มนต์เพลงลุงแซม

โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน ๑ เม.ย. 2543

มีข้อน่าวิตกกังวลอย่างหนึ่งเกี่ยวกับกรณีคุณสุรศักดิ์ นานานุกูล กับพวกถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรล่อจับที่ สหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ไม่ใช่อยู่ตรงตัวคุณสุรศักดิ์ละเมิดมติคว่ำบาตรอิรักของสหประชาชาติและคำสั่งห้ามค้ากับอิรักของประธานาธิบดีสหรัฐฯจริงหรือไม่  ?   พรรคความหวังใหม่จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วยในปีเลือกตั้งเพราะเหตุนี้สัก เพียงใด ?  หรือประเทศไทยจะรักษาชื่อเสียงเกียรติคุณในฐานะสมาชิกที่เคารพกฎหมายของประ ชาคมโลกเอาไว้ ให้ปลอดพ้นจากเรื่องนี้ได้อย่างไร ?

แต่อยู่ตรง ระเบียบโลกใหม่หลังสงครามเย็น ที่สถาปนาและครอบงำโดยอเมริกา ซึ่งรวมการโดดเดี่ยว ปิดล้อมอิรักเป็นหลักอย่างหนึ่งด้วยนั้น   ดูจะได้การยอมรับนับถือในแวดวงผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของ เราไม่ว่าฝ่ายไหน ระดับใด ประดุจเป็นหลักธรรมค้ำจุนโลกโดยดุษณ   ไม่มีใครสักคนลุกขึ้นมาเอ่ยถามทักท้วง แม้สักแอะ

ความเงียบในประเด็นนี้ดังสนั่นน่าตกใจยิ่งกว่าเสียงกล่าวโทษแก้เกี้ยวซึ่งกันและกันในหมู่นักการเมือง เป็นไหน ๆ   เพราะไม่ว่าคุณสุรศักดิ์จะผิดหรือไม่  คดีจะถูกตัดสินอย่างไร  แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นแล้วก็

คือผู้นำการเมืองไทยดูจะยอมรับระเบียบวินัยระหว่างประเทศที่สร้างและค้ำจุนด้วยอำนาจอเมริกันโดยนัยว่าเป็น ทำนองคลองธรรมของโลกไปเสียแล้ว

และไทยมีหน้าที่เพียงเต้นตามทำนองเพลงที่บรรเลงโดยลุงแซมไปเซื่อง ๆ เหมือนหางเครื่องเท่านั้น !

ทว่าเอาเข้าจริงการคว่ำบาตรอิรักทางเศรษฐกิจถูกต้องชอบธรรมแน่หรือ ?   มันสัมฤทธิ์ผลทางการเมือง การทหารตามเป้าที่ตั้งไว้แค่ไหน ?  ส่งผลเสียทางสังคมและมนุษยธรรมต่อประชาชนชาวอิรักอย่างไร ?   และเมื่อ ประมวลภาพรวมแล้วมันถูกกฎหมายระหว่างประเทศสักเพียงใด  ?

ผมคิดว่าเราควรตรวจสอบลุงแซมดู

การคว่ำบาตรอิรักทางเศรษฐกิจเริ่มขึ้นเมื่อ ๑๐ ปีก่อน ตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อลงโทษอิรักที่บุกยึดคูเวต  มติดังกล่าวห้ามประเทศสมาชิกสหประชาชาติซื้อขายสินค้าหรือช่วยเหลืออิรักด้าน การเงิน  ยกเว้นสินค้าประเภทอาหารและยารักษาโรค

ห้าปีต่อมา  เนื่องจากเป็นที่ประจักษ์ว่าประชาชนอิรักต้องทนทุกข์ยากอดอยากแสนสาหัสเพราะกา คว่ำ บาตรทางเศรษฐกิจ  คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติจึงตกลงผ่อนปรนกับอิรัก โดยดำเนินโครงการน้ำมัน เพื่ออาหาร  อนุญาตให้อิรักผลิตน้ำมันส่งออกขายเพื่อนำรายได้มาจัดซื้ออาหารและยารักษาโรคเข้าประเทศ  ภาย ใต้การควบคุมอำนวยการภาคสนามของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ  และการกำกับดูแลของคณะกรรมการคว่ำบาตร ของสหประชาชาติในกรุงนิวยอร์คอีกชั้นหนึ่ง

แล้วอะไรคือผลงานของการคว่ำบาตรอิรักทางเศรษฐกิจ ๑๐ ปีและโครงการน้ำมันเพื่ออาหารในรอบ ๕ ปีที่ผ่านมา ?

ตามสถิติที่สำรวจโดยองค์การยูนิเซฟ (กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ  United Nations International Children’s Fund) เองในปี พ.ศ. ๒๕๔๒  ปรากฏว่า

 ปัจจุบันนี้เด็กอิรักอายุต่ำกว่า ๕ ขวบลงมากำลังล้มตายลงทุกวัน ๆ ละ  ๒๗๑  คน  !

ขณะที่สถิติเดียวกันของประเทศที่ไม่ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไทยคือวันละ  ๑๐๑  คน ทั้ง ๆ  ที่ ไทยมีประชากรมากกว่าอิรักเกือบ ๓ เท่าตัว  !

อัตราการตายของทารกแรกเกิดในอิรัก  =  ๑๐๓ / ๑,๐๐๐ คน  (ของไทย  =  ๓๐ / ๑,๐๐๐ คน)  ส่วนอัตรา การตายของเด็กอายุต่ำกว่า ๕ ขวบในอิรัก  =  ๑๒๕ / ๑,๐๐๐ คน (ของไทย  =  ๓๗ / ๑,๐๐๐ คน)

นั่นคิดเป็นอัตราการตายกว่า ๑๐ %   หมายความว่าเด็กอิรักทุก ๑๐ คนที่เกิดมา จะอยู่รอดเกิน ๕ ปีขึ้น ไปไม่ถึง ๘ คน

หากมองย้อนเวลาจะพบว่าตัวเลขอัตราการตายของเด็กอิรัก (ต่อพันคน) มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จนกระ ทั่งเริ่มการคว่ำบาตรเศรษฐกิจโดยสหประชาชาติภายใต้การนำอย่างแข็งขันของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓

 

ปี พ.ศ.                                     เด็กต่ำกว่า ๕ ขวบ                                                   ทารกแรกเกิด

๒๕๐๓                                                   ๑๗๑                                                       ๑๑๗

๒๕๑๓                                                   ๑๒๗                                                          ๙๐

๒๕๒๓                                                      ๘๓                                                         ๖๓

๒๕๓๓                                                      ๕๐                                                          ๔๐

๒๕๓๘                                                    ๑๑๗                                                         ๙๘

๒๕๔๑                                                     ๑๒๕                                                      ๑๐๓

( ข้อมูลจาก  Iraq Mortality Estimates: <http://www.unicef.org/reseval/cmrirq.html>)

จากนั้นเด็กอิรักก็ล้มตายเพิ่มพรวดขึ้นกว่าสองเท่าครึ่ง  !

ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปของนักวิจัยยูนิเซฟว่า

“ ข้อสรุปประการหนึ่ง.....ก็คือหากอัตราการตายของเด็กอายุต่ำกว่า ๕ ขวบซึ่งลดลงมากพอ ควรในช่วงทศวรรษ ๒๕๒๓-๒๕๓๒  ยังคงลดลงต่อไปตลอดทศวรรษที่ ๒๕๓๓-๒๕๔๒ แล้ว  ก็จะมีเด็กอายุ ต่ำกว่า ๕ ขวบในประเทศนี้ตายน้อยลงรวมทั้งสิ้นครึ่งล้านคนในช่วงระยะ ๘ ปีจาก พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๔๑” G. Jones, “Iraq – Under-five mortality,” 23 July 1999, UNICEF

ถ้าไม่คว่ำบาตรอิรัก   เด็ก ๕ แสนคนก็ไม่ต้องตายในรอบ ๘ ปีที่ผ่านมา

มีเป้าหมายหรือระเบียบการเมืองการทหารใดในโลกสำคัญมากพอที่จะสละชีวิตเด็ก ๕ แสนคนหรือ  ?

เอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ  รัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ  และทูต ยูนิเซฟประจำประเทศไทย คุณอานันท์ ปันยารชุน  ได้รับรู้โศกนาฎกรรมต่อเด็กบริสุทธิ์เหล่านี้อันเกิดจากฝีมือ อภิมหามิตรอเมริกาหรือไม่  ?  ท่านได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขมันบ้างหรือเปล่า  ?

แต่มโนธรรมของคนบนโลกไม่ได้บอดใบ้ไปเสียหมด  จึงปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้ดำรงตำแหน่ง ผู้ประสาน งานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติประจำอิรัก  ซึ่งเห็นความจริงในสนามคาตา พากันประท้วง และทยอยลาออกคนแล้วคนเล่า เพราะมิอาจทนดูชะตากรรมของเด็กอิรักที่ถูกฆ่าหมู่ทางอ้อมด้วยมาตรการคว่ำ บาตรของสหประชาชาติเอง และความขาดพร่องไม่พอเพียงของโครงการน้ำมันเพื่ออาหารที่จะช่วยเด็กเหล่านี้ได้

คนแรก  เดนิส ฮอลลิเดย์  ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติชาวไอริช  ลาออกจากตำแหน่งผู้ประสานงานฯ เมื่อกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑   หลังจากแถลงโจมตีนโยบายคว่ำบาตรอิรักอย่างเผ็ดร้อนรุนแรงว่า

การคว่ำบาตรเป็นแนวคิดที่ล้มละลายแล้ว เพราะมันทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์และเผลอ ๆ ก็อาจกลับ ไปเสริมผู้นำอิรักให้เข้มแข็งขึ้นอีกด้วยซ้ำไป  !

เขาวิเคราะห์และเปิดโปงประณามเอกสารสรุปสถานการณ์อิรักที่จัดทำเผยแพร่โดยกระทรวงต่างประ เทศอเมริกันว่าเป็น “ขยะตั้งแต่ต้นจนจบ”   แล้วสาปส่งว่า

“ประวัติศาสตร์จะล้างผลาญพวกที่รับผิดชอบต่อเรื่องนี้ “

ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้ประสานงานฯ ประจำอิรักสืบแทน เดนิส ฮอลลิเดย์ คือ ฮันส์ ฟอน สปอเน็ค  นักการ ทูตชาวเยอรมัน  และก็เช่นกัน เพียงชั่ว ๑ ปี ๗ เดือนให้หลัง เขาก็ประกาศลาออกตามไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ศกนี้ หลังจากดวงตาเห็นธรรมบรรลุข้อสรุปว่า

การคว่ำบาตรอิรักไม่ได้เรื่อง   มิหนำซ้ำกลับก่อ “โศกนาฎกรรมของมนุษยชาติโดยแท้ ” ขึ้นมา

โครงการน้ำมันเพื่ออาหารของสหประชาชาติไม่สามารถสนองตอบความจำเป็นขั้นต่ำสุดของชาวอิรัก 

เขาเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ แยกประเด็นการช่วยเหลือประชาชนธรรมดาชาวอิรักออกจาก ประเด็นการเมืองเรื่องปลดอาวุธระบอบซัดดัม ฮุสเซน 

และเลิกล้มการคว่ำบาตรอิรักเสีย!

สปอเน็ค อธิบายขยายความว่า :-

“ ในฐานะเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ไม่ควรที่ใครจะคาดหวังให้ผมหุบปากนิ่งเฉยต่อสิ่งซึ่งผมตระหนักว่า เป็นโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติโดยแท้ที่ต้องหาทางยุติมันเสีย

“เราได้รับอนุมัติวงเงินสำหรับช่วยเหลือชาวอิรักแค่ ๑๘๐ ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อหัวตลอด ๖ เดือน ข้าว ของทุกอย่างต้องมาจากเงินก้อนนี้ ทั้งอาหาร  น้ำ  สุขภาพ  พลังงาน  คนเราจะมีชีวิตปกติสุขด้วยเงินแค่นั้นยังไง ไหว ?  มันเป็นไปไม่ได้เลย

“วิทยาลัยครูจะมากจะน้อยก็เรียกได้ว่าเจ๊งหมดแล้ว   ทุกอย่างชะงักหมดไม่ว่าในระดับมหาวิทยาลัยหรือ ชั้นประถมก็ตาม   โดยเฉพาะโรงเรียนประถมและมัธยมนั้นอยู่ในสภาพที่แย่มาก

“การคว่ำบาตรไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้อิรักทุกข์ยากเดือดร้อน  แต่มันก็ก่อความฉิบหายในขั้นมูลฐาน บอกได้เลยว่าต่อให้เลิกคว่ำบาตร ลู่ทางข้างหน้าในระยะใกล้ก็ไม่ดีแน่ ๆ

“จะให้ประชาชนพลเรือนชาวอิรักซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงต่อกรณีทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้องทนรับการลง โทษในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำเลยไปอีกนานสักเพียงใด ?

“เราต้องเริ่มหาทางยุติโศกนาฏกรรมของผู้คนที่นี่โดยเร็ว  มิฉะนั้น สายใยสังคมก็จะแตกสลายอย่างเร่ง เร็วยิ่ง แล้วในที่สุดเรานั่นแหละจะเป็นฝ่ายต้องจ่ายราคาซึ่งแพงหูฉี่กว่าที่เราอยากเห็นชาวอิรักจ่ายตอนนี้มาก”

แล้วกับผลทางการเมืองการทหารจากการคว่ำบาตรที่คาดหมายไว้เล่า ?

ในแง่การเมือง แทนที่ระบอบซัดดัม ฮุสเซนจะอ่อนแอลง กลับปรากฎว่าฝ่ายต่อต้านซัดดัมต่างหากที่ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง  ขณะที่ประชาชนอิรักส่วนใหญ่ก็ยิ่งสิ้นไร้อำนาจต่อรองกว่าก่อน 

ในแง่การทหาร  อดีตเจ้าหน้าที่องค์การตรวจตราอาวุธอิรักแห่งสหประชาชาติ (UNSCOM)  เช่น ริชาร์ด บัตเล่อร์ และ สก็อต ริตเตอร์ ต่างกล่าวว่าระบอบซัดดัม ฮุสเซนได้ถูกปลดอาวุธมหาประลัย (weapons of mass destruction) ไปแล้ว

ไม่มีเหตุผลใดจะคงการคว่ำบาตรอิรักทางเศรษฐกิจไว้ต่อไป  เว้นแต่อเมริกาไม่ต้องการเริ่มลดอาวุธมหา ประลัยของประเทศพันธมิตรและลูกค้าอาวุธของตนในตะวันออกกลางอาทิ อิสราเอลและตุรกี บ้างตามข้อกำหนด ต่อเนื่องในมติคณะมนตรีความมั่นคงที่ ๖๘๗ ว่าด้วยอิรัก

ด้วยเหตุนี้  ผู้นำโดดเด่นระดับโลกเช่น อดีตประธานาธิบดี เนลสัน มันเดลาและสาธุคุณ บิชอป เดสมอน ตูตู แห่งแอฟริกาใต้ จึงพากันประกาศคัดค้านการคว่ำบาตรอิรักของสหประชาชาาติอย่างเปิดเผย

ล่าสุด ภายใต้แรงกดดันของข้อมูลความจริงและเสียงประท้วงเรียกร้องของเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชา นาย  โคฟี อันนาน เลขาธิการสหประชาชาติ ก็ถึงแก่แถลงตั้งข้อสงสัยการคว่ำบาตรอิรักต่อที่ประชุมคณะมนตรีความ มั่นคงฯ เมื่อ ๒๔ มี.ค. ศกนี้เองว่า

“โครงการน้ำมันเพื่ออาหารของสหประชาชาตินั้นช่วยบรรเทาทุกข์พลเรือนอิรักได้บ้าง แต่กระนั้นความ ต้องการที่จำเป็นของพวกเขาก็ยังมิได้รับการตอบสนอง

“ สหประชาชาติอยู่ข้างผู้ล่อแหลมต่อภยันตรายและผู้อ่อนแอเสมอมา และก็พยายามหาทางบรรเทาทุกข์ คนเหล่านั้นเสมอมาด้วย   แต่กระนั้น บัดนี้เราก็กำลังถูกกล่าวหาว่าบันดาลความทุกข์ยากให้แก่ประชากรทั้งประ เทศ   เรากำลังจวนเจียนจะเถียงแพ้ หรือปราชัยในสงครามโฆษณาชวนเชื่อ - ถ้ามิใช่แพ้ไปเรียบร้อยแล้ว -  ว่าใคร รับผิดชอบต่อสถานการณ์ในอิรักกันแน่ - ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน หรือ สหประชาชาติ “

รัฐบาลอเมริกันตอบโต้เสียงทัดทานทวนกระแสเหล่านี้ด้วยการป้ายสีประณามผู้คัดค้าน เช่น นาย สปอเน็ค อย่างดุร้ายสาดเสียเทเสีย  ยืนกรานนโยบายคว่ำบาตร  ออกข่าวโจมตีอิรัก และใช้ฐานะครอบงำของตน ในคณะ กรรมการคว่ำบาตรของสหประชาชาติเตะถ่วงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามโครงการน้ำมันเพื่อ อาหารแก่อิรักทุกวิถีทาง  ขณะนี้มีสัญญาซื้อขายสินค้าตาามโครงการดังกล่าว ๑,๐๐๐ ฉบับ มูลค่า ๑,๕๐๐ ล้าน ดอลล่าร์สหรัฐฯ ถูกอเมริกาแขวนไว้ไม่มีกำหนด  ทำให้เวชภัณฑ์มูลค่า ๑๕๐ ล้านดอลล่ารฯ และอาหารอีกมาก ตกค้างไม่ถึงมือชาวอิรัก  รวมทั้งชิ้นส่วนเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันอิรักซึ่งตกอยู่ในสภาพทรุด โทรมย่ำแย่ด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่าเสียงต่อต้านการคว่ำบาตรอิรักกำลังดังขรมมาจากทั่วสารทิศ ไม่เว้นแม้แต่ในคณะ  มนตรีความมั่นคงฯเอง  ในการอภิปรายเรื่องอิรักครั้งล่าสุด  ผู้แทนมาเลเซียซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐ สมาชิกประเภทไม่ ถาวรของคณะมนตรีฯ ได้ร่วมแถลงคัดค้านการคว่ำบาตรด้วยเหตุผลว่าไม่ถูกต้องเป็นธรรมที่จะสาปส่งคนอิรักทั้ง ประเทศให้ตกอยู่ในภาวะยากจนขัดสนเช่นนี้

เพื่อนบ้านภาคีสมาชิกอาเซียนได้แสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมออกมาในเวทีโลกแล้ว  ไม่ทราบว่า ฯพณฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ผู้นับถือพระเจ้าองค์เดียวกับเด็กอิรักส่วนใหญ่ที่ตายก่อนวัยอัน ควรทั้ง ๕ แสนคน   จะว่าอย่างไร  ?

Back