ชาติ
นิธิ
เอียวศรีวงศ์ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน, ๒๔ พ.ย. ๒๕๔๓, น.๖
ถ้าจะ "กู้วิกฤตชาติ"
ก็ต้องนึกถึง "ชาติ" ซึ่งไม่ได้มีความหมายเพียง "กู"
หรือ "พวกกู"
ในสามสถาบันหลัก
คนไทยเคยชินกับสถาบันศาสนาและพระมหากษัตริย์ เพราะเคยอยู่ร่วมกับสถาบันทั้งสองนี้มายาวนานในประวัติศาสตร์
ฉะนั้นจึงสามารถใส่เนื้อหาของสถาบันทั้งสองนี้ได้มากมาย แต่ "ชาติ"
เป็นสถาบันที่เพิ่งเกิดหลังสุด (และมีอายุไม่นานมานี้เอง)
เนื้อหาของสถาบัน "ชาติ"
ในทรรศนะของคนไทยจึงออกจะกลวง เป็นสถาบันที่ต้องยกย่องเชิดชู
แต่ไม่มีเนื้อหาให้ยกย่องเชิดชู นอกจากสัญลักษณ์ เช่น ธงชาติ เพลงชาติ
หรือแผนที่รูปขวานโบราณ
ร้ายไปกว่านั้นหากพยายามใส่เนื้อหาทางวัฒนธรรมลงไปให้มากกว่านี้
กลับก่อให้เกิดความขัดแย้งก็ได้
เช่นชุดแต่งกายประจำชาติกีดกันชาวเขาออกไปจาก
"ชาติ" ทันทีหลายแสนคน สำเนียงภาษา "มาตรฐาน"
ของชาติ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่พูดไม่ชัดโดยอัตโนมัติ หรือถ้าเพลงไทย "เดิม"
คือดนตรีประจำชาติก็ทำให้คนเหนือและคนอีสานกลายเป็นอนารยชนไปในทันที ฯลฯ
อาจเป็นด้วยความกลวงหรือความเบลอของ
"ชาติ" เช่นนี้ก็ได้ "ชาติ" จึงถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อผลประโยชน์เฉพาะตัวหรือเฉพาะกลุ่มมากที่สุด
ในยามวิกฤตของชาติ
เป็นโอกาสอันดีที่เราจะบรรจุความกลางของชาติลงด้วยเนื้อหาที่ชัดเจน
ไม่แต่เพียงชัดเจนเท่านั้น
ยังต้องเป็นเนื้อหาที่รวมคนในชาติเข้าหากันอย่างเท่าเทียม
และไม่มีลักษณะกีดกันแบ่งแยกหรือเอียงข้างเข้าหาคนกลุ่มใดเป็นพิเศษด้วย
อันที่จริง
ยามวิกฤตของชาติไม่ใช่เป็นโอกาสอันดีเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้
แต่เป็นความจำเป็นเลยทีเดียว มิฉะนั้นแล้ว
การกู้วิกฤตก็จะกลายเป็นการแก้ปัญหาให้เฉพาะคนบางกลุ่มซึ่งได้เปรียบอยู่แล้ว
และการขับเคลื่อนสังคมทั้งหมดให้เข้ามาร่วมกันในการกู้วิกฤตก็เกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าสังคมทั้งหมดไม่เคลื่อนเข้ามากู้วิกฤตด้วยตนเอง
ในที่สุดการกู้วิกฤตก็ตกเป็นภาระของเทวดาในทีมเศรษฐกิจชื่อประหลาดต่างๆ
ซึ่งพิสูจน์มาหลายทีมแล้วว่าล้มเหลว
จะเป็นชาติได้
ต้องมีทั้งรัฐและสังคมอยู่ด้วยกัน มีแต่รัฐอย่างเดียว ชาติก็เป็นเพียงข้ออ้างสำหรับให้ความชอบธรรมแก่กลุ่มคนที่ยึดอำนาจรัฐ
(ด้วยอาวุธหรือหีบบัตรเลือกตั้ง) เพื่อเอาเปรียบผู้อื่นเท่านั้น
เนื้อหาของชาติ
ที่จะทำให้ชาติเป็นสมบัติของทุกคนได้จริง ย่อมประกอบด้วยสามส่วน คือประชาชน
เสรีภาพ และความยุติธรรม การยกย่องเชิดชูชาติคือการยกย่องเชิดชูประชาชน เสรีภาพ
และความยุติธรรม
สื่อเน้นมาตรการทางเศรษฐกิจของ "ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ"
เพียงด้านเดียว กล่าวคือในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
"ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ" เสนอให้ถอยกลับไปสู่สถานะความสัมพันธ์ในวันที่
2 ก.ค. 2540 ในด้านการเปิดเสรีทางการค้า "ยุทธศาสตร์กู้วิกฤติชาติ"
เสนอให้ถอยกลับไปสู่จุดที่เรายังไม่เปิดเสรีในภาคบริการเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้เพื่อกลับมาตั้งตัว ทำความเข้มแข็งภายในให้เกิดขึ้นเสียก่อน
ในกระบวนการทำความเข้มแข็งภายในนั้น
"ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ" ไม่ได้หมายความแต่เพียง
การรื้อระบบการจัดการด้านการเงินการคลังเท่านั้น
แต่หมายรวมถึงการรื้อระบบการจัดการด้านทรัพยากร การแก้ปัญหาความยากจน
การสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนส่วนใหญ่มีโอกาสใช้ความสามารถของตนจนถึงขีดสุดที่มีอยู่จริง
ดังที่ท่านประธานแถลงข่าวในวันนั้น คือท่านอาจารย์ประเวศ วะสี
ได้ยกตัวอย่างความสามารถของประชาชนในท้องถิ่นที่สามารถต้มเหล้าได้เอง
แต่ความสามารถนี้กลับถูกริบเอาไปสังเวยผลประโยชน์ของรัฐและเศรษฐีเพียงสองสามคน
เป็นต้น ฯลฯ
ทั้งหมดเหล่านี้สื่อเกือบไม่พูดถึงเลย
ทั้งนี้เพราะ "วิกฤต" ที่เกิดขึ้นในชาติขณะนี้ ถูกรัฐและสื่อบิดเบือนให้เห็นว่าเป็นวิกฤตของค่าเงิน
ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ และภาวะชะงักงันของความจำเริญทางเศรษฐกิจเท่านั้น
แต่ "ยุทธศาสตร์วิกฤตชาติ" ได้ชี้ให้เห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่า
อันที่จริงคนอื่นๆ นอกจากกลุ่มนักธุรกิจและคนชั้นกลางในเมือง ได้เผชิญวิกฤตทางเศรษฐกิจมานานก่อนหน้านี้เป็นสิบปีแล้ว
โดยเฉพาะคนจนและคนไร้อำนาจ
แต่ถ้าความหมายของ "ชาติ"
ไม่รวมประชาชนในระดับล่างเหล่านั้นเอาไว้ "ชาติ" ก็ไม่มีวิกฤต
และเมื่อมีวิกฤตก็อาจแก้ได้ด้วยการรับเงื่อนไขที่ทุนโลกบังคับลงอย่างใดก็ได้
เพียงเพื่อจะทำให้คนกลุ่มน้อยซึ่งเป็นเจ้าของชาติได้รอดพ้นจากวิกฤตในชีวิตของ "กู"
ไปเท่านั้น
เหตุดังนั้น
ข้อเสนอให้ถอยกลับของ "ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ"
จึงจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
ถ้าไม่รวมกระบวนการสร้างความเข้มแข็งภายในเพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของชาติคือประชาชน
เสรีภาพและความยุติธรรมไว้ด้วย
ถ้าความจำเริญของชาติหมายถึงการจัดการทรัพยากรที่ริบและแย่งเอาทรัพยากรที่คนส่วนใหญ่ใช้อยู่
เพื่อนำมาบำเรออุตสาหกรรมและธุรกิจส่งออก ชาติจะไม่มีความหมายถึงประชาชนได้อย่างไร
เสรีภาพที่ผู้คนจะเลือกดำเนินวิถีชีวิตของตนตามที่ตัวถนัดและเข้มแข็งที่สุดอยู่ที่ไหน
และการเบียดเบียนคนเล็กคนน้อยเพียงเพราะเขาไม่มีอำนาจต่อรองจะหมายถึงความยุติธรรมได้อย่างไร
คนที่ปากมูลถูกลิดรอนเสรีภาพในการเลือกวิถีตนเองมานับสิบปี
ไม่ได้รับความยุติธรรมจากรัฐด้วยประการทั้งปวงสืบเนื่องมายาวนาน
นี่คือวิกฤตของชาติซึ่งทำให้เราอ่อนแอจนไร้อำนาจต่อรองในเวทีโลก
"ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ" จึงหมายถึงการปรับเปลี่ยนภายในเพื่อประชาชน
เสรีภาพ และความยุติธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การถอยกลับมาอยู่ในจุดที่เราไม่เสียเปรียบแก่ทุนโลก
ไม่ได้มีความหมายจำกัดแต่เพียงการลดทอนกำลังของธนาคารต่างชาติ บริษัทเทสโก้
และทุนต่างชาติอื่นๆ เท่านั้น
แม้ในจุดที่เราถอยกลับมาตรงนั้นก็มีความไม่ยุติธรรมซึ่งบั่นทอนพลังภายในสังคมเราเองอย่างไพศาล
จำเป็นปรับแก้ระบบภายในของเราเพื่อเสริมสร้างพลังงานชาติหรือประชาชน
เพื่อเผชิญกับโลกาภิวัตน์กันได้อย่างเข้มแข็งโดยทั่วหน้ากัน
การถอยกลับไม่ได้หมายถึง
การแย่งเอาโลตัสกลับคืนให้แก่ซีพีหรือบิ๊กซีให้แก่ เซ็นทรัล
แต่ต้องหมายถึงการเปิดโอกาสให้ร้านชำซิ่งเป็นช่องทางทำมาหากินของคนไทยหลายแสนครอบครัวอยู่ได้ตามควรแก่อัตภาพด้วย
การปฏิเสธทุนโลกาภิวัตน์ไม่ได้หมายถึงการยอมรับทุนอุปถัมภ์
ไม่ว่าจะเป็นทุนประเภทใดในสองประเภทนี้ ล้วนแต่กดขี่ขูดรีดคนส่วนใหญ่
รอนเสรีภาพของคนส่วนใหญ่
และซื้อเอาความยุติธรรมไปเป็นของตนแต่ผู้เดียวเหมือนกันหมด
ความแตกต่างระหว่างนายทุนภายในกับนายทุนต่างชาติในแง่สวัสดิภาพของประชาชน เสรีภาพ
และความยุติธรรมนั้นเท่ากับศูนย์ คือไม่มีเหมือนกัน
ในแง่นี้ต่างหากที่เราต้องการรัฐที่เข้มแข็ง
แต่ไม่ใช่รัฐที่จะเข้าไปเก็บค่าต๋งจากธุรกิจเอกชน
หากเป็นรัฐที่เข้มแข็งเพื่อจุดมุ่งหมายสองประการ
คือหนึ่งประกันว่าการแข่งขันของภาคเอกชนภายในจะเป็นไปโดยเปิดเผยและเท่าเทียมกัน
และสองประกันว่าคนอ่อนแอจะมีโอกาสได้แข่งขันโดยมีพลังเท่ากับคนอื่น
โดยการให้แต้มต่อ หรือโดยปกป้องเขาจากการคุกคามของพลังตลาดเสรี
นี่คือเหตุผลที่
"ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ" ย้ำแล้วย้ำอีกว่า
รัฐที่ไม่มีสังคมก็กู้วิกฤตไม่ได้ และสังคมที่ไม่มีรัฐก็กู้วิกฤตไม่ได้เช่นกัน
ชาติจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของการกู้วิกฤต
เพราะชาติที่แท้จริงต้องเป็นทั้งรัฐและเป็นทั้งสังคม
สื่อให้ความสำคัญแก่ส่วนนี้ของ
"ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ" น้อยเกินไป
จึงยิ่งไปตอกย้ำการกู้วิกฤตในเชิงเทคนิค อย่างที่ได้ทำกันมาและล้มเหลวกันไป
ปราศจากข้อคิดและข้อเสนอจำนวนมาก
จากภาคประชาชนหลายๆ กลุ่ม ในเรื่องการสร้างความเข้มแข็งภายใน เพื่อประชาชน เสรีภาพ
และความยุติธรรมแล้ว
การปรับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์กับทุนโลกเพียงอย่างเดียวจะไม่อาจกู้วิกฤตของชาติได้
และสังคมทั้งหมดก็จะไม่รวมพลังเข้ามาร่วมแก้วิกฤตซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของ
"ยุทธศาสตร์กู้วิกฤตชาติ"