สภาพทางภูมิศาสตร์ของ กรุงเทพมหานคร
ประวัติศาสตร์ กรุงเทพมหานครสภาพทาง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง รูปแบบการปกครอง
สภาพทางภูมิศาสตร์ของ กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานคร เป็นมหานคร ขนาดใหญ่ ที่มีการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง มาแต่โบราณ และมีผลโดยตรง ต่อการปฏิบัติงานของ สายโยธา เป็นอย่างยิ่ง นั่นแสดงว่า สิ่งแวดล้อมในการทำงาน ไม่เอื้อให้งานง่าย และถ้า กรุงเทพมหานคร ไม่สามารถ หาผู้บริหารระดับต้น ที่มีคุณภาพ มาเพื่อปฏิบัติราชการ แล้วงานในส่วนของโยธา จะทำงานอย่างขาดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
ปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร มีถนนหนทางมีน้อย การจราจรคับคั่ง การสื่อสารจึงจำเป็นต้องใช้ ทางอื่น เช่น โทรศัพท์ โทรสาร และ จดหมายอิเล็กโทนิค ( Electronic Mail )
ดังนั้น เรื่อง การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสอบเลื่อนระดับข้าราชการสู่ ระดับ6 : ศึกษาเฉพาะสายงานโยธาทุกสำนักของกรุงเทพมหานคร นั้นจึงมีความสำคัญมาก เพราะอาจถือได้ว่าข้าราชการระดับ6 เป็นรากแก้วในโครงสร้างการบริหาร ก็ว่าได้
จากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ได้จัดรูปการปกครองของ กรุงเทพมหานคร จากนครหลวงกรุงเทพธนบุรีและ เทศบาลนครหลวง โดยรวมนครหลวงกรุงเทพธนบุรี, องค์การบริหารนครหลวงกรุงเทพธนบุรี , เทศบาลนครหลวง และ สุขาภิบาล ในเขต นครหลวงมาเป็น " กรุงเทพมหานคร " และได้จัดระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครใหม่ เป็น ลักษณะผสม ระหว่าง ราชการบริหารส่วนกลาง, ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น แต่ให้มีฐานะ เป็นจังหวัดมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นข้าราชการการเมือง แต่งตั้งโดย คณะรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 ประกาศขึ้นใช้ การปกครองท้องถิ่น ทุกระดับรวมทั้งนครหลวงให้มีสภาท้องถิ่น และผู้บริหาร หรือ คณะ ผู้บริหารปกครองท้องถิ่น มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในท้องถิ่นนั้นในปี พ.ศ.2518 ได้มี การ ประกาศใช้ พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2518 ขึ้นใน วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2518 ซึ่ง พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ได้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 และตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2518 มาตรา 6 ได้บัญญัติ ให้ กรุงเทพมหานคร แบ่งพื้นที่ การปกครอง ออกเป็นเขต และแขวง และพระราชบัญญัติ ฉบับดังกล่าวกำหนดให้ กรุงเทพมหานคร เป็นทบวงการเมืองมีฐานะ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นนครหลวง ซึ่งกรุงเทพมหานคร ได้จัดให้มีการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สายงานโยธา เกิดขึ้น พร้อมกับองค์การ แห่งนี้ และได้รับการพัฒนาทั้งในเรื่องระบบ และกระบวนการทางการบริหารจัดการ จนกระทั่งในปัจจุบัน
สภาพทาง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
เศรษฐกิจ ที่ผ่านมา จนกระทั่งปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร ยังคงจะต้องใช้ เงินงบประมาณ เกือบ ร้อยละ 50 ไปกับ ค่าจ้าง และสวัสดิการ ให้กับข้าราชการ ลูกจ้าง กรุงเทพมหานคร และจากการสังเกต พบว่า ข้าราชการจำนวนมาก ยังปฏิบัติราชการไม่เต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้อาจเป็น เพราะค่าตอบแทนที่ได้รับ ต่ำมาก เมื่อเทียบกับ ภาคเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ และพนักงานบางส่วนต้องทำงานพิเศษหลังเวลางาน และใช้เวลาราชการเพื่อพักผ่อน สังคม ใน กรุงเทพมหานคร คนในสังคมมีความรู้สูงกว่าจังหวัดอื่น ความเห็นแก่ตัว การเอารัดเอาเปรียบ มีสูง ดังนั้นการพิพาทระหว่างบ้านใกล้เรือนเคียงจึงมีมาก และเมื่อสังคมเมือง ยุ่งเหยิง หน้าที่ของ โยธา จึงทำงานได้ยากกว่าปกติ ประกอบกับเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่เหมาะสมกับจำนวนประชากร เช่นในเขตภาษีเจริญ มีประชากรประมาณ 150,000 คน อาคารที่ประมาณ 40,000 หลัง แต่ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานโยธา เพียง 17 คน นอกจากนี้ ช่างโยธาจะต้องเป็นงานที่ต้องใช้เทคนิค และยังต้องมีจิตวิทยา ความอดทน เมื่อพบกับสถานการณ์พิพาท ดังนั้น หาก กรุงเทพมหานคร สามารถค้นหาคนที่จะมาเป็นหัวหน้างานที่คุณสมบัติครบถ้วน ก็จะยังประโยชน์ ให้กับ กรุงเทพมหานคร อย่างดียิ่งการเมืองกรุงเทพมหานคร เป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นชนิดพิเศษ มีผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งมีสภากรุงเทพมหานคร สภาเขต ต่างๆ และในปีที่ทำการวิจัย (พ.ศ.2544) บางเขตยังมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ปฏิบัติงานอยู่ ดังนั้นนโยบายเปลี่ยนทุก 4 ปี จึงเป็นของคู่กันกับองค์การนี้ หากฝ่ายราชการประจำไม่เข้มแข็งพอ องค์การนี้ อาจพัฒนาไปได้ไม่ดี และไม่ทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตร
กรุงเทพมหานครมีการปกครองในรูปแบบ การปกครองส่วนท้องถิ่น (Metropolitan) การปกครองของกรุงเทพมหานคร มีปลัดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บังคับบัญชา (สายข้าราชการประจำ) สูงสุด คือมีระดับระดับ11 (จำนวน 1 คน) ส่วนระดับรองลงมาเป็นรองปลัด ระดับ10 และยังมี ระดับ10 อีกคือ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ มี 16 สำนัก ( สำนักการแพทย์, สำนักอนามัย, สำนักการโยธา, สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร, สำนักสวัสดิการสังคม , สำนักการระบายน้ำ , สำนักการคลัง , สำนักรักษาความสะอาด , สำนักนโยบายและแผนกรุงเทพมหานคร , สำนักการศึกษา , สำนักผังเมือง , สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร , สำนักพัฒนาชุมชน , สำนักเทศกิจ , สำนักการจราจรและขนส่ง , สำนักงานเลขาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , สำนักงานเลขานุการสภากรุงเทพมหานคร ) โดยทั้ง16สำนัก มีข้าราชการหลากหลายสายงาน และสายงานโยธา เป็นสายงานหนึ่ง ที่กระจายปะปนอยู่ใน 4 สำนัก ดังนี้
และนอกเหนือจากสำนักที่มีเจ้าหน้าที่สายงานโยธาทั้ง 4 สำนัก แล้วเจ้าหน้าที่สายงานโยธาที่เหลือยังกระจายอยู่ตาม ฝ่ายโยธา สำนักงานเขตต่างๆ อีก 50 เขต ( คลองเตย , คลองสาน , คลองสามวา , คันนายาว , จตุจักร , จอมทอง , ดอนเมือง , ดินแดง , ดุสิต , ตลิ่งชัน , ทวีวัฒนา , ทุ่งครุ , ธนบุรี , บางกะปิ , บางกอกน้อย , บางกอกใหญ่ , บางขุนเทียน , บางเขน , บางคอแหลม , บางแค , บางซื่อ , บางนา ,บางบอน,บางพลัด,บางรัก,บึงกุ่ม,ปทุมวัน,ประเวศ,ป้อมปราบฯ,พญาไท,พระนคร,พระ-โขนง,ภาษีเจริญ,มีนบุรี,ยานนาวา,ราชเทวี,ราษฎร์บูรณะ,ลาดกระบัง,ลาดพร้าว,วังทองหลาง , วัฒนา ,สะพานสูง ,สาทร ,สายไหม ,สัมพันธวงศ์ ,สวนหลวง , หนองจอก ,หนองแขม,หลักสี่ , ห้วยขวาง ) โดยแต่ละเขตมีหน้าที่บริการประชาชนโดยตรง ในสำนักงานเขตได้แบ่งส่วนราชการออกเป็น 10 ฝ่าย และฝ่ายโยธา เป็น 1 ใน 10 ซึ่งทั้ง 10ฝ่ายมีภาระหน้าที่ โดยสังเขป ดังนี้