ขอเว้นวรรค...WTO
คอลัมน์ จากท่าพระจันทร์ถึงสนามหลวง
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
Rangson@manager.co.th
วิกฤติการณ์การเงินยืดเยื้อมากว่า 3 ขวบปี
และไม่มีทีท่าว่าสุขภาพของระบบเศรษฐกิจไทยจะฟื้นคืนสู่สถานะปกติ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อันนำโดยนายชวน
หลีกภัย นายกรัฐมนตรี และนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หาได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า
วิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเป็นวิกฤติการณ์แห่งเส้นทางการพัฒนา
หรือวิกฤติการณ์แห่งยุทธศาสตร์การพัฒนา
รัฐบาล
พรรคประชาธิปัตย์ยังคงนำสยามรัฐนาวาบนเส้นทางที่กำกับโดยฉันทมติแห่งวอชิงตัน (Washington
Consensus) มิได้แม้แต่ทบทวน
ว่ายุทธศาสตร์การพัฒนาดังกล่าวนี้ให้ประโยชน์อะไรบ้างแก่สังคมไทย สร้าง
ภาระและต้นท ุนอะไรบ้างแก่สังคมไทย และก่อผลสุทธิในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งหรือกัดเซาะฐานรากจนก่อให้เกิดความอ่อนแอแก่สังคมไทยหรือไม่
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่าด้วยปรัชญาเศรษฐกิจแ
บบพอเพียง เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541 แม้นายกรัฐมนตรีจะน้อมเกล้าฯ
รับพระราชดำรัสดังกล่าว แต่หาได้ผลักดันปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาไม่
ข้อที่น่าสังเกตก็คือ รัฐมนตรีว่าการกร
ะทรวงการคลังมิได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
จะมีก็แต่กระทรวงมหาดไทยที่มุ่งมั่นชูนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง
(ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าเพื่อหวังประโยชน์ด้านงบประมาณแผ่นดินเป็นด้านหลัก)
และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งประกาศที่จะ
ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นฐานในการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549)
ตลอดช่วงเวลาเกือบสามขวบปีที่กุมบังเหียนการบริหารราชการแผ่นดินรัฐบาล
พรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดกุมยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเปิด (Outward
Orientation) อย่างมั่นคง โดยไม่เพียงแต่เปิดประตูการค้าสินค้า
และบริการ
และเปิดประตูการลงทุนระหว่างประเทศเท่านั้น หากยังเ ปิดประตู การเงินระหว่างประเทศ
และยึดกุมยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อ การส่งออก (Export-Oriented
Industrialization) อย่างแน่วแน่ อีกด้วย มิ ได้สนใจแม้แต่น้อยว่า ยุทธศาสตร์
"โลกานุวัตรพัฒนา" ไปด้ วยกัน ไม่ได้กับยุทธศาสตร์
"ชุมชนท้องถิ่นพัฒนา" ซึ่งยึดกุมปรัชญา "อยู่พอดี กินพอดี" ทำ
ให้สาธารณชนอดกังขามิได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความจริงใจใน การ พัฒนาประเทศไทยในแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง
เพียงไร
ยุทธศาสตร์ "โลกานุวัตรพัฒนา"
อันยึดกุมฉันทมติแห่งวอชิงตันมีข้อดี ใน การส่งเสริมการแข่งขัน
โดยหวังว่าจะเกื้อกูลให้การจัดสรรและการ ใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และประชาชนผู้บ ริโภคจะได้ประโยชน์ จากการบริโภคสินค้าราคาถูกและคุณภาพดี
แต่แนวทางเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ ทั้งการผลิต การค้า
และการลงทุนระหว่างประเทศจะเอื้ออำนวยประโยชน์ดังที่คาดหวัง
ก็ต่อเมื่อตลาดผลผลิตและตลาดปัจจัย การผลิตมีการแข่ง ขันที่สมบูรณ์ (Perfect
Competition) ข้อเท็จจริงปรากฏว่าตลาดทั้งสองประเภทนี้หาได้มีการแข่งขันที่สมบูรณ์ไม่อุตสาหกรรมที่อาศัยเทคโนโลยีที่รุดหน้ามักจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีผู้ผลิตน้อย
ราย (Oligopoly)
และผลผลิตเพิ่มขึ้นตามขนาดการประกอบการ (Increasing Returns to Scale)
การเติบใหญ่ของบรรษัทระหว่างประเทศ ซึ่งรุกคืบเข้าไปครอบงำภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
ยังผลให้มีการกระจุกตัวในการผลิตใน อุตสาหกรรมต่างๆ (Industrial
Concentration) มากขึ้น การแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ของตลาดผลผลิต ถูกซ้ำเติมด้วย
ลักษณะของตลาดปัจจัยการผลิตที่มีการ แข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดการเงิน ( Financial Market) ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศด้วยเหตุที่โลกแห่งความเป็นจริงมีการผูกขาดในอุตสาหกรรมต่างๆ
และ
มีความไม่สมบูรณ์ในตลาดการเงิน
ทั้งตลาดเงินและตลาดทุน จึงมิใช่ "โลก พระศรีอ
าริย์" ในทัศนะของสำนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิก ในสภาพการณ์ เช่น
นี้
เส้นทางเสรีนิยมทางเศรษฐกิจมิได้ให้หลักประกันว่า จะเกื้อกูลให้ระบบทุนนิยมโลกมีสวัสดิการเพิ่มขึ้น
ประเทศที่อ่อนแอกว่า ทั้งในด้านพลานุภาพท าง
เศรษฐกิจและพลานุภาพทางเทคโนโลยี
ย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องเพราะ มิอาจแข่งขันกับประเทศที่เข้มแข้งกว่าได้ การล้มละลายของร้านโชวห่วย ร้านขายของชำ และห้างสรรพสินค้าขนาดเล็ก
ซึ่งปรากฏทั่วทุก ภูมิภาค นับเป็นอุทาหรณ์ของความข้างต้นนี้ ในเมื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเหล่านี้
มิอาจแข่งขันกับเครือข่าย สาขาของ Supermarket Chains ดังเช่น
Lotus, Tops, Big C, Carrefour และ Makro เพราะนอ
กจากสายป่านทางการเงินจะสั้นกว่าแล้ว ยังต้อง จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราสูงกว่าและต้องซื้อสินค้าเข้าร้านในราคาสูงกว่าอีกด้วยธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กมิได้มีฐานะแข็งแกร่งเท่าธุรกิจของบรรษัทระหว
่างประเทศ สถาบันการเงินจึงต้องคิดอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้สูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงมากกว่า
เพื่อชดเชยความเสี่ยงอันเกิดจากการสูญหนี้ซึ่ง มีมากกว่า บางครั้งธุรกิจขนาดเล็กจำต้องกู้เงินจากตลาด
การเงินนอกระบบ
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าตลาดการเงินในระบบมาก
นอกจากนี้ ธุรกิจขนาด เล็กยังมีความสามารถในการซื้อสินค้าเข้าร้านจำนวนน้อย
จึงขาดอำนาจใน
การต่อรองราคากับผู้ผลิตหรือผู้ขายส่งอีกด้วย
ต่างก ับเครือข่ายของบรรษัทระหว่างประเทศ ซึ่งมีอำนาจต่อรองสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ
ความรู้สึกถึงความไม่สามารถในการต่อกรกับกลุ่มทุนสากลและกลุ่มทุนขนาดใหญ่
ปรากฏอย่างแพร่หลายในส่วนภูมิภาค ความข้อนี้จะเห็ นได้จาก
โลกทรรศน์ของผู้นำหอการค้าต่างจังหวัด
ซึ่งเอนเอียงไปข้างลัทธิชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Nationalism)
มากขึ้นเรื่อยๆ ในกรุงเทพฯ การ จุดปะทุความคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจกำลังก่อตัวเป็นกระแสทา
งเลือกพรรคการเมืองที่ก่อตั้งใหม่บางพรรคถึงกับชูนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม เพื่อ
เป็นทางเลือกของประชนชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง
โดยปฏิเสธองค์กรการค้าโลก ปฏิเสธกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคา รโลก และปฏิเสธ
BIS (Bank for International
Settlements) กล่าวโดยสรุปก็คือ ปฏิเสธแนวทางการพัฒนาตามฉันทมติแห่งวอชิงตันนั่นเอง
ผู้ที่มีความหาญกล้าทางจริยธรรม คงต้องยอมรับว่า สังคมเศรษฐกิจไทยม
ิอาจทนฝืนคลื่นมรสุมเศรษฐกิจเสรีนิยมได้ ระบบเศรษฐกิจไทยมิได้มี พื้นฐานอันแข็งแกร่ง
ซึ่งตรงกันข้ามกับการโฆษณาชวนเชื่อของชนชั้นปกครอง บางหมู่เหล่าและหน่วยราชการบางภาคส่วน
การเติบโตของระบบเศรษฐกิจ
ไทยท
ี่ผ่านมาเป็นการเติบโตอันเกิดจากการเพิ่มปริมาณปัจจัย การผลิตดังเช่นทุนแรงงาน
และที่ดิน หรือที่วงวิชาการเศรษฐศาสตร์เรียก ว่า
Extensive Growth มิได้เป็นการเติบโตที่เกิดจากการเพิ่มประสิทธิภาพ
การผลิต (Intensive Growth) ฐานรากทางเทคโนโลยีอ่อนแอ จนต้อง พึ่ง
พิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศเกินกว่าระดับอันสมควร
ทั้งนี้เป็นผลจากความเสื่อมโทรมของระบบการศึกษาและการขาดการพัฒนาวิทยาศาสตร์และ
เท
คโนโลยีอย่างจริงจังกลุ่มทุนไทยเติบใหญ่ภายใต้ระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ แสวงหา ส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากอภิสิทธิ์ทางการเมือง จนระบบทุนนิยมไทยมีลักษณะเป็นระบบทุนนิยมพรรคพวก
(Crony Capita lism) การฉ้อราษฎร์บังหลวงและการประพฤติมิชอบปรากฏอย่างแพร่หลายและฝังรากลึก
เหล่านักเลือกตั้งพากันแย่งชิงอำนาจการเมือง
เพื่อมุ่งปล้นชาติเป็นด้านหลังยังผลในการบั่นทอนสังคมไทย จนกลายเป็นสังคมที่
อ่อนแอ ปราศจาก
พลังในการแข่งขันและฟันฝ่าคลื่นมรสุมเศรษฐกิจเสรีนิยมประชาสังคมไทยสมควรพิจารณาทบทวนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเด็น
ที่ต้องทบทวนก็คือ
เราจะเดินบนเส้นทางที่กำกับโดยฉันทมติ แห่งวอชิงตั นต่อไปหรือไม่
หรือเราจะหันเข็มมุ่งไปตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกจาก
นี้
เรายังมีทางเลือกที่จะผสมผสานฉันทมติแห่งวอชิงตัน กับฉันทมติแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
หากเราเลือกเส้นทางที่สามนี้ เราต้องมี คำต อบคำถามพื้น
ฐานสำคัญว่า
เราจะเปิดเสรีทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ มากน้อยเพียงใด ระดับการเปิดประเทศระดับใดถือเป็นระดับอุตมภาพ
(Optimal Openness)
ในระหว่างที่เรากำลังทบทวนเส้นทางการพัฒนาใหม่ เราจำเป็น ต้องเยียวยาบาดแผลอันเกิดจากโรคเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ
โดยอาจต้องใช้เวลาตลอด
ทศวรรษ 2540 ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องขอเว้นวรรค...WTO การขอเว้นวรรค...WTO กระทำได้ด้วยการประกาศเลิกเดินหน้า
ตามเส้นทา
งเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ โดยขอหมุนเข็มนาฬิกากลับไปสู่เดือนกรกฎาคม 2540
อันเป็นกาละที่ระบบเศรษฐกิจไทยล้มป่วยด้วย โรคเสรี
นิยมทางเศรษฐกิจ
จนมิอาจเล่นเกมเศรษฐีต่อไปได้ ประเทศไทยจะเปิดเสรีการค้าในระดับเ
ดียวกับเดือนกรกฎาคม 2540 และจะไม่เปิดเสรีมากไปกว่า
นั้น
เราจะหยุดยืนอยู่กับที่ (Stand Still) บนเส้นทางเสรีนิยมทาง เศรษฐกิจ ณ จุดเดียวกับวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เราจะไม่เปิดเสรีการค้า
บริการมาก
ไปกว่
าเมื่อเราล้มหมอนนอนเสื่อ เราจะไม่ยอมรับข้อตกลงพหุภาคี ว่าด้วยการลงทุน
(Multilateral Agreement on Investment) และเราจะไม่ยอมรับ
การนำเงื่อนไขทางสังคม
(Social Clause) มาจัดระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจระห
ว่างประเทศ บรรดาพันธะที่เรามีกับ WTO, AFTA และ
APEC ใน
ประเด็นเกี่ยวกับการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ
เราจะขอเวลาทบทวนจนถึงปี 2550หากเราเห็นว่า
เราสามารถและสมควรเดินบนเส้นทางเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ
ต่อไป เร
าจะปฏิบัติตามพันธะเหล่านั้นนับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นไป กล่าวโดยสรุปก็คือ
เราขอเว้นวรรค...WTO จนถึงปี 2550
ในขณะที่เราขอยืนอยู่กับที่บนเส้นทางเสรีนิยมทางการค้า
เราขอก้าวถอยหลังบนเส้นทางเสรีนิย มทางการเงิน (Financial Liberalization)
เราต้องมีความหาญกล้าในการยอมรับความพ่ายแพ้
ความพ่ายแพ้ดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความอ่อนแอเชิงโครงสร้างของภาคเศรษฐกิจการ
เงิน
อีกส่วนหนึ่งเกิดจากควา มบกพร่องทางวิชาการและทางจริยธรรม ตลอดจนความไร้สมรรถภาพของผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
เรา มิอาจ
เดินหน้าบนเส้นทางเสรีนิยมทางการเงินต่อไปได้
และจำเป็นต้องก้าวถอยหลัง โดยการควบคุมและกำกับการเคลื่ อนย้ายเงินทุนระยะสั้น (Short-term
Capital) อย่างเข้มงวด
เราจะพิจารณาทบทวนการเดินหน้าบนเส้นทาง เสรีนิยมทางการเงิน
ก็ต่อเมื่อเรามีความสามารถในการจัดการลักษณะชีพจรลง เท้าของเงินทุนระหว่างประเทศอย่าง
มีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่เราขอเว้นวรรค...WTO เราจะไม่งอมืองอเท้ารอคอยความเมตตาของพระพรหมหรือความการุณย์ของพระสยามเทวาธิราช
หากแต่จะ เร่งฟื้นฟูสุขภาพของสังคมไทยในด้านต่างๆ
ดังต่อไปนี้ การปฏิรูประบบการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค(Macroeconomic
Management Reform) เพื่อให้มีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ
(Target Assignment) และอำนาจในการใช้เครื่องมือ (Instrument
Assignmen t) อย่างชัดเจน โดยมีการประสานการดำเนินนโยบายการคลังนโยบายการเงิน
และนโยบายการบริหารหนี้สาธารณะอย่างสอดคล้องต้องกัน การปฏิรูปธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้มีหน้าที่ความรับผิดชอบและอำนาจที่ชัด
เจน มีความเป็นอิสระในระดับอุตมภาพ (Optimal
Independence) เพิ่มพูนศักยภาพในทางวิชาการ
เพิ่มขีดความสามารถในการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน และเพิ่มความสามารถในการจัดการ
การเคลื่อนย้ายของเงินทุนระห
ว่างประเทศ การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม (Industrial
Restructuring) เพื่อขจัดการผูกขาดตัดตอน และส่งเสริมให้มีการแข่งขัน
โดยรัฐละวางการให้เงิน อุดหนุนทั้งโดยชัดแจ้ง
(Explicit Subsidy) และโดยแอบ แฝง (Implicit Subsidy)
และ เลิกให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากร
การปฏิรูประบบราชการ เพื่อลดความสูญเปล่าของทรัพยากร สร้างกลไกความรับผิด
(Accountability Mechanism) และกลไกความโปร่งใส
(Transp arency Mechanism) ป้องกันและปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงและประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด การปฏิรูปกระบวนการนิติบัญญัติ
เพื่อให้มีการตรากฎหมายที่เกื้อกูล การบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพ
แล ะการตรากฎหมายเพื่ออำนวยประโยชน์สุขแก่คนยากจนและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
รวมตลอดจนการเปลี่ยนแปลงจารีตในการตรากฎหมาย เพื่อลดทอนอำนาจในการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหารการปฏิรูปการศึกษา
เพื่อให้เยาวชน มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเอื้อ อาทรต่อชนต่ำชั้นและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ มีสำนึกทางการเมือง และมีสำนึกที่จะตอบแทนคุณของแผ่นดิน การปฏิรูปการเมือง
เพื่อให้ตลาดการเมืองมีก ารแข่งขันที่สมบูรณ์และประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
ฯลฯการเยียวยาบาดแผลอันเกิดจากโรคเสรีนิยมทางเศรษฐกิจนั้นไม่พอ จำ เป็นต้องเร่งฟื้นฟูสุขภาพด้านต่างๆ ของสังคมไทยด้วย
และการฟื้นฟู ดังกล่าวนี้ต้องอาศัยการปฏิรูปขนานใหญ่ การขอเว้นวรรค...WTO มิใช่การ
ขอเวลาเลียแผลหรือสมานแผล หากแต่เป็นการขอเวลาในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สังคมไทย
อันเป็นการเตรียมความพร้อมหากเราตัดสินใจเดิ นหน้าต่อไปบนเส้นทางเสรีนิยมทางเศรษฐกิจในอนาคต การขอเว้นวรรค...WTO จะก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่กลุ่มทุนสากล
ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
และองค์กรโลกบาลโดยมิพักต้องสงสัย ดังนั้น การขอเว้นวรรค... WTO จึงต้องมียุทธวิธีอันรัดกุม
ยุทธวิธีการขอเว้นวรรค...WTO อยู่ที่การผนึกกำลังประเทศโลกที่สามที่แพ้ภัยเสรีนิยมทางเศรษฐกิจเหมือนกัน
เพื่อต่อรองการขอเว้นวรรค...WTO
การผนึกกำลังอาจเริ่มต้นจ
ากกลุ่ม ASEAN และประเทศในอาเซียตะวันออกซึ่งป่วยเป็นโรคเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ
เหมือนกันในปัจจุบัน ผู้นำโลกที่สาม
หลายต่อหลายประเทศมีความรู้สึกว่า
ระบบเสรีนิยมทางเศรษฐกิจเกื้อประโยชน์ประเทศมหาอำนาจแล
ะกลุ่มทุนสากลยิ่งกว่าประเทศในโลกที่สาม การ
สร้างสายสัมพันธ์กับเครือข่ายขบวนการประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ
(International NGOs) เป็นอีกยุทธวิธีหนึ่งในการกดดันมิให้
ประเทศมหาอำนาจผลักดัน
การเปิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจรวดเร็วเกินไป ในขณะที่โลกที่สามยังไม่พร้อมในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก
ประเทศมหาอำนาจจะดำเนินนโยบายการกีดกันการค้าและการปกป้องอุตสาหกรรมในขณะที่ไม่มีความสามารถในการ
แข่งขันระหว่างประเทศ แต่จะชูนโยบายเศรษฐกิจเสรีเมื่อได้ประโยชน์จากการดำเนินนโยบายดังกล่าวนี้
การขอเว้นวรรค...WTO มิได้ต่างจากวิถี ปฏิบัติดังกล่าวนี้