ถ้าไม่เลื่อนโครงการท่อก๊าซไทย-
มาเลย์ เราสิ้นชาติแน่:
เป็นคำเตือนสุดท้าย
โดย ประสาท มีแต้ม
กลุ่มศึกษาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
สงขลา
1. เกริ่นนำ
ผมไม่คิดว่าข้อความในชื่อบทความนี้จะเป็นสิ่งที่เกินความจริง กรุณาฟังเหตุผลสักนิด ผมจะสรุปไว้ตรงนี้เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านเสียเวลาเกินไป เพราะคนไทยไม่อดทนต่อการอ่านนานๆ
- ก๊าซสำรองในอ่าวไทยเรามีพอใช้ถึง
40 ปี แต่รัฐบาลที่มีอายุเพียง 40
วันกลับรีบร้อนอนุมัติโครงการซึ่งการก่อสร้างใช้เวลาเพียง 2
ปีเท่านั้น
ก๊าซที่ซื้อจากพม่าเราก็ต้องจ่ายฟรีโดยไม่ได้ก๊าซเพราะมีมากเกินความจำเป็น
- เมืองไทยมีปั๊มน้ำมันมากว่าประเทศฝรั่งเศสถึง
3 เท่า
ทั้งๆที่จำนวนรถในฝรั่งเศสมีมากกว่าบ้านเราถึงห้าเท่าตัว นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยต้องซื้อน้ำมันในบ้านเราแพงเกินเหตุ
- โครงการท่อก๊าซก็ต้องกู้เงินเขามาลงทุนกว่า
2 หมื่นล้านบาท ทั้งๆที่ ปตท.
ก็เป็นหนี้อยู่แล้วกว่าหนึ่งแสนล้านบาท
หนี้สาธารณะของชาติก็กองท่วมหัวคนไทยอยู่แล้ว
- กรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของสภาผู้แทนราษฎรก็ออกมาเสนอให้เลื่อนโครงการ
- กรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภาก็ออกมาเตือนในทำนองเดียวกัน
-คุณเด่น โต๊ะมีนา ก็กล่าวในที่ประชุมกรรมาธิการวุฒิสภาว่า "ระวังพี่น้องมุสลิมจะรู้สึกว่าถูกรังแก"
-คุณโสภณ สุภาพงษ์ ส.ว.
ก็บอกว่าประชาพิจารณ์ที่จะเกิดในวันที่ 21-22
นี้ เป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ
- คุณหมอประเวศ
วะสี อาจารย์เสน่ห์
จามริก ผู้อาวุโสในแผ่นดินก็เคยเตือน
- แต่รัฐบาลที่ไม่มีฝ่ายค้านก็ไม่ยอมรับฟัง
ที่สำคัญกว่านี้คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู่เรื่อง ไม่สนใจ
ส่วนหนึ่งเพราะรัฐปกปิดและหลอกลวงข้อมูล แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะคนไทยไม่ค่อยคิดไม่ค่อยถาม ไม่ใช้เหตุผลให้เป็นระบบ
ประเด็นปัญหาชัดเจนถึงเพียงนี้ ถ้าคนไทยยังปล่อยให้คนหยิบมือเดียวที่ดื้อรั้นบริหารประเทศต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น นึกๆแล้วเหมือนกับคนที่กำลังสนุกสนานในเรือไททานิกโดยไม่รู้ว่าเรือกำลังจะอับปาง ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย ต่อไปนี้ผมจะเริ่มให้รายละเอียดเพิ่มเติม
2. ตื่นเถิดคนไทย
ผมเห็นการ์ตูนที่เขียนโดย
"เซีย" ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ(17ต.ค.43)
ที่มีรูปอาจารย์
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ยืนตะโกนกู่ร้องพร้อมข้อความข้างๆว่า
"ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง"
พร้อมกับข้อความประเด็นปัญหาของชาติที่กลุ่ม ปxป
นำออกเสนอต่อสาธารณะแล้ว ทำให้ผมเกิดความรู้สึกร่วม
แม้ไม่มีข้อความกำกับในภาพ แต่ก็ดูออกว่าผู้ร้องได้พยายามอย่างเต็มกำลัง
หรือที่คนปักษ์ใต้เรียกว่า "ทำสุดแรงเกิด"
แล้ว
ผมเองในฐานะที่เป็นนักวิชาการตัวเล็กๆในมหาวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่งก็ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มและพยายามทุกวิถีทางที่จะบอกกับพี่น้องร่วมชาติว่า
"ตื่นเถิดชาวไทย. . . " ชาติของเรากำลังมีปัญหาอย่างรุนแรงระหว่างรัฐบาลกับประชาชนกลุ่มคัดค้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลย์
โครงการนี้เป็นตัวย่อของทิศทางการพัฒนาประเทศที่ผ่านๆมาทั้งหมดอย่างเป็นรูปธรรม
3. สภาพปัญหารวม
อาจารย์เสกสรรค์ ได้สะท้อนไว้ในคำปราศรัยในวาระ 27
ปี 14 ตุลา ว่า
"วิกฤตเศรษฐกิจที่แผ่คลุมประเทศชาติราวเมฆร้ายตลอดระยะสามปีที่ผ่านมา
. .ไม่เพียงแต่สะท้อนความผิดพลาดของผู้รับผิดชอบประเทศ ไม่เพียงแต่สะท้อนการผิดทิศของการพัฒนา หากยังสะท้อนถึงสภาวะที่ไร้อำนาจโดยสิ้นเชิงของประชาชน"
ผมอยากจะถ่ายทอดสำนวนที่ไพเราะและลึกซึ้งของอาจารย์เสกสรรค์ต่ออีกสักนิด แล้วค่อยต่อกันด้วยประเด็นท่อก๊าซไทย-มาเลย์ อาจารย์เสกสรรค์ว่า (จากมติชนรายวัน
16 ต.ค.)
"ผมเสียใจที่จะต้องเรียนตรงๆว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้มีความหนักหน่วงที่สุดในระยะ
50 ปีนับจากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ถ้าเราจะพูดกันตามความจริง ก็คงต้องบอกว่า
มันมิได้เป็นแค่วิกฤตเศรษฐกิจอย่างเดียว หากเป็นวิกฤตชาติที่บวกรวมทั้งความล้มเหลวในการบริหารจัดการธุรกิจ ความล้มเหลวของระบบการเมืองและระบบบริหารราชการแผ่นดิน ความล้มเหลวของระบบการศึกษาวัฒนธรรม
การล่มสลายของภาคเกษตรกรรมและสังคมชนบท
กระทั่งบวกรวมวิกฤตทางด้านจิตสำนึกและจิตวิญญาณ"
4. ปริมาณก๊าซเหลือใช้ทำไมต้องรีบ
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ กลุ่มศึกษาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สงขลา
ได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่เริ่มรู้ว่าจะมีโครงการท่อก๊าซฯเข้ามาสู่สงขลาประมาณ
2 ปีมานี้ (ก่อนกลุ่ม ปxป)
กลุ่มของเราประกอบด้วยนักวิชาการในมหาวิทยาลัย แพทย์ นักกฎหมาย นักหนังสือพิมพ์
บางท่านเป็นที่รักใคร่นับถือของคนสงขลารุ่นก่อนๆ หลายท่านเคยมีบทบาททางสร้างสรรค์ เช่น
เป็นแกนหลักในการฟื้นฟูทะเลสาบสงขลา ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ
เป็นสมาชิกสมัชชาปฏิรูปการเมือง ฯลฯ
แต่เมื่อสถานการณ์การคัดค้านขยายตัวกว้างขวางขึ้น กลุ่มผู้คัดค้านก็ถูกป้ายสีด้วยข้อหาเก่าๆต่างๆนานา
เช่น "รับเงินต่างชาติ" "ขัดขวางการพัฒนา" รวมทั้งถูกวางพวงรีด เป็นต้น
ขอเรียนตามตรงว่าแรกๆเราก็ไม่เคยคิดจะคัดค้านโครงการนี้หรอก แต่ศึกษาไปศึกษาเราก็พบกับความไม่ชอบมาพากลมากมาย เกินกว่าที่คนกินเงินเดือนของประชาชนจะอดทนได้อีก
ดังที่ผมได้เรียนท่านผู้อ่าน"สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์"ไปเมื่อฉบับที่แล้วว่า
ปริมาณก๊าซธรรมชาติที่มีสำรองในอ่าวไทยอยู่ในขณะนี้โดยไม่ต้องขุดเพิ่มอีก เราสามารถใช้ต่อไปได้นานถึง 40
ปี ข้อมูลนี้เป็นของทางราชการกรมทรัพยากรธรณี
ผมไม่ได้แต่งเติมอะไรเลย
แต่การทำโครงการวางท่อและสร้างโรงแยกก๊าซใช้เวลาเพียง
2 ปีเท่านั้นก็เสร็จ ดังนั้นเราสามารถรอได้นานถึงเกือบสี่สิบปี
คำถามก็คือว่าทำไมรัฐบาลจึงรีบร้อนจัง ถ้ารัฐบาลตอบคำถามนี้ไม่ได้ก็สมควรหยุดโครงการนี้ไว้ก่อน
5.กรรมาธิการทั้งสองสภาก็เตือนสติรัฐบาล
กรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่าให้ชะลอโครงการท่อก๊าซไว้ก่อนเพราะประชาชนไม่เห็นด้วย ท่านนายกก็ส่งเรื่องต่อไปว่า "เรียนการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณา"
เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับชาติ เมื่อมีปัญหาเขาก็เสนอให้ท่านนายกพิจารณา
แต่ท่านก็ทำได้แค่
"บุรุษไปรณีย์"
เท่านั้น
นอกจากนี้ล่าสุด เลขานุการกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภาก็ให้สัมภาษณ์ว่า ทางกรรมาธิการฯ (กรุงเทพธุรกิจ
14 ต.ค.)
จะทำหนังสือถึงท่านนายกว่า "ให้หยุดการทำประชาพิจารณ์ไว้ก่อน"
นักข่าวซึ่งได้อ้างคำพูดของคุณโสภณ สุภาพงษ์ ส.ว.
กรุงเทพระบุว่า "การทำประชาพิจารณ์ขัดรัฐธรรมนูญ
เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ" ท่านชวน นักกฎหมายกลับตอบว่า "การฟังความเห็นของประชาชนดีทั้งนั้น"
(มติชนรายวัน 16
ต.ค.)
6.การประชาพิจารณ์
"การฟังความเห็นของประชาชนดีทั้งนั้น"
ที่ท่านนายกชวน พูดถ้าฟังเผินๆก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องอีก ผมบอกตรงๆว่า
ท่านชวนพูดเก่งจริงๆ แต่ท่านพูดไม่หมด
พูดไม่ครบและเบี่ยงประเด็น
ท่านนายกก็ทราบดีว่า การประชาพิจารณ์เป็นขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่ทำประชาพิจารณ์โครงการก็ไม่สามารถดำเนินการได้
ดังนั้นถ้าสักแต่ว่าขอให้ได้รับฟังประชาชน ไม่ว่าประชาชนเขาจะคัดค้านอย่างไร
รัฐบาลก็จะอนุมัติอยู่ดี จะไม่เป็นการหลอกชาวบ้านหรือครับท่านนายก
เราลองมาดูระเบียบที่เขาใช้ทำประชาพิจารณ์กันสักหน่อยนะครับ ระเบียบสำนักนายกปี 2539
(ซึ่งออกก่อนและขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2540)
ระบุว่า ผลการประชาพิจารณ์จะเปิดเผยก็ได้
ไม่เปิดเผยก็ได้ และถ้าเป็นพันธะสัญญากับต่างประเทศ
คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติโครงการก็ได้ โดยไม่สนใจว่าชาวบ้านจะว่าอย่างไร
โดยสรุป
เขาจะทำโครงการลูกเดียว ไม่ว่าใครจะเห็นอย่างไรก็ตาม
ถ้าเราคิดกันตามประสาชาวบ้านว่า
"ก็รัฐบาลจะพัฒนาประเทศจะสร้างงาน ก็ไม่น่าจะไปค้านเขา"
ข้ออ้างนี้ฟังไม่ได้ครับ เรามีก๊าซเหลือเฟือถึง 40
ปี และที่ซื้อจากพม่าก็ถูกปรับอยู่เป็นหมื่นล้านบาทต่อปีอยู่แล้ว รัฐบาลกำลังซ้ำเติมเศรษฐกิจของชาติที่ย่ำแย่อยู่เต็มทีแล้ว
ท่านผู้อ่านลองกลับไปดูคำพูดของอาจารย์เสกสรรค์อีกครั้งซิครับ
เราวิกฤตทางการเมืองบวกรวมกับวิกฤตทางจิตสำนึกและวิญญาณเข้าไปด้วย
7.การเมืองยุคปฏิรูป
นักวิชาการด้านวิศวกรรมศาสตร์ระดับศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ได้กล่าวในรายการกรองสถานการณ์ ช่อง 11
ว่า "เราได้มอบอำนาจให้กับคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ก็ควรให้เขาตัดสินใจกันไป ถ้าไม่ดีคราวเราก็อย่าไปเลือกเขา"
แต่ก่อนจะวิจารณ์คำพูดนี้ เรามาฟังศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปการเมือง
คือ ท่านชัยอนันต์ สมุทรวณิช ท่านบอกว่า
"การปฏิรูปการเมืองเกิดจากความต้องการที่จะมีส่วนร่วมของประชาชนในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและร่วมตรวจสอบการบริหารงานของรัฐ"
รัฐธรรมนูญได้ระบุเอาไว้ในแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ
(หมวด 5) ว่ารัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
การที่ประชาชนฝ่ายต่างๆลุกขึ้นมาคัดค้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลย์ ก็เป็นการกระทำตามแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ รัฐบาลน่าจะดีใจ
สำหรับความเห็นของนักวิชาการด้านวิศวกรรมนั้น ผมเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ได้พิสูจน์มาตลอดว่าล้มเหลวจนเขาต้องยกเลิกไป อาจารย์เสกสรรค์(ซึ่งเป็นทั้งนักรัฐศาสตร์และนักกิจกรรม)ก็ได้ระบุแล้วว่าการเมืองแบบเก่าอำนาจของประชาชนจะหมดลงในวันหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น ทำให้เกิด "สภาวะไร้อำนาจโดยสินเชิงของประชาชน"
8. การตรวจสอบ
ท่านผู้อ่านครับ การร้องเรียนให้รัฐบาลทบทวนโครงการ
ชะลอโครงการ รวมทั้งการขอร้องให้รัฐเลื่อนการกระทำประชาพิจารณ์
ได้กระทำมาเป็นระยะๆ แม้องค์กรของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาให้ให้ความเห็นเป็นทำนองเดียวกับฝ่ายคัดค้านแล้ว แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาล
ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ถ้าท่านผู้อ่านซึ่งเป็นเจ้าของประเทศได้รับทราบความจริงเหมือนกับที่ผมทราบ(ซึ่งต้องใช้เวลาศึกษานานกว่าสองปี)
ผมก็เชื่อว่าท่านคงจะต้องร่วมกันตรวจสอบรัฐบาลตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยอย่างแน่นอน
กรุณาอย่าหาว่าปลุกระดมเลยครับ โปรดตื่นเถิดครับบ้านเมืองกำลังเดือดร้อนและวิกฤติในทุกด้านแล้ว โปรดลุกขึ้นมาตรวจสอบรัฐบาลกันให้ทั่วทุกสารทิศ
หากท่านไม่เชื่อข้อมูลที่ผมได้นำเสนอ หรือไม่เชื่อใจในจุดประสงค์ของกลุ่มศึกษาฯ ก็โปรดช่วยกันตรวจสอบกลุ่มนี้ด้วยเถิดครับ
ยิ่งสังคมลุกขึ้นมาตรวจสอบกันมากๆ สังคมก็จะได้ประโยชน์
อย่าช้าครับ เดี๋ยววิกฤตรอบสองหรือสภาวะสิ้นชาติจะมาเยือนอย่างถาวร