ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยาเฟนิลโปรปาโนลามีน

ความเป็นมา
         ยาเฟนิลโปรปาโนลามีน (Phenylpropanolamine) หรือเรียกย่อ ๆ ว่าพีพีเอ (PPA) ได้นำมาใช้ในทางการแพทย์ประมาณ 30 ปีมาแล้ว ระยะแรกพบว่าใช้ได้ผลในการลดอาการคัดจมูก ต่อมาพบว่าสามารถใช้เป็นยาลดความอยากอาหารได้ ในสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ยานี้ทั้งเป็นยาแก้หวัดและยาลดความอ้วน ทั้งโดยการสั่งของแพทย์ และวางขายได้ทั่วไป (Over The Counter : OTC) ยาดังกล่าวมีรายงานประปรายเรื่อง อันตรายที่อาจทำให้เลือดออกในสมอง (Hemorrhagic stroke) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา จึงแนะนำให้บริษัทยาให้ทุนทำการศึกษาวิจัย เพื่อพิสูจน์ด้านความปลอดภัยดังกล่าว ซึ่งมีการศึกษาวิจัยสองครั้งในอดีต แต่ไม่สามารถสรุปผลได้ เนื่องจากเป็นการศึกษาวิจัยที่ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ ต่อมาจึงมีการให้ทุนคณะผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยเยลทำการศึกษา ได้ผลสรุปว่า อุบัติการณ์การเกิดเลือดออกในสมองมีความสัมพันธ์กับการใช้ยาพีพีเอ
         สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา พิจารณารายงานดังกล่าวแล้วมีมติว่า ยาพีพีเอ ไม่ปลอดภัยทั้งในฐานะยา OTC และยาที่สั่งโดยแพทย์ จึงแนะนำให้ผู้ผลิตปรับเปลี่ยนสูตรตำรับยาโดยอาจใช้ยาอื่นแทนพีพีเอ ด้วยเหตุผลสำคัญคือ อันตรายที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงสูง (Serious) ไม่สามารถแก้ไขให้คืนสภาพดีดังเดิมได้ (Irreversible) และไม่สามารถคาดคะเนได้ว่า จะเกิดขึ้นกับผู้ใด ในขนาดเท่าใด (Unpredictable)

การดำเนินการของ อย.
         1. อย. ได้ประสานงานกับหน่วยงานภายในและต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์ในประเทศไทย เพื่อประเมินความเสี่ยงจากการเกิดอันตรายในการใช้ยาดังกล่าว
         2. รวบรวมข้อมูลสูตรตำรับยาทั้งหมดที่มีส่วนผสมของพีพีเอ เพื่อประเมินสถานการณ์ความรุนแรงและขนาดของปัญหา
         3. นำข้อมูลทั้งหมดเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมอันตรายในการใช้ยา เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 เพื่อพิจารณาในด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคและเสนอแนวทางกำหนด มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นควรเสนอคณะกรรมการยาพิจารณานำยาพีพีเอ ออกจากสูตร ตำรับยาที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ในประเทศไทยทุกตำรับ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ทั้งนี้ขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด คณะกรรมการยาจะพิจารณาความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าวในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 และจะสรุปความเห็นเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในลำดับต่อไป
         4. อย. ได้นำเสนอข้อมูลการดำเนินการ และคำแนะนำสำหรับผู้บริโภคผ่านสื่อมวลชนทางวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ พร้อมทั้งให้บริการข้อมูลรายชื่อยาแก้หวัดคัดจมูกที่มีส่วนประกอบยาพีพีเอ และยาที่ไม่มี พีพีเอ ผ่าน Website : www.fda.moph.go.th และให้ข้อมูลผ่านสายด่วนผู้บริโภค หมายเลข 1556 พร้อมทั้งบริการตอบข้อสงสัยทางโทรศัพท์ โดย เจ้าหน้าที่กองควบคุมยา หมายเลขโทรศัพท์ 5907165 - 7 , 5907191 หรือหมายเลข ร้องเรียนของ อย. โทร. 5907354 ในเวลาราชการ
         5. ข้อแนะนำในเบื้องต้น ในกรณีผู้ที่มีอาการเป็นหวัด คัดจมูก และมีความจำเป็นต้องใช้ยาในขณะนี้ ควรหลีกเลี่ยงยาผสมที่มีส่วนประกอบพีพีเอ โดยสังเกตได้จากรายละเอียดบนฉลากหรือเอกสารกำกับยา หากมีปัญหาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
         6. อย. ได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ และเภสัชกร ให้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้บริการคำปรึกษาและแนะนำที่ถูกต้องแก่ประชาชนทั่วไป