..........ซากุระ (Sakura) หรือชื่อในภาษาอังกฤษคือ Cherry blossoms มีรากศัพท์มาจาก Sa (เทพเจ้าแห่งข้าว) และ kura (ที่อาศัย) ดังนั้น sa-kura จึงหมายถึงที่อาศัยของเทพแห่งข้าวเมื่อท่านมาจากภูเขา เพื่อลงมายังเมืองมนุษย์ มีความเชื่อว่ากลีบซากุระที่ร่วงลงยังนาข้าวนั้นมีวิญญาณของเทพแห่งข้าว ที่จะลงมาปกคลุมยังผืนนาและทำให้ยอดของต้นข้าวเกิดขึ้นมา ชาวญี่ปุ่นยังเชื่ออีกว่าในเมล็ดข้าวก็ยังคงมีวิญญาณของเทพสถิตอยู่ ดังนั้นข้าวทุกเมล็ดจึงมีค่า และจะต้องรับประทานให้หมด และเมื่อรับประทานไปแล้ว วิญญาณของเทพจะกลับไปยังภูเขา และจะกลับมาในฤดูใบไม้ผลิถัดไปในรูปของซากุระอีกครั้ง ..........ถึงแม้จะมีซากุระอยู่หลายร้อยพันธุ์ แต่ที่นิยมมากที่สุดก็คือ Yoshino (Prunus x yedoensis) sp. ซากุระเป็นพืชที่มีการผลัดใบในฤดูใบไม้ร่วง (ราวเดือนกันยายน-พฤศจิกายน) เหลือแต่กิ่งกับต้น ในฤดูหนาว (ราวเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) และรอการผลิตดอกในต้นฤดูใบไม้ผลิ (ประมาณเดือนเมษายน) สิ่งที่สะดุดตามากก็คือ เฉพาะดอกเท่านั้นที่จะผลิบานออกมาจากกิ่ง เป็นสีชมพูทั้งต้นโดยไม่มีใบ ซึ่งวันที่ดอกซากุระบานสะพรั่งเต็มที่จะมีเพียง 1-2 วันเท่านั้น จากนั้นดอกก็จะร่วงจนหมดต้นภายใน 1 สัปดาห์ แล้วใบก็จะงอกขึ้นมาแทนที่ เหมือนต้นไม้ชนิดอื่น สิ่งที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งก็คือเวลาที่ซากุระเริ่มร่วงนั้น กลีบซากุระแต่ละกลีบจะร่วงตามแรงลมพัด ปลิวตกลงมาเหมือนฝน ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกว่า ซากุระอะเมะ (ฝนซากุระ) ซึ่งหลังจากร่วงแล้ว บนพื้นจะดูเหมือนปูพรมสีชมพู ดูสวยงามไปอีกแบบ ..........เทศกาลดูซากุระในญี่ปุ่นจะเรียกว่าฮานามิ (Hanami) คนญี่ปุ่นจะนิยมทำอาหารกล่อง (bento) ไปรับประทานใต้ต้นซากุระพร้อมกับชมความงามของมันไปด้วย ต้นซากุระนั้นไม่เพียงแต่มีดอกสวยงามอย่างเดียว ส่วนของใบยังสามารถนำไปประกอบอาหารหรือนำไปเป็นส่วนประกอบของขนมญี่ปุ่นที่เรียกว่า ซากุระโมจิ นอกจากนี้ยังมีบางพันธุ์ที่ออกผลที่มีรสหวานอร่อยที่ชื่อว่า ซากุรัมโบะ (หรือเชอรี่ญี่ปุ่น) ซึ่งจะมีช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ทางตอนเหนือของ โตเกียวแถบจังหวัดยามานาชิ จะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับซากุรัมโบะมาก ที่มา :
..........ซากุระในความคิดของคนญี่ปุ่นได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งขึ้นกับประวัติศาสตร์และสังคม รวมถึงอิทธิพลจากวรรณกรรมในสมัยนั้นด้วย ซากุระปรากฏครั้งแรกในยุคนารา ตามประวัติในหนังสือ Nihonshoki มันเกี่ยวข้องกับพิธีฉลองของจักรพรรดิ์ ในสมัยนั้นคนมักเชื่อมโยงพวกมันกับภาพลักษณ์ของหญิงสาวบริสุทธิ์ อันแสนสวยงามและทระนง ในสมัยนี้มีความนิยมในการปลูกต้นซากุระไว้ในสวน และยังให้อาณาเขตกับมันด้วย ซึ่งบ่งบอกถึงความรักของคนญี่ปุ่นที่มีต่อซากุระมาแต่สมัยโบราณแล้ว ..........ยุคเฮอัน ซากุระที่สนใจในช่วงนี้เรียกว่า Someiyoshino ซึ่งมีการพบมาตั้งแต่ยุคเอโดะ โดยซากุระชนิดนี้จะออกดอกหลังจากการปลูก 7 ปี ดอกมีสีแดงอ่อน และจากไปเกือบจะในทันทีหลังบาน ทำให้เกิดความรู้สึกถึงการจางหายไปของชีวิตจากการร่วงของดอกไม้ และเกิดการปลูกฝังแนวความคิดใหม่คือเรื่องความตาย ในสมัยเมจิ ได้มีนวนิยายของ Ichiyo Higuchi เรื่อง Yamizakura หรือ ซากุระมืด (The dark cherry blossoms) ซึ่งมีการนำเสนอชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยตายด้วยโรคหัวใจ โดยการเชื่อมโยงความสวยงามของชีวิตที่สั้นของผู้หญิงคนนั้นกับดอกซากุระที่ปลิวจากไป ..........ภาพลักษณ์ของความตายของซากุระได้พบเห็นเพิ่มเติมในวรรณกรรมอื่นด้วย มีกองทัพในญี่ปุ่นเมื่อตอนที่สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น ในเวลานั้น แนวความคิดของ Sange ได้เกิดขึ้นในกองทัพ แนวความคิดนี้คือการตายในสงครามนั้นเหมือนซากุระร่วง แนวความคิดจากการประทับความทรงจำเกี่ยวกับสงครามไว้เช่นนี้ ยังคงเห็นอยู่ในปัจจุบัน ..........มีคำพูดที่มีชื่อเสียงอันหนึ่งที่กล่าวว่า ‘ศพถูกฝังอยู่ใต้ต้นซากุระ’ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ความจริง หากแต่การกลับมาจากความตายคือสิ่งที่งดงามที่สุดของซากุระ และยังดูเหมือนว่าดอกจะยิ่งสวยงามถ้าได้รับการบำรุงจากซากศพ ..........ความสัมพันธ์ในปัจจุบันระหว่างซากุระกับคนญี่ปุ่นนั้นแตกต่างไปจากความสัมพันธ์ในยุคเมจิ หรือในทางกลับกัน มันไม่ได้หมายถึงความตายเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงการกลับมาจากความตายด้วย มีการเปรียบเทียบเรื่องราวของพระคริสต์กับซากุระ โดยเปรียบเทียบกับการบานของซากุระว่าเวลาที่สั้นนี้กับช่วงเวลาที่พระคริสต์จะสัมผัสและให้ชีวิตกับผู้คนมากมาย ดอกไม้จะต้องตายเพื่อผล (ผลไม้) ที่จะมา ดอกไม้รู้ดีว่านี้เป็นหน้าที่ของมัน ที่จะเบ่งบาน ให้ความเพลิดเพลินและตาย พระคริสต์รู้เช่นกันว่าเป็นงานของเขาที่จะเบ่งบานเพียงเพื่อที่จะตายในไม่ช้า สำหรับเขา ถ้าไม่ตายก็จะไม่มีผลเติบโตขึ้นมา สำหรับดอกไม้ความตายที่งดงามนั้นบางทีอาจกลายเป็นอาหารและนำไปสู่ความเพลิดเพลินที่หลากหลาย สำหรับพระคริสต์ร่างกายที่ได้ตายลงไปนั้นอาจจะกลับมาและเป็นจิตวิญญาณสำหรับผู้คน ..........อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเร็ว ๆ นี้ นักเขียนนวนิยายที่ปฏิเสธซากุระได้ปรากฏขึ้นคือ Ryunosuke Akutagawa และ Osamu Dazai ซึ่งเป็นนักเขียนนวนิยายที่มีชื่อเสียง พวกเขาไม่รักซากุระเหมือนคนในอดีต แถมยังเกลียดพวกมันอีกด้วย Ryunosuke Akutagawa เขียนวิจารณ์ซากุระว่ามีความหมายถึงชีวิตของคนโง่ เขาไม่เห็นด้วยกับความสวยงามของมัน เห็นแต่เพียงความไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และไม่มีคุณค่าเพียงพอในความเป็นจริง ส่วน Osamu Dazai วิจารณ์ซากุระโดยมองมันเหมือนของประหลาดและสิ่งที่น่าเบื่อ เขาคิดว่าพวกมันไม่สามารถดูให้เป็นดอกไม้ที่สวยงามได้ ..........สาเหตุที่ Ryunosuke Akutagawa และ Osamu Dazai ไม่ชอบซากุระ อาจจะเป็นเพราะความนิยมใน Someiyoshino นั้นไม่มีความสง่างามอย่างเช่นซากุระป่า นอกจากนั้นยังคงมีสาเหตุอีกอย่างที่นักเขียนนวนิยายปฏิเสธซากุระ Syonosuke Nishiyama นักเขียนผู้หนึ่งกล่าวว่า ‘มุมมองของดอกไม้เริ่มต้นขึ้นในยุคนารา’ ซากุระเคยงดงามในอดีตทว่าในปัจจุบันนั้นบรรยากาศของซากุระกลับทำให้ดูว่าเป็นสถานที่ดื่มและทำเสียงดัง สิ่งนี้เองที่ทำให้ซากุระดูเป็นสิ่งธรรมดา และทำให้เกิดความประทับใจที่ไม่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียใจมาก ..........ความสัมพันธ์ระหว่างซากุระกับชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนไปเสมอ ตั้งแต่เป็นความสว่างเจิดจ้าของชีวิตในสมัยอดีต จนถึงสมัยใหม่ที่นำลางเกี่ยวกับความตายมาให้พวกมัน และในทุกวันนี้ ผู้คนคิดว่าพวกเขาได้กลับมาจากความตาย แนวความคิดเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่มีการพัฒนามานานหลายช่วงอายุคน ที่มา :
..........ในเรื่อง X ของ Clamp หากจะสังเกตดูให้ดีแล้วจะพบว่าในฉากหลาย ๆ ฉาก ซากุระได้มีบทบาทสำคัญต่อทั้งเนื้อเรื่องและตัวละครอย่างมาก ทั้งยังให้บรรยากาศอันหลากหลายเช่นเดียวกัน ที่เห็นได้ชัดคือการใช้ซากุระแทนสัญลักษณ์ของตัวละคร ซากุระซึกะโมริ เซย์ชิโร่ ผู้แทบจะเหมาเอาภาพลักษณ์ที่มีซากุระเอาไว้ในทุกครั้งที่มีการปรากฏตัว ซากุระในที่นี้ได้กำหนดเป็นตัวแทนของตัวละคร ซึ่งแสดงถึงความลึกลับและยากจะเข้าใจของจิตใจตัวละคร ที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของกลีบซากุระที่หมุนวนในพื้นหลังอันมืดมิด และจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย . ..........ส่วนแนวความคิดต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลมาจากซากุระนั้นก็ได้มีการถ่ายทอดออกมาเช่นกัน อาทิเช่นการเล่าเรื่องลึกลับที่สื่อถึงการนำมาสู่ความตายของซากุระ จากคำพูดของซากุระซึกะโมริ เซย์ชิโร่เกี่ยวกับการที่มีศพอยู่ใต้ต้นซากุระและทำให้กลีบของดอกซากุระมีสีแดงเหมือนเลือด โดยการดูดเลือดจากศพมาเลี้ยงตัวมัน ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้สร้างความรู้สึกลี้ลับและน่าสะพรึงกลัวของความตาย และยังแฝงความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้อีกด้วย ..........หากแต่ Clamp ก็มิได้หยุดความคิดเกี่ยวกับซากุระไว้เพียงแค่นั้น กลีบซากุระที่ปลิวร่วงหล่นจากต้นคล้ายฝนซากุระให้ความรู้สึกอันอ้างว้างและเศร้าสร้อย การสื่อในรูปแบบนี้ออกมาในมุมมองของซูบารุที่มองกลีบซากุระที่กำลังร่วงลงจากต้นอย่างช้า ๆ แล้วนึกถึงใครบางคนที่พยายามอย่างยิ่งที่จะลืม หากแต่ไม่สามารถทำได้ และยังคงเฝ้ารอการกลับมาของเขาคนนั้น (กลับมาเป็นคนเดิมที่เคยรัก) ด้วยความเศร้า แม้จะรู้ดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ก็ตาม และในบางอารมณ์ยังสื่อได้ถึงความต้องการที่จะตายเพื่อใครบางคน หรืออีกนัยหนึ่ง คือตายด้วยมือคนที่รักที่สุด คล้ายกับแนวความคิดจากการอุทิศตัวเพื่อความตายอันแสนสวยงามจากการเสียสละคล้ายกับในสงคราม
..........นอกจากนั้นกลีบซากุระหลังจากความตายของซากุระสึกะโมริ และการกลับมาใหม่ของซูบารุในสภาพของมังกรธรณียังสื่อให้เห็นถึงการถือกำเนิดขึ้นใหม่จากความตาย ซึ่งออกมาในรูปแบบของการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแบบสุดขั้วจากขาวไปดำเลยทีเดียว
..........การฝันของคามุอิและฟูมะในช่วงเล่มแรก ๆ ของ X ภาพที่โคโทริถูกฆ่า และสลายไปกลายเป็นกลีบซากุระ บ่งบอกถึงความรู้สึกทั้งความเศร้า ความเสียใจ และรวมไปถึงภาพลวงตา โดยจะเน้นไปที่ความเศร้าเช่นกัน ..........ซากุระในอีกแง่มุมหนึ่งของ Clamp ที่ต่างออกไปจากตัวอย่างที่ยกมาก็คือซากุระที่ใช้แสดงถึง ‘ความหลังอันงดงามที่น่าจดจำ’ แม้มันอาจจะทำให้รู้สึกเศร้าเมื่อได้คิดถึง แต่ก็ยังทำให้รู้สึกดีแฝงอยู่ด้วย ซึ่งจะเป็นได้จากภาพต้นซากุระขนาดใหญ่ที่คามุอิกับฟูมะและโคโทริเคยเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก ภาพความทรงจำอันงดงามของซากุระที่เป็นฉากหลังจะเสริมให้รู้สึกถึงความอบอุ่นและมีความสุข
..........กล่าวโดยรวมแล้ว ภาพลักษณ์ส่วนใหญ่ของซากุระในความคิดของ Clamp มักจะพกพามาพร้อมกับความเศร้าและความตาย กลีบที่ปลิวหายไปในความมืดมิดสร้างอารมณ์ที่ดูลึกลับและสะเทือนใจในทีให้กับผู้อ่าน แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะ Clamp ยังคงสามารถนำเสนอซากุระในมุมมองที่แตกต่างออกไปได้อย่างเช่นการกลับมาจากความตาย การเป็นเพียงมายาภาพ หรือความทรงจำที่มีความสุข สิ่งเหล่านี้ได้เพิ่มเสน่ห์และอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดให้กับตัวละคร และสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านไม่รู้ลืม
|