พลอยถูกทำลายย่อยยับป่นปี้และกลบฝังไปด้วยในวาระเดียวกัน
ประชาพิจารณ์ ที่ทั้งปฏิเสธ ประชาชน และไม่รับฟังคำ พิจารณ์ - มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
กรรมอันคณะกรรมการฯกระทำไว้ในครั้งนี้ ชาวสงขลาย่อมไม่ลืม เชื่อว่าเมื่อพวกเขาสวดภาวนาสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ประจำศาสนาของเขาครั้งใด ย่อมระลึกเผื่อแผ่สิ่งที่พึงมีพึงได้ถึงพวกท่านเป็นนิจศีลไปชั่วลูกชั่วหลาน
และแล้ว ภายใต้การนำของรัฐบาลชวน หลีกภัย เราชาวไทยก็ต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ตรงจุดศูนย์ ท่ามกลางซากปรักหักพังและรอยเลือดอาบชโลม - เช่นเคย
สงครามท่อก๊าซที่สงขลาพิสูจน์อีกครั้งว่าระเบียบเก่าในการจัดสรรทรัพยากรและแก้ไขความขัดแย้งที่ รวมศูนย์อำนาจ ไม่เสมอภาคและไม่เป็นธรรม (อันได้แก่ประชาพิจารณ์กำมะลอเป็นอาทิ) กำลังล่มสลายลง เพราะประชาชนไม่ยอมรับและไม่เชื่อฟังอีกต่อไป มาบัดนี้สถานการณ์กำลังเข้าขั้นที่พวกเขาพร้อมจะยืนกราน หัวชนฝา ดื้อแพ่งและลุกฮือขึ้นต่อต้านระเบียบเก่าด้วยเลือดเนื้อของตนแล้ว
เบื้องหน้าสถานการณ์คับขันของชาติเช่นนี้ เรามีทางเลือก ๒ ทาง
คือถ้าไม่ร่วมกันสร้างระเบียบใหม่ที่ กระจายอำนาจ เสมอภาคและเป็นธรรมซึ่งทุกฝ่ายในชาติยอมรับ
ก็จะต้องเผชิญกับ ภาวะไร้ระเบียบ chaos, anarchy ..... ที่ผู้ปกครองปกครองโดยสันติต่อไปไม่ได้เพราะ สูญเสียความยินยอมพร้อมใจของพลเมืองไปแล้ว มีแต่ต้องใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามจ่อจี้บังคับขับไสด้วย มาตรการรุนแรงป่าเถื่อนขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้พวกเขายอมจำนน...... จะได้วางท่อก๊าซทับแผ่นดินของพวกเขาไปไง
ดังพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ตอนหนึ่งว่า :-
แม้นใครเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ
เขาจะถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
นั่นคืออำนาจรัฐจะต้องหันมาทำกับพลเมืองไทยด้วยกันเอง เสมือนหนึ่งไท้ต่างด้าวท้าวต่างแดนทำกับ ไพร่ข้าต่างชาติต่างภาษาในอาณานิคมเมืองขึ้นภายใต้การรุกรานยึดครองของตน
คนไทยพร้อมจะทำกับคนไทยด้วยกันเองเช่นนั้นหรือ ?
ชาติที่แบ่งแยกออกเป็นผู้บังคับขับไสกับผู้ถูกบังคับขับไส จะมีความเป็นชาติ - ความเป็นเพื่อนเป็นพี่ น้องร่วมชาติอันใดเหลืออยู่ ? และว่ากันไปแล้ว ชาติจะมีความหมายอะไร หากคนเราไม่สามารถปกป้องได้แม้แต่ พื้นที่เล็ก ๆ อันเป็นต้นทุนชีวิตของตัวเอง ?
ได้มีการพูดกันมากถึงความจำเป็นที่จะต้องพูดจากันดี ๆ ด้วยเหตุผลหลักฐาน และผลประโยชน์มหาศาล ในรูปรายได้และพลังงานราคาถูกที่โครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซียจะให้แก่ชาติโดยส่วนรวม
ฉะนั้น คนส่วนน้อยในชุมชนท้องถิ่นหนึ่งพึงเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ใหญ่กว่า ของคนส่วนมากในชาติ
นี่เป็นประเด็นที่ควรขบคิดอภิปรายให้กระจะกระจ่างกันออกไป
โดยที่ยังมิทันได้พิสูจน์ให้สิ้นสงสัย ผมขอสมมุติเอาก่อนเพื่อประโยชน์แก่การถกเถียงในที่นี้ว่า โครง การท่อก๊าซไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ชาติโดยรวม หากชุมชนท้องถิ่นสงขลาอันเป็นคนส่วนน้อยก็ จะพลอยได้ประโยชน์โภคผลดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
ถ้าจริง เรา-พี่น้องร่วมชาติ-อันเป็นคนส่วนใหญ่ก็มีพันธะหน้าที่จะต้องพูดจาโดยดีด้วยเหตุผลหลักฐาน เพื่อโน้มน้าวจูงใจให้พี่น้องชาวสงขลาเห็นจริงถึงประโยชน์ดีกว่าที่เขาเองจะได้และยอมรับโครงการโดยสมัครใจ
ถ้าความจริงอยู่ข้างเรา ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไปหักหาญน้ำใจ บังคับข่มเหงยัดเยียดโครงการให้พวกเขา ด้วยเล่ห์กลมนต์คาถา ประชาพิจารณ์กำมะลอ ชัยชนะลักไก่ ระเบียบสำนักนายกฯ มติครม.รวมศูนย์และกระทั่ง กำลังตำรวจทหาร
สมมุติต่อไปอีกว่า พี่น้องชาวสงขลาอาจต้องเสียประโยชน์บ้างจากโครงการท่อก๊าซ แต่ประโยชน์ที่เสีย นั้นเป็นสิ่งปลีกย่อย พอจะเสียกันได้เพราะพอจะหาสิ่งอื่นมาทดแทนให้กันได้ อีกทั้งมีคุณค่าน้อยกว่าประโยชน์ที่ ชาติโดยส่วนรวมจะได้รับ และคนส่วนใหญ่ก็พร้อมจะหาประโยชน์อื่นมาชดเชยให้อย่างคุ้มค่าหรือมากกว่ากัน
ในกรณีความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่กับผลประโยชน์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงพอ เทียบเคียงกันได้ของคนส่วนน้อยเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์ความจริงกันด้วยเหตุผลหลักฐาน บนพื้นฐาน หลักการของการโน้มน้าวจูงใจให้ยอมรับโดยสมัครใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากแม้นสิ่งที่ชาติหรือส่วนรวมหรือคนส่วนมากเรียกร้องให้คนส่วนน้อยเสียสละกลับ กลายเป็นทรัพยากรสำคัญที่รองรับวิถีชีวิตและชุมชนของพวกเขากับลูกหลานในอนาคต นั่นเท่ากับละเมิดสิทธิ พื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขา ต่อให้คนส่วนใหญ่ได้ผลประโยชน์จากการริบทรัพยากร ยกเลิกวิถี ชีวิตและทำลายชุมชนของคนส่วนน้อยมหาศาลเพียงใด คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะทำเช่นนั้น เพราะ สิทธิพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนส่วนน้อยหรือแม้แต่บุคคลคนเดียวเป็นหลักมูลฐานเบื้องต้นของ การรวมกันเป็นชาติเป็นสังคมที่สำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมใด ๆ
เราไม่ได้อยู่รวมกันเป็นชาติเป็นสังคมเพื่อให้ชาติหรือส่วนรวมหรือคนส่วนมากทำอะไรก็ได้กับคนส่วน น้อยหรือบุคคลโดยไม่มีขอบเขต โดยปราศจากธรรมะ โดยล่วงละเมิดสิทธิพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นคนของ เขา เพียงเพื่อให้ชาติหรือส่วนรวมหรือคนส่วนมากได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
ชาติหรือส่วนรวมหรือคนส่วนมากก็ตามอดประโยชน์ได้ แต่เรามิอาจปฏิเสธไม่ยอมให้สิทธิพื้นฐาน และศักดิ์ศรีความเป็นคนแก่คนส่วนน้อยหรือแม้แต่ผู้หนึ่งผู้ใดในหมู่เราได้ มิอาจบังคับให้ใครทำสิ่งที่หยามหมิ่น ศักดิ์ศรีความเป็นคนของเขาเอง ขัดมโนธรรมสำนึกของเขาเอง หรือเสียสละปัจจัยพื้นฐานอันขาดเสียมิได้แก่การ ดำรงชีวิตอย่างเสรี ปลอดภัย มีความหมายและศักดิ์ศรีสมมนุษย์ ตามหลักศรัทธาและวัฒนธรรมของเขา
นี่คือความแตกต่างขั้นมูลฐานระหว่างประชาธิปไตยในชุมโจร กับ สังคมสันติประชาธรรม มันเป็น หลักสากลที่สำคัญต่อเราทุกคนเพราะเราอาจพบตัวเองเป็นเสียงส่วนน้อยที่ถูกเสียงส่วนใหญ่หรือชาติหรือส่วน รวมกะเกณฑ์ให้ตกเป็นเหยื่อผู้เสียสละเข้าสักวันได้เหมือนกัน
ในกรณีเช่นนี้ การเสียสละต้องมีขอบเขตสิ้นสุดตรงสิทธิพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นคนของเสียง ส่วนน้อย ที่ตรงนั้น ผลประโยชน์ส่วนรวมต้องถอย เสียงข้างมากต้องหยุด เพราะเรามิอาจเรียกร้องมิว่าด้วย เหตุผลยิ่งใหญ่ใดให้เพื่อนร่วมชาติร่วมสังคมยอมเสียสละความเป็นคนเพื่อผลประโยชน์ของเราได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็เท่ากับไม่ใช่คนชาติเดียวกัน หากเป็นการกดขี่ครอบงำบังคับขับไสที่เจ้าเข้าครองทำกับขี้ข้าเมืองขึ้นเท่านั้นเอง
บัดนี้ รัฐบาลชวนได้เลือกแล้วที่จะเดินหน้าเข้าบังคับขับไส ส่วนพี่น้องชาวสงขลาก็ได้เลือกแล้วที่จะลุก ขึ้นสู้ แล้วเราคนไทยเพื่อนร่วมชาติเล่า จะเลือกทางใด ?