รอบรั้วงานราชทัณฑ์

    สวัสดีเพื่อน ๆ ชาวราชทัณฑ์ทุกท่าน และยินดีต้อนรับเข้าสู่หัวเรื่องใหม่เราคือ รอบรั้วงานราชทัณฑ์ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะนำข่าวสารเกี่ยวกับงานราชทัณฑ์ที่ลงในหนังสือพิมพ์มาเผยแพร่ให้กับพวกเราชาวราชทัณฑ์ทุกท่านเพื่อที่จะได้ทราบถึงข่าวสาร  มุมมองของบุคคลภายนอกที่มีต่องานราชทัณฑ์ และทิศทางในอนาคตของงานราชทัณฑ์ โดยจะรวบรวมเนื้อหาข่าวสารในหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2546 เป็นต้นไป  และหากเรือนจำใดมีความประสงค์ที่จะให้ทางเราลงข่าวเกี่ยวกับเรือนจำ/ทัณฑสถานของท่านสามารถ FAX ข้อมูลมาได้ที่ เบอร์ 0 - 2904 - 1581 ส่งถึง ส่วนบริหารทั่วไป

ผู้ต้องขังยึดลิเกเป็นอาชีพหลังพ้นโทษ  (จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ลงวันที่ 26 มีนาคม 2546)
        นครราชสีมา - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เรือนจำกลางนครราชสีมา จัดงานวันพบญาติแบบใกล้ชิดตามนโยบายของกรมราชทัณฑ์ เพื่อผ่อนคลายความเครียด ลดความกดดันของผู้ต้องขัง เพื่อให้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ต้องขัง จูงใจให้ประพฤติตนเป็นคนดี ปฏิบัติอยู่ในระเบียบวินัยของทางเรือนจำ สำหรับผู้ต้องขังภายในเรือนจำนครราชสีมามีจำนวนทั้งสิ้น 1,984 คน เป็นผู้ต้องขังชาย 1,788 คน ผู้ต้องขังหญิง 196 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังในคดียาเสพติด มีผู้ต้องขังชั้นดีขึ้นไปได้รับอนุญาตให้พบปะญาติจำนวน 350 คน แบ่งเป็น 2 รอบ คือ 09.00 น. - 11.00 น. และ 13.00 น - 15.00 น.
        นอกจากนี้ระหว่างการพบญาติและรับประทานอาหารร่วมกันของผู้ต้องขังและญาติที่มาเยี่ยมแล้ว ทางเรือนจำยังได้จัดกิจกรรมวาดภาพด้วยสีน้ำมันบนผนังกำแพง สำหรับผู้ต้องขังที่มีความสามารถทางศิลปะ การแสดงสินค้าจากฝีมือผู้ต้องขัง และการแสดงคาบาเร่ของผู้ต้องขังสาวประเภทสอง การแสดงลิเกของคณะรวมดาราลูกราชทัณฑ์ โดยนักแสดงทั้งหมดเป็นผู้ต้องขังภายในเรือนจำกลางนครราชสีมา ที่มีใจรักทางด้านการแสดงและได้รับการฝึกฝนจากวิทยากร เพื่อส่งเสริมอาชีพให้ผู้ต้องขังหลังพ้นโทษต่อไป ท่ามกลางความสนุกและรอยยิ้มของผู้ต้องขังและญาติที่มาเยี่ยมประมาณ 500 คน

ดื่มน้ำสาบาน  (จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ลงวันที่ 26 มีนาคม 2546)
        นายพิทยา สังฆนาคิน ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี นำเจ้าหน้าที่ดื่มน้ำสาบานตนประกาศสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติด

ลูกเสือในเรือนจำพฤติกรรมดีขึ้น  (จากหนังสือพิมพ์มติชน หน้า 7 หัวข้อ ย่อยข่าวภูมิภาค วันที่ 6 เมษายน 2546)
        อ่างทอง - นายอภิชาติ ขุนเทพ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า หลังจากเปิดอบรมลูกเสือชาวบ้านให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำ จากการติดตามพฤติกรรมพบว่ามีความสำนึกในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มากขึ้น มีระเบียบวินัย ให้ความร่วมมือกับทางเรือนจำและญาติพี่น้องเป็นอย่างดี ซึ่งจะหากิจกรรมที่เหมาะสมมาฝึกอบรมผู้ต้องขังอีก

คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป  (จากหนังสือพิมพ์มติชน หน้า 3 วันที่ 6 เมษายน 2546)
        กรมราชทัณฑ์ ที่มีหน้าที่ "ขังคน" เป้าหมายหนึ่ง "ทำให้เกิดความหลาบจำ" อีกหนึ่ง "ฟื้นฟูคนเลวให้เป็นคนดี" ที่เห็นและเป็นอยู่ "หลาบจำ" ขนาดอยู่ในคุกยังเป็นเอเย่นต์ซื้อขายยาเสพติด" จากภายนอกได้และ "ฟื้นฟู" ขนาดได้รับการขนานนามว่าเป็น "มหาวิทยาลัยโจร" ผลงานแบบนี้ "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" น่าจะลองเสนอวิชั่นล้างใหญ่ให้เป็นหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพตามเป้าหมายเสียที...

รับขวัญ  (จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หน้า 33 วันที่ 23 เมษายน 2546)
        นายสมศักดิ์ ดิษฐานนท์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครปฐม ผู้ข้อมือรับขวัญแก่ผู้ต้องขังหญิงที่เข้ารับการอบรมยุวกาชาดนอกโรงเรียน รุ่นที่ 4 ณ เรือนจำกลางนครปฐมเมื่อวันก่อน 

นักโทษเล่นลิเก  (จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หน้า 33 วันที่ 23 เมษายน 2546)
        นายอภิชาต ขุนเทพ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดอ่างทอง เปิดเผยถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังทั้งชายและหญิงที่มีความสามารถทางด้านการแสดงนาฎดนตรี และการเล่นดนตรีไทย ได้แสดงลิเกและเล่นดนตรีไทยในรูปแบบวงปี่พาทย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการศึกษาวิชาชีพระยะสั้นเพื่อให้ผู้ต้องขังได้แก้ไขปรับเปลี่ยนทัศนคติ และพฤติกรรมเป็นบุคคลที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาประเทศในโอกาสต่อไป และแสดงเป็นปฐมฤกษ์ในเรือนจำโดยใช้ชื่อคณะว่า "เรือนจำอ่างทอง" มีญาติผู้ต้องขังพร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูกันเป็นจำนวนมาก

111 ปี  (จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หน้า 3 3 วันที่ 24 เมษายน 2546)
        นายพิทยา สังฆนาคิน ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่เรือนจำร่วมปลูกต้นไม้ในโอกาสครบรอบ 111 ปี กระทรวงยุติธรรม ณ บริเวณเชิงสะพานพระราม 7 อ.บางกรวย เมื่อวันก่อน

ประชุมยุติธรรมเชิงสมานฉันท์  (จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หน้า 19 วันที่ 29 เมษายน 2546)
        ที่กระทรวงยุติธรรม เช้าวันที่ 28 เม.ย. 2546 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ความเป็นไปได้ในการแก้ไขฟื้นฟูเด็ก และเยาวชนที่กระทำความผิด โดยกระบวนการประชุมกลุ่มครอบครัว เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เรื่องกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ที่จะนำมาใช้กับเด็กและเยาวชน ให้กับบุคลากรของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นทิศทางเดียวกัน โดยปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่าการะประชุมในวันนี้เป็นการนำเสนอกระบวนการที่นำมาใช้กับเด็กและเยาวชนที่จะส่งผลไปถึงผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูจิตใจให้เด็กกลับใจเป็นคนดีในระดับฐาน แล้วปลูกฝังความดีของจิตใจต่อไป จนกลายเป็นผู้ใหญ่ซึ่งการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กทำได้ง่ายกว่าการฟื้นฟูผู้ใหญ่ ภายหลังการประชุมจะนำวิธีการไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม

คอลัมน์ เดินหน้าชน  (จากหนังสือพิมพ์มติชน หน้า 6  วันที่ 2 พฤษภาคม 2546)
        ดูคุกยาเสพติดที่ปทุมฯ สภาพผู้ต้องขัง "ล้นคุก" หรือ "ล้นเรือนจำ" เป็นที่รับรู้ของสังคมและเป็นที่หนักใจของกรมราชทัณฑ์มาโดยตลอด คุกซึ่งเป็นสถานที่คุมขังกักกันจำเลยและผู้ต้องโทษจนต้องอยู่ในภาวะที่รับเพิ่มอีกไม่ได้เพราะแน่นเกินพิกัด เพราะผู้ต้องขังคดียาเสพติดมีจำนวนถึงประมาณ 68% ของผู้ต้องขังทั้งหมด ทั้งนี้ยังไม่รวมผู้ต้องขังในคดีความผิดอื่นเช่น ความผิดคดีลักทรัพย์ คดีทำร้ายและค้าฆ่าผู้อื่น ฯลฯ แต่มีพฤติกรรมเสพ
        ถ้ารวมจำนวนผู้ต้องขังในคดีอื่นแต่มีพฤติกรรมเสพเข้าด้วยกัน ผู้ต้องขังกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมดทีอยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ จะประมาณ 80 % ของผู้ต้องขังทั้งหมด หรือประมาณ 191,142 คน จาก 238,928 คน
        สำหรับเรือนจำที่รับเฉพาะผู้ต้องขังคดียาเสพติดเพื่อเน้นในเรื่องการบำบัดได้ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2536 มี 8 แห่ง หนึ่งในจำนวนนี้คือ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่ที่คลอง 5 ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี
        เพื่อให้การติดต่อประสานงานกับกรมราชทัณฑ์ อันเนื่องมาจากความอยากรู้อยากเห็นของผมว่า ผู้ต้องขังคดียาเสพติดมีการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างไร ในที่สุดผมก็ได้รับอนุญาตไปเยี่ยมชมทัณฑสถานบำบัดพิเศษที่คลอง 5 เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา
        ผู้ที่เป็นธุระอย่างดีจนทำให้ผมเปิดหูเปิดตาได้รู้ได้เห็นเรื่องราวของนักโทษคดียาเสพติดท่านแรกคือ นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผู้อำนวยการทัณฑสถานฯ และนายวีระ ทวีชนม์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและแผนยาเสพติดสำนักยาเสพติดกรมราชทัณฑ์ เป็นอีกท่านหนึ่ง
        ก่อนที่ผู้อำนวยการสรสิทธิ์ จะพาผมไปเยี่ยมชมตามแดนต่าง ๆ ได้พาผมไปยังห้องประชุมเพื่อชมสไลด์ ทำให้ได้รับรู้ว่าเรือนจำที่ผมกำลังมาเป็นแขกรับเชิญครั้งนี้รับเฉพาะผู้ต้องขังที่กระทำความผิดตาม พรบ.ยาเสพติด พ.ศ. 2532 ต้องโทษไม่เกิน 10 ปี มีผู้ต้องขังทั้งสิ้น 4,201 คน แบ่งเป็น คดีจำหน่าย 1,329 คน คิดเป็นร้อยละ 32 คดีเพื่อครอบครองเพื่อจำหน่าย 2,764 คน คิดเป็นร้อยละ 65 และคดียาเสพติด 108 คน คิดเป็นร้อยละ 3
        ผู้อำนวยการบอกว่า ปกติเรือนจำจะมีความจุในการควบคุมผู้ต้องขังได้ 1,551 คน จุได้เต็มที่ 2,907 คน แต่ยอดผู้ต้องขังจริง ๆ มี 4,201 คน จึงถือว่าเกินความจุปกติอยู่ 1,294 คน
        การฟื้นฟูสมรรถภาพนักโทษเด็ดขาดคดียาเสพติดของทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี ใช้หลัก "ชุมชนบำบัด" นั้นคือ ให้ผู้ต้องขังปกครองกันเอง ตักเตือนกันเอง
        ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมฯ มี 11 แดน ผู้อำนวยการสรสิทธิ์พรผมเดินชมทีละแดน ได้เห็นความมีระเบียบวินัยทั้งของผู้ผู้คุมและผู้ต้องขัง เมื่อผู้อำนวยการไปถึงแดนไหน หัวหน้าผู้คุมจะวิ่งมาแสดงความเคารพ แล้วรายงานตัวด้วยเสียงอันดังว่า ตนชื่อ นามสกุลอะไร เข้าเวรตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. จากนั้นก็จะบอกว่า "เหตุการณ์ปกติ ครับผม" ระหว่างนั้นบรรดาผู้ต้องขังก็จะเห็นและได้ยินการรายงาน เมื่อเดินทางมาถึงผู้ต้องขัง ผู้ต้องขังแต่ละแดนก็ยืนขึ้นพร้อมกันพร้อมกับเปล่งเสียงแสดงความเคารพ
        ชีวิตผู้ต้องขังในเรือนจำจะถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระบบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง รวมถึงการฝึกโยคะอย่างถูกหลัก ถูกวิธีเพราะมีครูฝึกสอน เรียกว่า กิจกรรมกายบำบัด นอกจากนี้ก็มี จิตบำบัด ให้ผู้ต้องขังฟังพระธรรมเทศนา อาชีวบำบัด หรือ งานบำบัด ให้ผู้ต้องขังได้ทำงาน เช่นงานธุรการ งานเกษตร งานเลี้ยงสัตว์ งานตกแต่งสวนหย่อม งานดูแลความสะอาด งานล้างส้วม ฯลฯ กิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ ทุกเช้าผู้ต้องขังจะมานั่งประชุมกัน แล้วให้แต่ละคนได้ออกมาพูดถึงข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานและช่วยตักเตือนเพื่อจะได้ไม่ทำบกพร่องหรือผิดพลาดอีก,สมาธิบำบัด ผู้ต้องขังถูกฝึกให้มีสมาธิเพื่อจิตใจจะได้มั่นคง,ศิลปะบำบัด ผู้ต้องขังมีกิจกรรมวาดภาพ ระบายสีเพื่อให้มีจิตใจเยือกเย็น,ละครบำบัด ให้ผู้ต้องขังได้แสดงออกด้วยการแสดงละคร ซึ่งรับได้ทุกบทบาท บทเศร้าถึงกับเอาบุคคลภายนอกที่มาชมต้องหลั่งน้ำตาเพราะสะเทือนใจ บทตลกขำกลิ้ง หัวเราะงอหายทีเดียว
        ดนตรีบำบัด เป็นกิจกรรมที่ขึ้นชื่อสำหรับทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี เพราะได้นำเอาผู้ต้องขังมาเล่นดนตรี และขับร้องเพลงประกอบเครื่องดนตรีการร้องเพลงประสานเสียงที่แสดงถึงความไพเราะของน้ำเสียงที่เกิดจากประสานกัน ความพร้อมเพรียงและเนื้อหาของเพลงก็จะสื่อความหมายในทางสร้างสรรค์กับผู้ฟัง
        ผมได้ฟังการขับร้องเพลงประสานเสียง 2 เพลงจากผู้ต้องขังที่ผู้อำนวยการสรสิทธิ์จัดให้ผู้ต้องขังประมาณ 20 คน ยืนเป็นแถวร้องเพลงประสานเสียงที่แสดงถึงความไพเราะของน้ำเสียงที่เกิดจากการประสานกัน ความพร้อมเพรียงและเนื้อหาของเพลงกจะสื่อความหมายในทางสร้างสรรค์กับผู้ฟัง
        ผมได้ฟังการขับร้องเพลงประสานเสียง 2 เพลงจากผู้ต้องขัง ที่ผู้อำนวยการสรสิทธิ์จัดให้ ผู้ต้องขังปะมาณ 20 คน ยืนเป็นแถวร้องเพลงประสารเสียง ถือเป็นการซ้อมใหญ่ไปในตัวเพราะช่วงบ่ายชุมชน "70 ไร่" ย่านคลองเตยจะมาเยี่ยมชมและจะมาฟังเพลงประสานเสียงของนักร้องเหล่านี้
        "รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหน ไหนก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเพณี ไม่มีกีดกั้น เกิดใต้ร่มธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย" ผมได้ฟังเพลง "รักกันไว้เถิด" จากผู้ต้องขังแล้วถึงกับขนลุก พลันจิตใจก็ไหวหวั่น ครุ่นคิดอยู่คนเดี่ยวว่า คนเหล่านี้เป็นผลิตผลของสังคมที่โทรม" มากด้วยปัญหา เมื่อพวกเขาก้าวผิดพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง ควรได้รับโอกาสจากสังคมให้กลับตัวเป็นคนดีและเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ
        ผู้อำนวยการสรสิทธิ์ยังบอกว่า ทัณฑสถานมีโครงการเรือนจำเยี่ยมโรงเรียนนำผู้พ้นโทษ และเจ้าหน้าที่ของทัณฑสถานไปบรรยายให้นักเรียนได้ฟังถึงพิษภัยและโทษทัณฑ์ของผู้ค้า ผู้เสพยาเสพติด
        2 ชั่วโมงที่ผมอยู่ในทัณฑสถานบำบัดพิเศษ ปทุมธานี เป็นเสี้ยวเวลาที่มีคุณค่า ขณะผมเดินทางกลับก็นึกไปว่า งานบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังคดียาเสพติดในเรือนจำเป็นงานที่สังคมมองไม่เห็น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่อยู่ในทัณฑสถานมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูผู้ต้องขัง ปัญหาเจ้าหน้าที่น้อยไม่เพียงพอก็ดี สถานที่คับแคบก็ดี งบประมาณน้อยก็ดี ฯลฯ ควรที่ผู้บริหารประเทศอย่างนักการเมืองควรจะได้แวะไปดูกันบ้าง
        ด้านหนึ่งจะได้รู้จักปลงกับชีวิต เลิกคิดกอบโกยตักตวงด้วยการทุจริต อีกด้านหนึ่งก็จะได้คิดหาทางแก้ไขปัญหาให้กับราชทัณฑ์

ดอกไม้ประดิษฐ์ "1 เรือนจำ 1 ผลิตภัณฑ์"  (จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หน้า 36 วันที่ 6 พฤษภาคม 2546)
        ภายในจำนวนพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด เรือนจำจังหวัดนครนายกยังมีภารกิจที่สำคัญ คือการควบคุมและดูแลผู้ต้องขังทั้งชายและหญิงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งในการควบคุมดูแลของทางเรือนจำนครนายกนั้นจะต้องให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ในกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยได้มีการดำเนินการแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ที่ได้กระทำความผิด เพื่อให้ผู้กระทำความผิดเหล่านั้นได้มีจิตสำนึกทีดี มีความรับผิดชอบ และมีความประพฤติดีพร้อมที่จะได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นพลเมืองดี อยู่ร่วมกับสังคมภายนอกได้อย่างเปิดเผย เมื่อพ้นโทษออกไปแล้ว 
        ด้วยเหตุนี้เองเรือนจำจังหวัดนครนายก โดยนายจุมพล กุลจิราพงศ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนครนายก ได้ตระหนักด้วยดีเสมอมาเกี่ยวกับการควบคุมดูแลผู้ต้องขังทั้งชายและหญิง จึงแก้ไขปัญหาและให้การศึกษาตลอดจนการหาวิชาชีพโดยฝึกให้กับผู้อบรมผู้ต้องขังหญิงทั้งหมดจำนวน 150 คน ซึ่งทางฝ่ายการศึกษาและพัฒนาจิตใจเรือนจำจังหวัดนครนายกได้มองเห็นถึงความสำคัญของการฝึกวิชาชีพ ตามตลาดแรงงานต้องการ และการประกอบอาชีพอิสระ โดยเปิด หลักสูตรวิชาชีพดอกไม้ประดิษฐ์ ขึ้นเพื่อดำเนินการให้เป็นรูปธรรม และสามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ต้องขังอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งทางเรือนจำจังหวัดนครนายกได้ดำเนินการประสานงานกับวิทยากรภาคเอกชนภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อมาทำการอบรมให้กับผู้ต้องขังหญิงทั้งหมด โดยได้จัดทำการขอเงินงบประมาณในวงเงินไม่เกิน 20,000 บาท เพื่อสนับสนุนในการอบรมครั้งนี้พร้อมกับได้ทำรายงานผลให้ทางกรมราชทัณฑ์ทราบ
        สำหรับวัตถุประสงค์ในการอบรมครั้งนี้ นายจุมพล กุลจิราพงศ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนครนายก กล่าวว่า เพื่อที่จะให้ผู้ต้องขังหญิงเหล่านั้นได้มีทักษะและความรู้ในการทำดอกไม้ประดิษฐ์ นอกจากนี้เป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้ต้องขังหญิงเมื่อหลังพ้นโทษออกไปแล้ว ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกันนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของทางรัฐบาล ได้จัดดำเนินการโดยทางเรือนจำจังหวัดนครนายก ได้จัดอบรมโครงการดอกไม้ประดิษฐ์ในครั้งนี้ให้เป็นโครงการ "หนึ่งเรือนจำ หนึ่งผลิตภัณฑ์" อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันแต่ละเรือนจำได้ดำเนินการอยู่หลายรูปแบบ ดังนั้นเพื่อเป็นการปรับทิศทางในการดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทางเรือนจำจังหวัดนครนายกจึงจำเป็นต้องเน้นในการฝึกวิชาชีพเพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เนื่องจากว่าเป็นอาชีพอิสระ ซึ่งผู้ต้องขังเหล่านั้นสามารถนำเอาภูมิปัญญาของตัวเองมาประยุกต์ โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาประกอบในการจัดฝึกอบรมวิชาชีพ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ต้องขังหญิงเหล่านั้นนำกลับไปดำเนินการประกอบสัมมาอาชีพได้ในท้องถิ่นเมื่อหลังพ้นโทษออกไปแล้ว โดยจะสามารถอยู่ร่วมกับสังคมภายนอกได้อย่างมีความสุข 
        โครงการดังกล่าวหลังจากที่ได้จัดให้มีการฝึกอบรมทำดอกไม้ประดิษฐ์ไปแล้วนั้น ปรากฏว่าได้ประสบกับความสำเร็จ ผู้ต้องขังหญิงทุกคนนั้นต่างก็ให้ความสนใจ เนื่องจากว่าเป็นงานที่ละเอียดอ่อนสำหรับผู้หญิงและก็ทำง่าย ซึ่งทางเรือนจำจังหวัดนครนายก ก็มีความหวังเอาไว้ว่า ผู้ต้องขังหญิงเหล่านั้นทุกคนเมื่อพ้นโทษออกไปแล้วก็สามารถที่จะนำเอาวิชาชีพ การทำดอกไม้ประดิษฐ์ออกไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ได้อย่างมีความสุขต่อไป

คอลัมน์ เครื่องเคียง  (จากหนังสือพิมพ์มติชน หน้า 11 วันที่ 8 พฤษภาคม 2546)
        นับว่าสร้างความตะลึงไม่น้อยกับกลวิธีการซุกซ่อนสิ่งของต้องห้ามเข้าเรือนจำ หลังจากนายนัทธี จิตสว่าง รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ออกมาแถลงเองเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2546 ถึงวิธีการลักลอบนำของต้องห้ามเข้าเรือนจำ ประเภทโทรศัพท์มือถือ ยาเสพติด ที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ สามารถตรวจค้นพบก่อนส่งให้ผู้ต้องขังหรือนักโทษ
        วิธีที่ฮือฮาคือการซุกซ่อนโทรศัพท์มือถือ พร้อมกับลูกเต๋าแม่เหล็กเอาไว้ในขาหมูชิ้นโต
        เป็นขาหมูชิ้นโตที่นางมาลี เล็กกิ้มลิ้ม เป็นผู้ส่งให้นักโทษชาย พนม พ่วงมี นักโทษเด็ดขาดโทษประหารชีวิตคดีฆ่า 3 ศพ ที่เยาวราช ซึ่งถูกควบคุมตัวที่เรือนจำกลางบางขวาง
        ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนขยายผลว่า น.ช.พนม มีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดภายในเรือนจำหรือไม่
        ไม่เท่านั้น นายนัทธียังบอกถึงวิธีการลักลอบนำของต้องห้ามเข้าเรือนจำที่ตรวจพบอีกมากมายหลายวิธี โดยแยกเป็น 2 ลักษณะ คือ
        1. การลักลอบโดยผ่านทางสิ่งของอุปโภคบริโภค อย่างเช่น
            - เฮโรอีนซุกซ่อนในกระปุกเครื่องสำอาง
            - ไข่พะโล้ยัดไส้ยาบ้า
            - ยาบ้าสอดไส้พริกแห้ง
            - ซิมการด์ในกล่องพัสดุ ที่ซุกยัดไว้ในส่วนของฝากล่อง
            - ยาบ้าซุกซ่อนในผลไม้ อย่างเช่น แตงโม สับปะรด
            - มาม่า เคลือบกัญชานำไปละลายน้ำ
            - ซุกซ่อนหูฟังโทรศัพท์ในกระป๋องน้ำอัดลม
            - โทรศัพท์มือถึงในขวดแชมพู
            - เฮโรอีนบรรจุหลอดกาแฟสอดไส้ในผักบุ้งแกงหมูเทโพ
        2. การลักลอบโดยผ่านทางบุคคล อย่างเช่น
            - นำยาเสพติดซุกซ่อนที่ชายกางเกง เสื้อผ้า รองเท้าที่สวมใส่เข้ามา
            - นำยาบ้ามาอัดเป็นรูปพระเครื่องแล้วนำเข้าสู่เรือนจำ โดยผ่านทางการเยี่ยมญาติแบบใกล้ชิด
            - การนัดเวลาโยนยาบ้าข้ามกำแพงเรือนจำ
            - ซิมการ์ดที่ซุกซ่อนทางทวารหนัก
            - การลักลอบน้ำของต้องห้ามผ่านทางรถที่เข้าออกเรือนจำ
        อย่างไรก็ตาม ทางกรมราชทัณฑ์มิได้นิ่งเฉยพยายาม หาวิธีมาตรการป้องกันและแก้ไขระเบียบ ของเรือนจำในเรื่องของโทรศัพท์มือถือ ให้เป็นสิ่งของต้องห้ามนำเข้าสู่เรือนจำ
        ในปัจจุบันการลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าเรือนจำนั้นเป็นเพียงการลงโทษทางวินัย ยังไม่มีการลงโทษทางอาญา เพียงแต่ให้เจ้าหน้าที่ขยายผลว่าเป็นการพัวพันกับยาเสพติด ถึงจะสามารถดำเนินคดีทางอาญาได้
        "กรมราชทัณฑ์ สามารถดำเนินการทางวินัย และอาญากับเจ้าหน้าที่เรือนจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งหมด 16 คน แยกเป็นจำคุก 50 ปี 1 ราย ถูกศาลขั้นต้นตัดสินประหารชีวิต 2 ราย กำลังดำเนินทางอาญา 3 ราย กำลังดำเนินการสอบสวน 8 ราย ถูกลงโทษทางวินัย 2 ราย " นายนัทธี เผยถึงมาตรการที่ดำเนินการมา
        ฟังรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แถลงถึงวิธีการต่างๆ ในการซุกซ่อนของต้องห้ามเข้าเรือนจำแล้วเชื่อว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทางเรือนจำสามารถตรวจพบเท่านั้น
        น่าจะมีอีกหลายวิธีที่พลิกแพลงรอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่เข้าไปในเรือนจำได้
        แต่จะวิธีไหนก็ตามถ้าเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่หรี่ตาด้วยเชื่อว่าคงทำได้ยาก!