e-Supply Chain : ซัพพลายเชนในโลกอินเตอร์เน็ต กลยุทธ์หนึ่งที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจในการทำธุรกิจยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน คือเรื่องของซัพพลายเชน (Supply Chain) หรือ ห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจหรือองค์กรในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างมาก และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายธุรกิจประสบความสำเร็จในการแข่งขัน
ในการดำเนินธุรกิจจะมี 3 กระบวนการหลักที่เกี่ยวข้องกัน คือ การซื้อ การผลิต และการขาย หากทั้งสามส่วนนี้ไม่สามารถเชื่อมต่อผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง จะเกิดความล่าช้าในการดำเนินธุรกิจ ก่อให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ และอาจเป็นอุปสรรคให้ไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่น ๆ
Supply Chain เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดหา (Procurement) การผลิต (Manufacturing) การจัดจำหน่าย (Distribution) การขนส่ง (Transportation) และการจัดเก็บ (Storage) ซึ่งเชื่อมโยงกระบวนการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันเป็นห่วงโซ่หรือเครือข่าย ให้เกิดการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้การดำเนินงานมีต้นทุนที่ต่ำและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งกระบวนการเชื่อมโยงขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันนี้ ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะขั้นตอนต่าง ๆ ในองค์กรเท่านั้น แต่ยังจะเชื่อมต่อกับองค์กรอื่นๆ ภายนอกด้วย ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า ผู้จัดหาวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายหรือร้านค้าปลีก
การบริหารจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management) เป็นการบริหารกระบวนการต่าง ๆ ใน Supply Chain ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจในการทำงานกันอย่างใกล้ชิดในขั้นตอนต่างๆ ที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันทั้งในองค์กรและนอกองค์กรเป็นสำคัญ จึงจะทำให้ระบบ Supply Chain มีประสิทธิภาพ (Efficiency) อันจะมีผลต่อการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าในที่สุด
ความเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ทำให้วิถีทางในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Business ซึ่งต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสื่อสารผ่านเครือข่ายหรืออินเตอร์เน็ตที่มีบทบาทอย่างมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ และข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วครอบคลุมทุกมุมโลกตลอดเวลา ทั้งยังมีต้นทุนในการดำเนินการต่ำ (โดยเฉพาะใช้แรงงานคนน้อยมาก)
องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่มองเห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของอินเตอร์เน็ตที่จะนำมาผนวกใช้กับระบบหริหารซัพพลายเชน (Supply Chain Management) เกิดเป็นแนวคิดใหม่เรียกว่า "อี-ซัพพลายเชน (e-Supply Chain)" เพื่อทำให้ระบบบริหารจัดการซัพพลายเชนเกิดประสิทธิผล (Effectiveness) อย่างจริงจัง เนื่องจากแต่ก่อนผู้บริหารยังเข้าไม่ถึงหัวใจของ Supply Chain จึงมักไม่ค่อยให้ความสำคัญที่จะนำมาใช้กำหนดเป็นกลยุทธ์การบริหารต้นทุน ทั้งยังเห็นว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยของการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางธุรกิจ
e-Supply Chain เป็นแนวคิดในกระแสธุรกิจแบบ e-Business ที่บริษัทหรือองค์กร รวมทั้งคู่ค้าที่มาทำธุรกิจร่วมกัน ถือเป็นทีมเดียวกัน จะต้องมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน และในกระแสการดำเนินธุรกิจที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง ทีมที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และน่าเชื่อถือเท่านั้น จึงจะได้เปรียบคู่แข่งขัน สามารถเอาชนะและอยู่รอดเป็นเบอร์หนึ่งหรืออยู่แถวหน้าได้
การจัดการระบบบริหาร Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพได้จริง จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยในการบริหาร ซึ่งการนำระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบ Supply Chain เพื่อพัฒนาระบบ Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น สามารถเห็นได้จากการส่งถ่ายและบริหารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งมีความรวดเร็วสูงสามารถโต้ตอบกันได้แบบเรียลไทม์ (Real Time) และมีต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งเป็นผลดี ช่วยให้การทำงานและประสานกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน สามารถนำทรัพยากรต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลสารสนเทศ (Information Technology) มาใช้ประโยชน์ร่วมกันในการวางแผน คาดการณ์หรือตัดสินใจ เพื่อพัฒนาทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพสูง
และเมื่อทุกกระบวนการในระบบ Supply Chain ร่วมมือร่วมใจกันอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้การบริหารธุรกิจมีต้นทุนที่ต่ำลง เพราะการบริหารและจัดการ Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง เช่น การจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ และบริการ หากบริหารงานให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ต้นทุนการซื้อและการบริการลดลง
การเชื่อมโยงข้อมูลการค้าเข้าสู่ระบบ Supply Chain ผ่านช่องทางการซื้อขายบนอินเตอร์เน็ต ช่วยให้มีทางเลือกใหม่ที่สะดวกสบายสามารถค้นหาและสั่งซื้อสินค้าและหรือบริการได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา ขณะเดียวกันช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาตัวสินค้าและหรือบริการให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริงและรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ของตลาด ทั้งยังสามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด สร้างโอกาสในการขายสินค้าและหรือบริการมากขึ้น
นอกจากนี้ การบริหารคงคลัง (Inventory Management) ทั้งสินค้าที่ผลิตแล้วเสร็จ (Finish Goods) หรือวัตถุดิบก็จะง่าย มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีต้นทุนต่ำ สินค้าหรือวัตถุดิบจะมีอยู่เต็มพอเพียงที่จะเบิกใช้ได้ตลอดเวลา ปัญหาการคงคลังจะลดน้อยลง เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่วนการจัดจำหน่ายและการขนส่งสินค้าก็จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ถูกต้องและรวดเร็วขึ้นด้วยเส้นทางที่มีต้นทุนต่ำ สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า
-::- สุดท้าย ... ผู้ประกอบการธุรกิจของคนไทยควรตื่นตัวให้ความสนใจกับเรื่อง Supply Chain Management เช่นเดียวกับกระแสการตื่นตัวและตอบรับจากองค์กรธุรกิจทั่วโลก การดำเนินกลยุทธ์การค้าแบบเก่าใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว การหันมาปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำที่สุดด้วยนโยการบริหารและจัดการซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพ จึงเป็นวิธีการที่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ เพราะการบริหารจัดการซัพพลายเชนสามารถช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้
อนาคตเชื่อกันว่า องค์กรขนาดกลางและขนาดเล็กก็สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ อี-ซัพพลายเชน (e-Supply Chain) เพื่อสร้างพลังต่อรองได้เช่นเดียวกับองค์กรขนาดใหญ่ชั้นนำทั้งหลาย
บทความเดิมจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2544 จัดทำเป็น html โดย 4iBiz เมื่อ 17 กรกฎาคม 2544 |