มีนิทานเล่าว่า ชายหนุ่มผู้หนึ่งมาฝึกบำเพ็ญตบะกับอาจารย์
หลังจากฝึกมาได้หลายปี อาจารย์เห็นว่าศิษย์มีความสามารถแก่กล้าแล้ว
จึงอนุญาติให้ไปบำเพ็ญพรตแต่ผู้เดียวในอีกแคว้นหนึ่ง
หนุ่มผู้นั้นมาปลูกกระท่อมนอกหมู่บ้าน
แล้ววันหนึ่งก็พบเสื้อของตนซึ่งมีอยู่เพียงตัวเดียว มีรอยหนูกัดล้ว
พอปะชุนแล้ว วันต่อมาหนูก็ยังมากัดอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาคิดหาทางแก้อยู่หลายวัน ในที่สุดก็ไปหาแมวมาปราบหนูล้วซ
แต่เมื่อได้แมวมา เขาก็ต้องไปหานมมาเลี้ยงแมวด้วย
หลังจากไปขอนมวัวจากชาวบ้านอยู่เดือนหนึ่ง
ก็คิดว่าแทนที่จะเดินไปขอนมในหมู่บ้าน สู้หาวัวมาเลี้ยงดีกว่า
ครั้นหาวัวมาเลี้ยงแล้วก็ต้องหาหญ้าให้มันด้วย
เนื่องจากไม่ต้องการเสียเวลาบำเพ็ญพรต
เขาก็เลยไปจ้างลูกสาวชาวบ้านมาเกี่ยวหญ้าให้วัว
ผ่านไปหลายเดือน เงินที่ขอทานจากชาวบ้านก็ร่อยหรอไปเกือบหมด
ก็เลยหาทางออกด้วยการแต่งงานกับสาวเสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียเงินจ้าง
เมื่อมีสาวอยู่แล้ว ก็ต้องช่วยกันทำมาหากิน
ในที่สุดก็เลยเลิกบำเพ็ญพรต กลายมาเป็นพ่อค้า หากินจนร่ำรวย
แล้ววันหนึ่งอาจารย์ก็มาเยี่ยม พอเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหน้าเป็นหลังมือ
อาจารย์ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ชายผู้นั้นอธิบายว่า
"นี่เป็นวิธีที่ผมจะรักษาเสื้อของผมน่ะครับ"
นิทานเรื่องนี้สอนอะไร ?
แน่นอนว่านิทานเรื่องนี้สอนว่าอย่าริมีเสื้อ
หรืออย่ารักษาเสื้อ
แก่นของเรื่องน่าจะอยู่ตรงที่วิธีการรักษาเสื้อมากกว่า
การรักษาเสื้อนั้นมีหลายวิธี
แต่ตัวเอกของเรื่องรักษาเสื้อด้วยการหา "เครื่องทุ่นแรง"
หรือวิธีทำให้เหนื่อยน้อยที่สุด เช่น หาแมวมาจัดการกับหนู
แทนที่จะทำตู้ใส่เสื้อ หรือทำกับดักหนู
แต่ปรากฏว่าวิธีดังกล่าวแม้จะแก้ปัญหาหนึ่งได้
กลับสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาแทน
และเมื่อแก้ด้วยวิธีที่คิดว่าสะดวกสบายที่สุด
ก็มีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก
จนในที่สุดชีวิตก็ค่อยๆ คลาดเคลื่อนจากจุดหมายเดิมจนผันแปรไป
กลายเป็นว่าแทนที่เสื้อจะช่วยรับใช้ชีวิตนักพรต
กลับต้องละทิ้งชีวิตนักพรตเพื่อรับใช้เสื้อ
ถ้าหากมองให้ลึกแล้วนิทานเรื่องนี้สอนว่า
ความสะดวกสบายนั้นไม่เคยได้มาเปล่าๆ
เมื่อได้ความสะดวกสบายในเรื่องหนึ่ง
ก็ต้องเกิดความไม่สะดวกสบายในอีกเรื่องหนึ่งพ่วงติดมา
ในทำนองเดียวกัน เคยสงสัยไหมว่าในสังคมที่เจริญมั่งคั่ง
เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
ผู้คนกลับมีเวลาว่างน้อยกว่าชาวบ้านในชนบทที่แทบไม่มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลาเลย
ส่วนหนึ่งก็เพราะเสียเวลาไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย
ไม่ว่ารถยนต์ โทรทัศน์ วีดีโอ โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์น
เพราะไหนจะต้องเสียเวลาหาเงินเพื่อซื้อสิ่งเหล่านั้นมาอำนวยความสะดวก
แต่เราก็จะต้องเสียเวลาในการที่จะดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน
ตัวอย่างชัดเจนคือ รถยนต์
เราได้รับความสะดวกสบายจากรถยนต์หลายอย่าง
โดยเฉพาะการทุ่นเวลาในการเดินทาง แต่ใครที่มีรถยนต์ก็ย่อมรู้ว่าย
มันนำภาระและความไม่สะดวกสบายมาให้แก่เจ้าของหลายอย่าง
ไหนจะต้องดูแลรักษาและเช็ดล้างเป็นอาจิณ
ไหนจะต้องวุ่นวายกับการหาที่จอดรถ
ไหนจะต้องมีภาระการเงินเพิ่มขึ้น
และไหนจะต้องคอยป้องกันไม่ให้ใครมาทำอะไรมัน (เช่น ขูดสี หรือลักขโมย)
เมื่อชีวิตยุ่งเหยิงวุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตนเองแล้ว
ความสุขจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร มีแต่จะลดลง
สิ่งอำนวยความสะดวกช่วยให้ชีวิตมีความสุขในระดับหนึ่งเท่านั้น
นี้คือเหตุผลประการหนึ่งที่คนพอมีพอกินมีความสุขมากกว่าคนที่หาเช้ากินค่ำ
แต่ถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเกินขีดหนึ่งไปแล้ว
ความสุขก็มีแนวโน้มแต่จะลดลง
ถ้ารวมเงินทองและความสุขสบายที่หดหายไปแล้ว
คุณล่ะคิดว่าจะอันไหนมันจะคุ้มค่ากว่ากัน |