ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร |
คุณรู้จักยาสมุนไพรดีแค่ไหน
? ก่อนอื่นเราต้องมาทราบความหมายกันก่อนว่า
ยาสมุนไพรคืออะไร ตามพระราช บัญญัติยา (พ.ศ.2510) ได้ให้ความหมายว่า
ยาสมุนไพรคือ ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือ แร่ ซึ่งมิได้ผสม ปรุง หรือแปร สภาพ ยาสมุนไพรนั้นมีมานานแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการกล่าวขานบันทึกเรื่องราวและใช้สืบทอดกันมา สมุนไพรเป็น ยารักษาโรคที่ได้ตามธรรมชาติหาได้ง่าย
ใช้รักษาได้ผลดี มีพิษน้อย และสมุนไพรหลายชนิด
เราก็ใช้เป็นอาหารประจำวัน อยู่แล้ว เช่น ขิง ข่า กระเทียม ตะไคร้ กระเพรา เป็นต้น
ชีวิตประจำวันเราผูกพันกับสมุนไพรทั้งในรูปของอาหารและเป็น ยารักษาโรค
พืชแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณในการรักษาแตกต่างกันตามส่วนต่าง ๆ ของพืช ดังนั้น เราจึงต้อง มาทำความรู้จักกับส่วนประกอบของพืชสมุนไพรกันเสียก่อนว่าในแต่ละส่วนนั้นมีอะไรบ้างและใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
ส่วนประกอบของพืชสมุนไพร |
1.
ราก : จะมีหน้าที่สะสมและดูดซึมอาหารมาเลี้ยงบำรุงต้นพืช
ลักษณะของรากมีทั้งรากแท้และรากฝอย การสัง เกตรากนั้นควรดูทั้งรากสดและรากแห้ง ลักษณะภายนอกขนาดของราก
ความเปราะของเนื้อราก สี กลิ่น รสของราก การที่จะจำแนกราก สมุนไพรต้องใช้ความชำนาญ
พืชสมุนไพรทั่วไปเราจะสังเกตอย่างคร่าว ๆ และจดจำไว้แต่ถ้า สมุนไพรที่ใช้รากมาทำยาจำเป็นต้องสังเกตอย่างละเอียด
เพื่อที่จะไม่เก็บสมุนไพรผิดต้นไปรักษาโรค สมุนไพรส่วน ที่ใช้ราก เช่น กระชาย แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ปลาไหลเผือก แก้ไข้ มะละกอ ใช้ขับปัสสาวะ เป็นต้น
2.
ลำต้น : เป็นโครงค้ำที่สำคัญของพืช
ปกติเกิดบนดินหรือมีบางส่วนอยู่ใต้ดิน จะประกอบด้วยตา ข้อ และปล้อง ซึ่งจะ
แบ่งตามลักษณะภายนอก เช่น ประเภทไม้ยืนต้นไม้พุ่มประเภทหญ้า ประเภทไม้เลื้อย
เป็นต้น การสังเกตลำต้น ดูว่า ลำตันของพืชมีลักษณะเป็นอย่างไร ลักษณะตา ข้อ
และปล้อง เป็นอย่างไร แตกต่างจากลำต้นของ ต้นพืชอื่นอย่างไร สมุนไพรส่วนที่ใช้ลำต้นเป็นยา
เช่น อ้อยแดง ใช้แก้อาการขัดเบา ชิงช้าชาลี บอระเพ็ด ใช้แก้ไข้ เป็นต้น
3.
ใบ : เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพืช
สังเกตรูปร่างของใบ ปลาย ริม เส้น และเนื้อของใย อย่างละเอียด และอาจ เปรียบเทียบลักษณะของใบที่คล้ายคลึงกันจะทำให้จำแนกใบได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สมุนไพรที่ใช้ใบเป็นยา เช่น กระเพรา ใช้ได้ทั้งใบสดหรือใบแห้งแก้ปวดท้อง ท้องขึ้นจุกเสียด
ขี้เหล็ก รักษาอาการท้องผูก ใบชุมเห็ดเทศ ขยี้หรือ ตำในครก ให้ละเอียดเติมน้ำเล็กน้อย
ใชัรักษาโรคกลากได้
4.
ดอก : ส่วนประกอบของดอกมีความแตกต่างกัน
สังเกตลักษณะอย่างละเอียด เช่น กลีบดอกจำนวนกลีบดอก การ เรียงตัวของกลีบดอก
รูปร่างของกลีบดอก สีกลิ่น เป็นต้น ส่วนของดอกที่ใช้เป็นยา เช่น กานพลู
น้ำมันหอมระเหย ในดอกกานพลู มีฤทธิ์ขับลมฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์ขับพยาธิ ดีปลี
แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น
5.
ผล : ผลที่เป็นยา เช่น มะเกลือ ดีปลี
มะแว้งต้น กระวาน เป็นต้น สังเกตลักษณะผลทั้งภายนอกและภายใน นอกจาก ผลไม้เมล็ดภายในผลยังอาจเป็นยาได้อีก
เช่น สะแกฟักทอง ฉะนั้นในการสังเกตลักษณะของผล ควรสังเกตลักษณะ
รูปร่างของเมล็ดไปพร้อมกันด้วย
ส่วนประกอบของพืชสมุนไพรนั้น เราสามารถนำมาใช้ได้ทุกส่วน
ตัวยาในพืชสมุนไพรนั้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
คำนึงถึงชนิดของยาว่าถูกต้องหรือไม่ ส่วนไหนของพืชที่ใช้เป็นยา ราก ลำต้น ใบ ดอก
หรือผล พื้นดินที่ปลูก อากาศ การเก็บในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม
การเลือกเก็บยาอย่างถูกวิธีนั้น ก็จะมีผลต่อคุณภาพหรือฤทธิ์
ของยาที่จะนำมารักษาโรคด้วย เราจึงต้องมีหลักเกณฑ์ในการเก็บสมุนไพรอย่างถูกวิธีเพื่อให้ได้ยาที่มีคุณภาพ
หลักการทั่วไปในการเก็บสมุนไพร |
1.
ประเภทรากหรือหัวเก็บในช่วงที่พืชหยุดเจริญเติบโต
ใบ ดอกร่วงหมด หรือในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูร้อน เพราะช่วงนี้ ราก หัว มีการสะสมปริมาณของตัวยาไว้ค่อนข้างสูง
วิธีการเก็บใช้วิธีการขุดอย่างระมัดระวัง เช่น กระชาย กระทือ ข่า เป็นต้น
2.
ประเภทใบหรือเก็บทั้งต้น
ควรเก็บในช่วงที่พืชเจริญเติบโตมากที่สุด หรือในช่วงที่ดอกตูม เริ่มบาน
หรืออาจเก็บ ในช่วงที่ดอกบาน ผลยังไม่สุกก็ได้ วิธีเก็บใช้เด็ด เช่น กระเพรา ขลู่
ฝรั่ง ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น
3.
ประเภทเปลือกต้นและเปลือกราก
เปลือกต้นโดยมากเก็บระหว่างช่วงฤดูร้อนต่อกับฤดูฝน ปริมาณยาในพืชสูง และลอกออกง่าย
สำหรับการลอกเปลือกต้นนั้นอย่าลอกออกทั้งรอบต้น เพราะจะ ทำให้พืชตายได้
ทางที่ดีควรลอก จากส่วนกิ่งหรือแขนงย่อยไม่ควรลอกออกจากลำต้นใหญ่ของต้นไม้ ส่วนเปลือกรากเก็บในช่วงต้นฤดูฝนเหมาะที่สุด
4.
ประเภทดอก
เก็บในช่วงดอกเริ่มบาน แต่บางอย่างเก็บในช่วงดอกตูม เช่น กานพลู เป็นต้น
5.
ประเภทผลและเมล็ด
พืชสมุนไพรบางชนิดอาจเก็บในช่วงผลยังไม่สุก เช่น ฝรั่ง เก็บผลอ่อนใช้แก้ท้องร่วง
ผลแก่เต็มที่ เช่น มะแว้งต้น มะแว้งเครือ ดีปลี เมล็ดฟักทอง เมล็ดชุมเห็ดไทย
เมล็ดสะแก เป็นต้น
เมื่อเรารู้หลักทั่วไปในการเก็บส่วนต่าง
ๆ ของพืชมาทำยานั้น
ก็จะทำให้เราเลือกเก็บสมุนไพร และใช้ประโยชน์ ส่วนต่าง ๆ ของพืชได้อย่างคุ้มค่า
ใช้เวลาในการเก็บที่เหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด
คำแนะนำและการป้องกันอันตรายจากการใช้ยาสมุนไพร |
1.
ต้องได้รับการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องเสียก่อน
ให้รู้ว่าเป็นโรคอะไรจะได้เลือกใช้ยา ให้ถูกกับโรค ถ้ายาใดไม่เคยกิน มาก่อนเลย ควรเริ่มกินในขนาดน้อย
ๆ ก่อน รอดูว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายหรือไม่ ถ้าไม่จึงค่อยกินต่อไป
2.
ศึกษาใช้ยาสมุนไพรให้ถูกชนิด
เพราะยาสมุนไพรมีชื่อท้องถิ่นแตกต่างกัน และยังมีชื่อพ้องและซ้ำอีก คือสมุนไพร
ชื่อเดียวกัน แต่เป็นคนละชนิด การรู้จักชื่อแต่ไม่รู้จักลักษณะของต้นไม้เหล่านี้
จะทำให้เกิดความผิดพลาด และอาจเกิด อันตรายจากการใช้ยาผิดชนิดได้
3.
ต้องใช้สมุนไพรให้ถูกส่วน
หรือถูกอายุ เช่น ผลฝรั่ง ใช้รับประทานรักษาอาการท้องเดิน ผลฝรั่งสุก เป็นยาระบาย เปลือกผลทับทิมรักษาโรคท้องเดิน
เปลือกรากหรือเปลือกทับทิมใช้ถ่ายพยาธิ เด็กและคนชราห้ามใช้ยามาก เพราะมี
กำลังต้านทานน้อย
4.
ใช้ให้ถูกขนาด
ขนาดยามีความสำคัญมาก เพราะถ้าใช้น้อยไปก็ไม่ได้ผล ใช้มากไปก็อาจจะเป็นพิษได้
5.
ต้องใช้ให้ถูกวิธี
ถ้าผิดวิธีอาจเกิดพิษ เช่น ใบชุมเห็ดเทศ ใช้เป็นยาระบาย ต้องปิ้งไฟ ก่อนนำไปชงน้ำ
ถ้าไม่ปิ้งไฟ อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ควรรู้พิษของยาก่อนใช้
เพื่อที่จะได้ระมัดระวังการใช้มากขึ้น
6.
การใช้ยาครั้งแรก
ไม่ว่ายานั้นจะเป็นยาภายนอกหรือยารับประทาน ให้ทดลองใช้แต่น้อยก่อน ถ้าเป็นยาทาก็ทา
เฉพาะบริเวณแคบ ๆ ถ้าเป็นยารับประทานก็ลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง เพราะถ้าแพ้ยา
อาการจะได้ไม่รุนแรงมากนัก
7.
การรับประทานยาสมุนไพรนี้
ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยปกติรับประทานยา 2 - 3 วัน อาการ ไม่ดีขึ้น
ควรปรึกษาแพทย์แผนโบราณ เพราะอาจต้องเปลี่ยนยา เพราะยานั้นไม่ถูกกับโรค
และการรับประทานยาติด ต่อกันเป็นเวลานานอาจเกิดการสะสมสิ่งที่เป็นพิษแก่ร่างกายได้
การนำสมุนไพรมาใช้และเก็บรักษานั้น ควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการนำส่วนต่าง ๆ ของพืช
มาใช้ เช่น ราก ลำต้น ใบ ดอก และผล
ควรล้างทำความสะอาดส่วนของสมุนไพรที่ จะใช้ก่อน เพื่อป้องกันสิ่งปลอมปน รวมทั้ง ภาชนะทุกชนิดที่ใช้ในการปรุงยา
ตลอดจนความสะอาดของ ผู้ปรุงยาเอง
ส่วนสมุนไพรที่เหลือใช้อาจทำเป็นสมุนไพร แห้งได้ โดยทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้ง เก็บในภาชนะปิดสนิทกันฝุ่นละออง ส่วนขนาดที่ใช้นั้นเป็นขนาดสำหรับผู้ใหญ่
ถ้าเป็นเด็กก็ควรลดลงตามส่วน
ความหมายของคำที่ควรทราบ |
1.
ใบเพสลาด : หมายถึงใบไม้ที่จวนแก่
2.
ทั้งห้า : หมายถึงส่วนของราก ต้น ผล ใบ ดอก
3.
เหล้า : หมายถึงเหล้าโรง (28 ดีกรี)
4.
แอลกอฮอล์ : หมายถึง แอลกอฮอล์ชนิดสีขาวสำหรับผสมยา
ห้ามใช้แอลกอฮอล์ชนิดจุดไฟ
5.
น้ำปูนใส : หมายถึง น้ำยาที่ทำขึ้นโดยการนำปูนที่รับประทานกับหมากมาละลายน้ำสะอาดตั้งทิ้งไว้
แล้วรินน้ำใสมาใช้
6.
ต้มเอาน้ำดื่ม : หมายถึง ต้มสมุนไพรด้วยการใช้น้ำพอประมาณ
หรือสามเท่าของปริมาณที่ต้องการใช้ต้มพอเดือดอ่อน ๆ ให้เหลือ 1 ส่วน จาก 3 ส่วน ข้างต้น รินเอาน้ำดื่มตามขนาด
7.
ชงน้ำดื่ม : หมายถึง ใส่น้ำเดือดหรือน้ำร้อนจัดลงบนสมุนไพรที่อยู่ในภาชนะปิดฝา
ทิ้งไว้สักครู่จึงใช้ดื่ม
การเทียบปริมาตรและปริมาณ |
1 กอบมือ มีปริมาณเท่ากับสองฝ่ามือ หรือหมายความรวมถึงปริมาณของสมุนไพรที่ได้จากการใช้มือทั้งสองกอบเข้าหากันให้ส่วนของปลายนิ้วแตะกัน
1 กำมือ มีปริมาณเท่ากับสี่หยิบมือ หรือหมายความรวมถึงปริมาณของสมุนไพรที่ได้จากการใช้มือข้างเดียวกำ โดยให้ปลายนิ้วจรดอุ้งมือโหย่ง ๆ
1 ถ้วยแก้ว มีปริมาตรเท่ากับ 250 มิลลิลิตร
1 ถ้วยชา มีปริมาตรเท่ากับ 25 มิลลิลิตร
1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาตรเท่ากับ 15 มิลลิลิตร
1 ช้อนคาว มีปริมาตรเท่ากับ 8 มิลลิลิตร
1 ช้อนชา มีปริมาตรเท่ากับ 5 มิลลิลิตร
]
ตัวอย่างสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการต่าง ๆ เช่น |
สมุนไพรที่ใช้แก้อาการท้องผูก : ได้แก่ มะขามแขก ชุมเห็ดเทศ คูณ สมอไทย มะกา แมงลัก เป็นต้น
สมุนไพรที่ใช้แก้อาการท้องผูก
ท้องเฟ้อ และปวดท้อง : ได้แก่ กระวาน เร่ว เปราะหอม กานพลู ข่า กระเทียม เป็นต้น
สมุนไพรที่แก้อาการท้องเดิน (ที่ไม่ใช่เป็นบิด หรืออหิวาตกโรค): ได้แก่ ทับทิม มังคุด แคบ้าน มะขาม กล้วย เป็นต้น
สมุนไพรที่ใช้ถ่ายพยาธิลำไส้ : ได้แก่ มะเกลือ มะหาด
สะแก ฟักทอง เป็นต้น
สมุนไพรที่ใช้แก้บิด
(ปวดเบ่ง และมีมูก หรืออาจมีเลือดปนด้วย): ได้แก่ น้ำนมราชสีห์
กระชาย กระทือ ทับทิม เป็นต้น
สมุนไพรที่ใช้แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน (เกิดจากธาตุไม่ปกติ): ได้แก่ ยอ ข่า ดีปลี ตะไคร้ เป็นต้น
สมุนไพรที่ใช้แก้ไอและขับเสมหะ: ได้แก่ มะแว้งต้น มะแว้งเครือ ดีปลี มะนาว เป็นต้น
สมุนไพรที่ใช้แก้ไข้ : ได้แก่ บอระเพ็ด ปลาไหลเผือก ย่านาง ลูกใต้ใบ ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น
ยาสมุนไพรมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับยารักษาโรคทั่วไป
คือมีทั้งคุณและโทษประกอบกัน ดังนั้น การใช้ยา
สมุนไพรจึงต้องมีความระมัดระวังดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คือใช้ให้ถูกกับโรค ใช้ให้ถูกขนาด และใช้ให้ถูกวิธี แต่
ถ้ามีอาการแพ้ หรือใช้ไม่ถูกกับโรคควรหยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น
หรือถ้าแพ้ รุนแรงควรไปรับการรักษาที่สถานี
อนามัยและโรงพยาบาล
อาการแพ้ที่เกิดจากยาสมุนไพร ที่พอจะสังเกตได้มีดังนี้ |
ผื่นขึ้นตามผิวหนัง
อาจเป็นตุ่มเล็ก ตุ่มโต เป็นปื้นหรือเป็นเม็ดแบนคล้ายลมพิษ
อาจบวม ที่ตา (ตาปิด) หรือริมฝีปาก (ปากเจ่อ) หรือมีเพียงดวงสีแดงที่ผิวหนัง
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง)
หูอื้อ ตามัว ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง
ประสาทความรู้สึกทำงานไวเกินปกติ
เช่น เพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ ลูบผมก็แสบหนังศีรษะ
เป็นต้น
ใจสั่น ใจเต้น หรือรู้สึกวูบวาบคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น และเป็นบ่อย ๆ ตัวเหลือง
ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลือง
เขย่าเกิดฟองสีเหลือง
(เป็นอาการของดีซ่าน) อาการนี้แสดงถึงอันตรายร้ายแรงต้องรีบไปหาแพทย์
เมื่อเราได้รู้จักยาสมุนไพรดีขึ้นแล้วก็คงจะใช้ยาสมุนไพรได้อย่างมีคุณค่า สมุนไพรเป็นทั้งศาสตร์และ ศิลป์อย่างหนึ่งที่ต้องมีการเรียนรู้ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ถ้าไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าเพื่อที่ จะใช้ยาสมุนไพรได้อย่างปลอดภัย
บรรณานุกรม
|
1.
รุจินาถ อรรถสิษฐ
และคณะ : สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐานสำหรับบุคลากรสาธารณสุข
สำนักงานคณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุข
พิมพ์ครั้งที่ 2 โรงพิมพ์องค์การทหารผ่านศึก,
2533.
2.
ดรุณ เพ็ชรพลาย
และคณะ : สมุนไพรพื้นบ้าน กองวิจัยและพัฒนาสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์ครั้งที่ 2, 2537.
3.
กลุ่มนิติการ : รวมกฎหมายอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาพิมพ์ครั้งที่ 2, 2537.
4.
มูลนิธิโกมลคีมทอง
: สมุนไพรชาวบ้าน สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง กรุงเทพ, 2527.