ทำนองเพลงพระราชนิพนธ์
"จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมท
โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ"
"แสงเทียน"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ "แสงเทียน" เป็นเพลงแรกในแนวของเพลงบลูส์
ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของดนตรีแจ๊ส นักข่าวชาวอเมริกันได้กราบบังคมทูลถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักดนตรีแจ๊สจริงหรือไม่
และโปรดดนตรีประเภทใดมากที่สุด มีพระราชดำรัสตอบว่า "ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า
จะเป็นแจ๊สหรือไม่แจ๊สก็ตาม ดนตรีล้วนอยู่ในตัวคนทุกคน เป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา
สำหรับข้าพเจ้า คนตรีคือสิ่งประณีตงดงามและทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทุกประเภท
เพราะว่าดนตรีแต่ละประเภทต่างก็มีความเหมาะสมตามแต่โอกาส และอารมณ์ที่ต่างๆ กันไป
เมื่อพูดถึงการเล่นดนตรี ก็ต่างกันอีก ถ้าข้าพเจ้าเล่นเพลงคลาสสิก และมีใครทำเสียงดังอย่างงี้ก็เป็นการรบกวน
เพราะว่าดนตรีคลาสสิกต้องเล่นอย่างตั้งใจจริงจัง ข้าพเจ้าไม่ได้พักผ่อนเท่าไรนัก
ต้องคอยระวังไม่ให้ผิดโน้µและไม่ให้ใครมารบกวนข้าพเจ้าถ้าหากว่าข้าพเจ้าต้องเล่นเพลงแจ๊ส
ก็ดีกว่า
เพราะว่าข้าพเจ้าเล่นทำนองได้ตามใจชอบ
ตามที่รู้สึกในขณะนั้น ตามแต่อารมณ์และความนึกคิดของข้าพเจ้าจะพาไป ถ้าใครจะมาทำเสียงดังเวลานั้น
ข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็น เสียงประกอบ และถ้าข้าพเจ้าเล่นผิดโน้ต ก็เท่ากับว่า ข้าพเจ้าแต่งทำนองนั้นขึ้นเองในปัจจุบัน
เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่ขณะประทับอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเมื่อเสด็จฯ
นิวัตพระนครใหม่ๆ นั้น เป็นเพลงในแนว "บลูส์" (Blues) ซึ่งเป็นสไตล์หนึ่งของดนตรีแจ๊ส
ที่เริ่มเป็นที่นิยมในสหรัฐตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) เสียงโน้ตที่แปร่งหูในแนวบลูส์
และช่วงจังหวะที่ขัดธรรมชาติของเพลงในบางครั้ง ได้สร้างมิติใหม่ให้แก่วงการเพลงในยุคนั้น
ความรู้สึกของการขัดแย้งของเสียงและจังหวะนี่เอง ที่ทำให้ดนตรีแจ๊สมีรสชาติตื่นเต้น
แตกต่างไปจากแนวทางดนตรีดั้งเดิมของโลกตะวันตก อาจจะเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์
ที่ต้องการใฝ่หาประสบการณ์ต่างๆ เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิต จึงทำให้เพลงแจ๊สได้รับความนิยม
และพัฒนาอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา และสำหรับนักดนตรีบางคนนั้น คุณค่าของดนตรีมิได้อยู่ที่ความไพเราะระรื่นหูของจังหวะ
หรือความอ่อนหวานของท่วงทำนองอย่างเดียว แต่แท้ที่จริงแล้วคือความรู้สึกท้าทายที่เกิดจากเสียง
"บลูส์" ที่แปลกใหม่ และจังหวะแจ๊สที่ขัดแย้งเร้าใจ ความขัดแย้งในบางครั้งก็อาจเตือนมนุษย์ให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตได้
เปรียบได้กับความทุกข์ของมนุษย์ที่บางครั้งทำให้ชีวิตมีความหมายอย่างประหลาด เพราะความทุกข์ชุบชีวิตให้จิตใจเข้มแข็งและชุบวิญญาณให้แข็งแกร่ง
มากกว่าความสุขอันผิวเผินและไม่จีรังเพ
ลงบลูส์ที่รำพันถึงความโศกเศร้าและคับแค้นใจจึงแฝงไว้ด้วยคติธรรมของชีวิตจริงอยู่ด้วยเสมอ
ดังเช่น บทพระราชนิพนธ์ "ชะตาชีวิต" ทรงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ขณะที่เสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หลังจากที่เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้วในปี พ.ศ. 2489 ทำนองเพลงอันเรียบง่าย ที่อาศัยการดำเนินเสียงประสานของคอร์ดบลูส์
จำนวน 12 ห้อง ซึ่งเรียกว่า "Blues Progression" เป็นหลักสำคัญในการพระราชนิพนธ์เพลงประเภทนี้
นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ในช่วงนี้อีก คือ "ดวงใจกับความรัก" และ "อาทิตย์อับแสง"
ซึ่งมีลักษณะทำนองที่ต่างไปจากบลูส์รุ่นแรก ๆ คือ ทรงเปลี่ยนทำนองให้ระดับเสียงมีช่วงกว้างขึ้น
และทรงพระราชนิพนธ์ให้ทำนองมีลีลาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับผู้ประพันธ์คำร้องภาษาไทยใส่คำร้องได้อย่าง
"น่ารัก" ทำให้เพลงทั้งสองเพลงนี้มี "ชีวิตชีวา" และแตกต่างจากเพลงไทยสากลในยุคเดียวกัน
บทพระราชนิพนธ์ "สายฝน" เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในการที่ทรงมีจินตนาการสร้างทำนองให้แตกต่างกันหลายประเภทได้อย่างไพเราะไม่ซ้ำแบบผู้ใด
และการที่เลือกใช้ลีลาที่สง่างามแต่อ่อนโยนของจังหวะวอลซ์ ทำให้ "สายฝน" ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ลีลาวอลซ์เพลงแรก
ติดอันดับเพลงลีลาศยอดนิยมของเมืองไทยในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าถึง
"ความลับ" ของเพลงสายฝนดังนี้