คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate)

คาร์โบไฮเดรต คือ สารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจน โดยปกติอัตราส่วนโดยจำนวนอะตอมของไฮโดรเจนต่อออกซิเจนเป็น 2:1 ดังนั้นส่วนใหญ่จึงมีสูตรเป็น (CH2O)n หรือ Cn(H2O)m เมื่อ m คือเลขจำนวนเต็มใดๆ เช่น C5H10O5, C6H12O6 ,C12H22O11 ,C18H32O16 แต่มีคาร์โบไฮเดรตบางชนิดมีอัตราส่วนหรือสูตรทั่วไปไม่เป็นตามที่กล่าวข้างต้น เช่น น้ำตาลแรมโนส(Rahmnose) ซึ่งมีสูตรโมเลกุลเป็น C6H12O5 เป็นต้น

คาร์โบไฮเดรตเป็นสารประกอบประเภทพอลิไฮดรอกซีแอลดีไฮด์ (Polyhydroxy aldehydes) หรือพอลิไฮดรอกซีคีโตน (Polyhydroxy ketones) หมายความว่าเป็นสารประกอบแอลดีไฮด์ หรือคีโตนที่มีหมู่

ไฮดรอกซิล (-OH) หลายหมู่ในโมเลกุล เพราะคาร์โบไฮเดรตบางชนิดมีหมู่คาร์บอกซาวดีไฮด์ และหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) หลายหมู่เป็นหมู่ฟังก์ชัน (พอลิไฮดรอกซีแอลดีไฮด์) เช่น น้ำตาลกลูโคส กาแลกโตสและบางชนิดมีหมู่คาร์บอนิล และหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) หลายหมู่เป็นหมู่ฟังก์ชันพอลิไฮดรอกซีคีโตน เช่น น้ำตาลฟรุกโตส คาร์โบไฮเดรตที่รู้จักกันทั่วไปได้แก่ น้ำตาล แป้ง เซลลูโลสและไกลโคเจน เป็นต้น

ประเภทของคาร์โบไฮเดรต

คาร์โบไฮเดรตสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ

1. มอนอแซ็กคาไรด์ (Monosaccharide)

2. โอลิโกแซ็กคาไรด์ (Oligosaccharide)

3. พอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide)

มอนอแซ็กคาไรด์

มอนอแซ็กคาไรด์(หรือน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว) คือคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด มีสูตรทั่วไปเป็น (CH2O)n ซึ่ง n มีค่า 3 ถึง 8 แต่มอนอแซ็กคาไรด์ที่สำคัญได้แก่ น้ำตาลที่มีคาร์บอนห้าและหกอะตอมอยู่ในโมเลกุล ซึ่งมีสูตรเป็น C5H10O5 และ C6H12O6 ตามลำดับ การเรียกชื่อทั่วไปของมอนอแซ็กคาไรด์จะเรียกชื่อตามจำนวนอะตอมของคาร์บอนแล้วลงท้ายด้วยโ_ส(ose) เช่น C5H10O5 เรียกว่าเพนโตส(Pentose) C6H12O6 เรียกว่า เฮกโซส (Hexose) เป็นต้น มอนอแซ็กคาไรด์ที่มีหมู่คาร์บอกซาลดีไฮด์ หรืหมู่แอลดีไฮด์อยู่จัดเป็นแอลโดส(Aldose) ส่วนมอนอแซ็กคาไรด์ที่มีหมู่คาร์บอนิลหรือหมู่คีโตนอยู่จัดเป็นคีโตส(Ketose) ดังนั้นการเรียกชื่อทั่วไปของมอนอแซ็กคาไรด์บางครั้งจะบ่งบอกชนิดของหมู่ฟังก์ชันด้วย เช่น แอลโดเพนโตส คือ น้ำตาลเพนโตสที่มีหมู่คาร์บอกซาลดีไฮด์ คีโตเฮกโซส คือน้ำตาลเฮกโซสที่มีหมู่คาร์บอนิล เป็นต้น

น้ำตาลแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ อีกหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน (เป็นไอโซเมอร์กัน) ตัวอย่างเช่น

อะราบิโนส(Arabinose) ไรโบส(Ribose) ไรโซส(Lyxose) ไซโลส(Xylose) ไรบูโรส(Ribulose) ฯลฯ เป็นน้ำตาลเพนโตส เพราะต่างก็มีสูตรโมเลกุลเป็น C5H10O5 แต่มีสูตรโครงสร้างต่างกันดังนี้

 รูปแสดงสูตรโครงสร้างของน้ำตาลเพนโตสบางชนิดซึ่งเป็นไอโซเมอร์กัน

(ตัวที่ 1 ถึง 4 เป็นแอลโดสส่วนตัวสุดท้ายเป็นคีโตส)

กลูโคส(Giucose) แมนโนส(Mannose) กาแลกโตส(Galactose) กูโลส(Gulose) ฟรุกโตส(Fructose)และทากาโลส(Tagalose) ฯลฯ เป็นน้ำตาลเฮกโซส เพราะต่างก็มีสูตรโมเลกุลเป็น C6H12O6 แต่มีสูตรโครงสร้างต่างกันดังนี้

รูปแสดงสูตรโครงสร้างของน้ำตาลเฮกโซสบางชนิดซึ่งเป็นไอโซเมอร์กัน

(ตัวที่ 1 ถึง 4 เป็นแอลโดส ส่วนตัวที่ 5 และ 6 เป็นคีโตส)

จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าน้ำตาลเพนโตส และน้ำตาลเฮกโซสแต่ละชนิดประกอบด้วยโซ่ของคาร์บอนที่ไม่มีกิ่งสาขา และเป็นโซ่เปิด แต่น้ำตาลดังกล่าวส่วนใหญ่จะมีโครงสร้างเป็นวงซึ่งเสถียรกว่า ตัวอย่างเช่นกลูโคสเขียนโครงสร้างเป็นวงได้ดังนี้

 

รูปแสดงโครงสร้างแบบเป็นวงชนิด a และ b ของกลูโคส

 

 รูปแสดงโครงสร้างแบบเป็นวงชนิด a และ b ของฟรุกโตสและกาแลกโตส

จากรูปจะเห็นไดว่ากลูโคส กาแลกโตส และฟรุกโตสที่มีโครงสร้างเป็นวงยังมีโครงสร้างย่อยได้อีก 2 แบบ คือแบบ a และแบบb กรณีของกลูโคส และกาแลกโตสถ้าหมู่ –OH อยู่บนระนาบของวงเรียกว่าแบบ b กรณีของฟรุกโตส ถ้าหมู่ –OH ซึ่งจับอยู่กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 2 อยู่ใต้ระนาบของวงเรียกว่าแบบ a แต่ถ้าอยู่บนระนาบของวงเรียกว่าแบบ b ตามลำดับ

ชื่อของมอนอแซ็กคาไรด์

ชนิด

แหล่งที่พบ

กลูโคสหรือเด็กโตรส

(Glucose or Dextrose)

แอลโดเฮกโซส

พบมากในผลไม้และผัก เช่น องุ่น อ้อย น้ำผึ้ง เป็นต้น พบในเลือดและเป็นส่วนประกอบของพอลิแซ็กคาไรด์หลายชนิด

ฟรุกโตส(Fructose)

ดีโตเฮกโซส

พบในผลไม้ น้ำผึ้ง สายรก น้ำเชื้ออสุจิ เป็นต้น

กาแลกโตส (Galactose)

แอลโดเฮกโซส

พบในไกลโคลิปิดของเนื้อเยื่อประสาท พังผืด เป็นต้น เป็นส่วนประกอบของน้ำตาลแลกโตสในน้ำนม

แมนโนส(Mannone)

แอลโดเฮกโซส

ได้จากการสลายยางไม้ เป็นองค์ประกอบของพอลิแซ็กคาไรด์ในพืช ส่วนในคนจะอยู่รวมกับโปรตีน

ตารางแสดงแหล่งที่พบของมอนอแซ็กคาไรด์บางชนิด

โอลิโกแซ็กคาไรด์

โอลิโกแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยมอนอแซ็กคาไรด์ตั้งแต่ 2 ถึง 10 โมเลกุลซึ่งต่อเชื่อมกันด้วยพันธะไกลโคซิดิค โอลิโกแซ็กคาไรด์ที่สำคัญได้แก่

1. ไดแซ็กคาไรด์หรือน้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharide) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยมอนอแซ็กคาไรด์สองโมเลกุลมีสูตรโมเลกุลเป็น C12H22O11 ตัวอย่างไดแซ็กคาไรด์ เช่น มอลโตส(Moltose) แลกโตส(Lactose) และซูโครส(Sucrose) ไดแซ็กคาไรด์อาจเกิดจากปฏิกิริยาการรวมตัวระหว่างมอนอแซ็กคาไรด์สองโมเลกุล ตัวอย่างเช่น

C6H12O6 + C6H12O6 ® C12H22O11 + H2O

กลูโคส + กลูโคส ® มอลโตส + น้ำ

กลูโคส + กาแลกโตส ® แลกโตส + น้ำ

กลูโคส + ฟรุกโตส ® ซูโครส + น้ำ

ในทางตรงกันข้ามเมื่อไดแซ็กคาไรด์เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสจะได้มอนอแซ็กคาไรด์ 2 โมเลกุล ตัวอย่างเช่น

C12H22O11 + H2O ® C6H12O6 + C6H12O6

มอลโตส + น้ำ ® กลูโคส + กลูโคส

แลกโตส + น้ำ ® กลูโคส + กาแลกโตส

ซูโครส + น้ำ ® กลูโคส + ฟรุกโตส

 

รูปแสดงปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส (ปฏิกิริยาไปข้างหน้า) และปฏิกิริยาการเกิด

(ปฏิกิริยาย้อนกลับ) ของมอลโตส แลกโตส และซูโครส

ชนิดของไดแซ็กคาไรด์

ตัวอย่างแหล่งที่พบ

มอลโตส (Moltose or malt sugar)

พบในตัวถั่ว ข้าวมอลล์ที่กำลังเจริญเติบโต และได้จากการย่อยแป้งด้วยเอ็นไซม์แอสฟาอะไมเลส (a -amylase) เป็นต้น

แลกโตส(Lactose or milk sugar)

พบในน้ำนมของสัตว์ หรืออาจพบในปัสสาวะของหญิงมีครรภ์ เป็นต้น

ซูโครส (Sucrose or saccharose)

พบในพืช เช่น อ้อย หัวบีท เป็นต้น

เซลโลไบโอส (Cellobiose)

ได้จากการย่อยเซลลูโลส โดยใช้เอนไซม์เซลลูเลส

ตารางแสดงแหล่งที่พบไดแซ็กคาไรด์บางชนิด

2. ไตรแซ็กคาไรด์ (Trisaccharide) ไตรแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรต(น้ำตาล) ซึ่งประกอบด้วยมอนอแซ็กคาไรด์(น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว) สามโมเลกุล หรือ คาร์โบไฮเดรตที่เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสแล้วได้มอนอแซ็กคาไรด์สามโมเลกุล ไตรแซ็กคาไรด์ที่พบในธรรมชาติ ได้แก่ ราฟฟิโนส (Raffinose) (ประกอบด้วยฟรุกโตส + กลูโคส + กาแลกโตส) พบในน้ำตาลจากหัวบีท และพืชชั้นสูงอื่นๆ อีกหลายชนิด เมเลไซโตส (Melezitose) (ประกอบด้วยกลูโคส + กลูโคส + ฟรุกโตส) พบในพืชจำพวกสน เป็นต้น

 พอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide)

พอลิแซ็กคาไรด์เป็นสารประกอบที่ซับซ้อนกว่าคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่น พอลิแซ็กคาไรด์เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยมอนอแซ็กคาไรด์หลายๆ โมเลกุล รวมกันโดยการเกิดพันธะระหว่างกันและกัน หรือพอลิแซ็กคาไรด์เกิดการรวมตัวของมอนอแซ็กคาไรด์ หลายๆ โมเลกุล โดยพอลิแซ็กคาไรด์เป็นพอลิเมอร์(Polymer) ส่วนมอนอแซ็กคาไรด์เป็นมอนอเมอร์ (Monomer) และเรียกกระบวนที่มอนอเมอร์ (สารโมเลกุลเล็กๆ) รวมตัวกันเป็นพอลิเมอร์ (สารโมเลกุลใหญ่) ว่ากระบวนการพอลิแซ็กคาไรด์ว่า กระบวนการคอนเดชเซชัน พอลิเมอไรเซชัน (Condensation polymerization) พอลิแซ็กคาไรด์ที่รู้จักกันดีได้แก่ แป้ง (Starch) ไกลโคเจน (Glycongen) และเซลลูโลส (Cellulose) ซึ่งทั้งแป้งไกลโคเจนและเซลลูโลสต่างก็เป็น
พอลิเมอร์ที่เกิดจากกลูโคส(มอนอเมอร์) หลายๆ โมเลกุลรวมตัวกัน มีสูตรทั่วไปเป็น (C6H10O5)n เขียนสมการแสดงได้ดังนี้

 

แป้ง (starch) แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในพืชซึ่งพบทั้งในใบ ลำต้น ราก ผล และเมล็ด แป้งมีมวลโมเลกุลตั้งแต่ 10,000 ถึง 1,000,000 มีสูตรทั่วไปเป็น (C6H10O5)n นอกจากนั้น ยังพบว่าแป้งประกอบด้วยพอลิแซ็กคาไรด์ 2 ชนิด และทั้งสองชนิดเป็นพอลิเมอร์ของกลูโคส (แป้งเป็นพอลิเมอร์ กลูโคสเป็นมอนอเมอร์) แต่มีมวลโมเลกุลและโครงสร้างต่างกัน พอลิแซ็กคาไรด์ทั้งสองชนิดในแป้ง ได้แก่ อะไมโลส(Amylose) และอะไมโลเปคติน(Amylopectin) โดยปกติในแป้งมีอะไมโลสประมาณ 20-28% นอกนั้นเป็นอะไมโลเปคติน อะไมโลส ประกอบด้วยกลูโคส 250-300 โมเลกุล ซึ่งต่อกันเป็นโซ่ยาวแบบไม่มีกึ่งแต่โซ่ของอะไมโลสขดเป็นเกลียวแบบเฮลิกซ์ (Helix) ส่วนอะไมโลเปคตินบางครั้ง พบว่ามีกลูโคสถึง 1000 โมเลกุล มีโครงสร้างต่างจากอะไมโลส คือ นอกจากกลูโคสต่อเป็นโซ่ยาวแล้วยังต่อแบบเป็นกึ่งด้วย

 

  

ไกลโคเจน (Glycogen)

ไกลโคเจน หรืออาจเรียกว่าแป้งในสัตว์ (Animal starch) มีมวลโมเลกุล 1,000,000 ถึง 4,000,000 เป็นพอลิเมอร์ซึ่งเกิดจากกลูโคส (มอนอเมอร์) หลายๆ โมเลกุล มารวมตัวกันเช่นเดียวกับแป้ง แต่มีโครงสร้างต่างกับแป้งคือ กลูโคสในไกลโคเจนต่อกันเป็นกิ่ง หรือสาขาคล้ายกับอะไมโลเปคติน แต่มีการแตกแขนงมากกว่าอะไมโลเปคติน กล่าวคืออะไมโลเปคตินมีการแตกกิ่งหรือสาขาทุกๆ 12 หน่วยของกลูโคส แต่ไกลโคเจนจะมีการแตกกิ่งหรือสาขาทุกๆ 8-10 หน่วยของกลูโคส

ไกลโคเจนเป็นคาโบรไฮเดรตสะสมที่พบมากในตับและกล้ามเนื้อของคนและสัตว์ใช้สำหรับเป็นแหล่งของพลังงาน แพราะเมื่อร่างกายต้องการก็สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นกลูโคสได้อีก นอกจากนั้นไกลโคเจนในตับยังมีประโยชน์ในการมีไว้เพื่อปรับละดับกลูโคสในเลือดให้คงที่ไกลโคเจนที่อยู่ในตับออกได้โดยการต้มกับเบสแก่ เช่น KOH

เซลลูโลส (Cellulose)

เซลลูโลส เป็นคาร์โบไฮเดรตอีกชนิดหนึ่งที่เป็นพอลิเมอร์ของกลูโคส (ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคสรวมตัวกัน) แต่มีโครงสร้างต่างจากแป้งและไกลโคเจน คือโมเลกุลของกลูโคสต่อกันเป็นโซ่ยาวแบบไม่มีกิ่งก้านสาขาแต่ลักษณะการต่อกัน(เกิดพันธะ) ระหว่างกลูโคสแต่ละคู่ต่างจากในแป้งและไกลโคเจน เซลลูโลส มีมวลโมเลกุลประมาณ 200,000 ถึง 400,000 เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบสำคัญของผนังเซลล์ของพืช เซลลูโลสซึ่งพบในพืช เช่น เนื้อไม้ สำลี และฝ้าย เป็นต้น (สำลีมีเซลลูโลสประมาณ 90%)

สมบัติของน้ำตาล

น้ำตาลมีสมบัติที่ควรทราบดังนี้

1. น้ำตาล เช่น กลูโคส ฟรุกโตส กาแลกโตส ฯลฯ (มอนอแซ็กคาไรด์) ซูโครส
มอลโตส แลกโตส(ไดแซ็กคาไรด์) เป็นผลึกของแข็ง สามารถละลายน้ำได้

2. น้ำตาลแต่ละชนิดจะมีรสหวาน แต่มีความหวานไม่เท่ากัน ฟรุกโตส เป็นน้ำตาลที่มีรสหวานที่สุด ถ้าเปรียบเทียบความหวานโดยใช้น้ำตาลซูโครสเป็นเกณฑ์ และให้ซูโครสมีความหวานเท่ากับ 100 หน่วย น้ำตาลอื่นๆ จะมีความหวานดังนี้

 

ชนิดของน้ำตาล

ความหวานเมื่อเปรียบเทียบกับซูโครส

แลกโตส (Lactose)

ราฟฟิโนส (Raffinose)

กาแลกโตส (Galactose)

แรมโนส (Rhamnose)

มอลโตส (Moltose)

ไซโลส (Xylose)

กลูโคส (Glucose)

ซูโครส (Sucrose)

ฟรุกโตส (Fructose)

16.0

22.6

32.1

32.5

32.5

40.0

74.3

100.0

173.3

ตารางเปรียบเทียบความหวานของน้ำตาลบางชนิดกับซูโครส

เมื่อให้ความหวานของซูโครส = 100 หน่วย

3. มีไอโซเมอร์ เช่น น้ำตาลเฮกโซส (C6H12O6) มีหลายไอโซเมอร์ได้แก่ กลูโคส
ฟรุกโตส กาแลกโตส แมนโนส ฯลฯ

4. น้ำตาลพวกมอนอแซ็กคาไรด์และไดแซ็กคาไรด์ (ยกเว้นน้ำตาลซูโครส) เมื่อต้มกับสารละลายเบเนดิกต์ (สารละลายเบเนดิกต์ประกอบด้วยคอปเปอร์(II)ซัลเฟต(CusO4) โซเดียมคาร์บอเนต (Na2CO3) และโซเดียมซิเตรต) จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐของคอปเปอร์(I)ออกไซด์ ปฏิกิริยาที่เกิดตะกอนสีแดงอิฐ คือ

 

และเรียกน้ำตาลที่สามารถทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ได้ว่า น้ำตาลรีดิวซ์ ส่วน Cu2+ จากสารละลายเบเนดิกซ์เป็นตัวออกซิไดซ์ และปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์

สมบัติของพอลิแซ็กคาไรด์

ก. สมบัติของแป้ง

1. ไม่เป็นผลึก เป็นผงสีขาว ไม่มีรสหวาน

2. ไม่ละลายในน้ำเย็น แต่เมื่อให้ความร้อนจะได้สารแขวนลอย และกลายเป็นสารคอลลอยด์ในที่สุดและในการให้ความร้อนทำให้มีความหนืดเพิ่มขึ้นด้วย (ถ้าละลายแป้งในน้ำร้อนจะได้กาวหรือแป้งเปียก)

3. ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน ได้สารสีน้ำเงิน

4. แป้งไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์

5. เมื่อนำแป้งมาต้มกับสารละลายกรด กรดจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้แป้งเกิดไฮโดรลิซิส ซึ่งถ้าเกิดอย่างสมบูรณ์จะได้กลูโคส (ในสารละลายเบสไม่เกิดไฮโดรลิซิส)

6. เอนไซม์อะไมเลส(a -Amylase) ซึ่งมีอยู่ในน้ำลาย และน้ำย่อยจากตับอ่อนสามารถย่อยแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลมอลโตส(ไม่สามารถย่อยจนถึงกลูโคสได้) หรือกล่าวได้ว่าเอนไซม์อะไมเลสเร่งให้แป้งเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสกลายเป็นน้ำตาลมอลโตสซึ่งเป็นไอแซ็กคาไรด์ แต่อย่างไรก็ตามน้ำตาลมอลโตสที่เกิดขึ้นจะถูกย่อยต่อไปอีก (ถูกเร่งให้เกิดไฮโดรลิซิสต่อไปอีก) ด้วยเอนไซม์มอลเตส(Maltase) ได้น้ำตาลกลูโคส

7. แป้งเมื่อถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง จะทำปฏิกิริยากับไอโดีนให้สีต่างกัน แป้งเมื่อถูกย่อยบางส่วนจะได้พอลิแซ็กคาไรด์ที่มีมวลโมเลกุลลดลง(ขนาดเล็กลง) ซึ่งเรียกว่า เดคตริน(Dextrins) สามารถละลายน้ำได้เดคตริน มีหลายชนิดแล้วแต่ขนาดโมเลกุล เมื่อถูกย่อยต่อไปอีกจะได้มอลโตส และกลูโคสตามลำดับ สารต่างๆ ที่ได้จาก การย่อยแป้ง(โดยใช้สารละลายกรดหรือเอนไซม์) เมื่อให้ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีนจะเกิดสีดังนี้

ลำดับของสารที่เกิดจากการย่อยแป้ง

ปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน

แป้ง

(Starch)

สารละลายของแป้ง

(Soluble starch)

อะไมโลเดคตริน

(Amylodextrin)

อีริโทรเดคตริน

(Erithrodextrin)

มอลโตส

(maltose)

กลูโคส

(Glucose)

สีน้ำเงิน

 

สีน้ำเงิน

สีม่วง

สีแดง

ไม่มีสี

ไม่มีสี

8. แป้งสามารถทำปฏิกิริยากับกรดอินทรีย์หรือกรดอนินทรีย์ได้เอสเทอร์ ซึ่งบางชนิดใช้ทำพลาสติก บางชนิดเป็นวัตถุระเบิดรุนแรง

ข. สมบัติของไกลโคเจน

1. ไกลโคเจนที่บริสุทธิ์ไม่เป็นผลึกแต่เป็นผงสีขาว

2. ไม่เกิดไฮโดรลิซิสในสารละลายเบส ดังนั้นในการแยกไกลโคเจน จึงใช้วิธีต้มกับสารละลายเบสแล้วตกตะกอนออกจากสารละลายโดยใช้เอทานอล

3. ไม่มีรสหวาน ไม่ละลายน้ำ

4. ไกลโคเจนเกิดไฮโดรลิซิลในสารละลายกรด (กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา) ได้กลูโคส

5. ไกลโคเจนไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์

6. ไกลโคเจนทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีนได้สารสีแดงเข้ม (Deep red)

ค. สมบัติของเซลลูโลส

1. ไม่มีรสหวาน ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ในตัวทำละลายบางชนิด เช่น กรดซัลฟิวริกเข้มข้น เป็นต้น

2. ไม่เกิดมื่ออยู่ในสารละลายเบส

3. เมื่อต้มกับสารละลายกรดเข้มข้น จะเกิดไฮโดรลิซิส(ย่อยสลาย) ได้น้ำตาลเซลโลไบโอส(Cellobios) และกลูโคส (เซลโลไบโอสคือ ไดแซ็กคาไรด์ที่ประกอบด้วยกลูโคส 2 โมเลกุล แต่มีโครงสร้างต่างจาก มอลโตส)

4. ไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน หรือสารละลายเบเนดิกต์

5. เอนไซม์เซลลูเลส (Cellulase) ซึ่งมีอยู่ในสัตว์จำพวกเคี้ยวเอื้อง (เช่น วัว ควาย) หรือในปลวก (เอนไซม์เซลลูเลสในสัตว์เคี้ยวเอื้องหรือปลวกผลิตโดยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในกระเพาะ) สามารถย่อยสลายเซลลูโลสให้เป็นกลูโคสได้ (เกิดไฮโดรลิซิสโดยมีเอ็นไซม์เซลลูเลสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา) ส่วนคนหรือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ส่วนใหญ่ไม่สามารถย่อยเซลลูโลสได้ เพราะไม่มีเอ็นไซม์เซลลูเลส

6. เซลลูเลสเมื่อให้ทำปฏิกิริยากับกรดจะได้เอสเทอร์ เช่น เมื่อทำปฏิกิริยากับกรดผสมระหว่างกรดไนตริก และกรดซัลฟิวริก จะได้เอสเทอร์เซลลูโลสไนเตรต เป็นต้น

7. เซลลูเลสทำปฏิกิริยากับแอซีติกแอนไฮไดรด์ (Acetic anhydride) จะได้เซลลูโลสไตรแอซีเตต (Cellulose triacetate) ซึ่งใช้ทำฟิล์มภาพยนตร์

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เมื่อเรารับประทานเข้าไป เริ่มถูกย่อยในปากโดยเอ็นไซม์อะไมเลสในน้ำลาย แต่จะย่อยอย่างสมบูรณ์ภายในลำไส้โดยเอ็นไซม์อะไมเลส และเอ็นไซม์อื่นๆ เช่น มอลเตส ซูเครส เป็นต้น ดังนั้นภายในลำไส้เล็ก คาร์โบไฮเดรตจะถูกย่อยจนกระทั่งเป็นมอนอแซ็กคาไรด์และถูกดูดซึมผ่านลำไส้เล็กสู่กระแสเลือด เพื่อขนส่งไปยังเซลล์ต่างๆ และตับ กลูโคสที่ถูกส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย จะเกิดสันดาปกับออกซิเจนภายในเซลล์ได้พลังงาน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ส่วนกลูโคสที่เหลือใช้จะถูกเปลี่ยนเป็นไกลโคเจนที่ตับ เพื่อนำออกมาใช้โดยการเปลี่ยนกลับเป็นกลูโคสอย่างเดิมเมื่อร่างกายต้องการ สำหรับมอนอแซ็กคาไรด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่กลูโคสจะถูกลำเลียงไปยังตับเพื่อเปลี่ยนเป็นกลูโคส คาร์โบไฮเดรตนอกจากเป็นแหล่งของพลังงานแล้ว ยังเป็นสารที่อำนวประโยชน์แก่คนเรามากทั้งที่เป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย