พระพุทธบาท
-
พระพุทธบาท
เป็นบริโภคเจดีย์
ซึ่งเป็นเจดีย์ประเภทหนึ่งในสี่ประเภทของพระพุทธเจดีย์
สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา
เช่นเดียวกับพระพุทธธาตุเจดีย์
- การนับถือรอยพระพุทธบาทเป็นเจติยสถาน
มีมูลเหตุเกิดขึ้นจากสองคติต่างกัน
คือ
เป็นคติของชาวมัชฌิมประเทศหรือชาวอินเดียในครั้งโบราณอย่างหนึ่ง
และเป็นคติของชาวลังกาทวีป
คือ
ชาวลังกาในปัจจุบันอย่างหนึ่ง
- สำหรับคติของชาวมัชฌิมประเทศนั้น
เดิมถือกันตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
และก่อนหน้านั้นว่า
ไม่ควรสร้างรูปเทวดาหรือมนุษย์ขึ้นไว้บูชา
ดังนั้นเจดีย์ที่พุทธศาสนิกชนสร้างขึ้นเมื่อก่อนพุทธศักราช
500
จึงทำแต่สถูปหรือวัตถุต่าง
ๆ
เป็นเครื่องหมาย
สำหรับบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้า
ซึ่งรอยพระพุทธบาทก็เป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่นิยมทำกันในสมัยนั้น
- ส่วนคติที่ถือกันในลังกาทวีปนั้น
เกิดขึ้นภายหลัง
โดยอ้างว่า
พระพุทธเจ้าได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ให้เป็นที่สักการะบูชา
มีอยู่ห้าแห่งด้วยกัน
คือที่เขาสุวรรณมาลิก
เขาสุวรรณบรรพต
เขาสุมนกูฏ
ที่เมืองโยนกบุรี
และที่หาดในลำน้ำนัมทานที
มีคาถา
คำนมัสการ
แต่งไว้สำหรับสวดท้ายบทสวดมนต์อย่างเก่า
ดังนี้
สุวณฺณ
มาลิเก
สุวณฺณ
ปัพพเต |
|
สุมนกูเฏ
โยนกปุเร |
นมฺมทาย
นทิยา
ปัญฺจปทวรํ |
|
อหํ
วนฺทามิ
ทูรโต |
-
เดิมเรารู้จักแต่รอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ
ซึ่งอยู่ที่ลังกาทวีปแห่งเดียว
ตามตำนานในเรื่องมหาวงศ์
มีว่า
ครั้งหนึ่ง
พระพุทธเจ้าได้เสด็จโดยทางอากาศไปยังลังกาทวีป
ได้ทรงสั่งสอนชาวลังกาทวีป
จนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังมัชฌิมประเทศ
ได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหารย์
ประทับรอยพระพุทธบาท
ซึ่งมีขนาดใหญ่
มีความยาวประมาณหนึ่งวา
ประดิษฐานไว้บนยอดเขาสุมนกูฏ
สำหรับให้ชาวลังกาได้สักการะบูชาต่างพระองค์
- ฝ่ายพุทธศาสนิกชน
ที่นับถือพระพุทธศาสนาตามลัทธิลังกาวงศ์
เช่น ไทย
พม่า มอญ
ต่างก็พยายามไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้
เป็นเวลาช้านาน
-
ล่วงมาถึงรัชกาลพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา
(พ.ศ. 2163-2173)
เมื่อพระสงฆ์ไทยคณะหนึ่ง
เดินทางไปนมัสการ
รอยพระพุทธบาทที่ลังกาทวีป
ณ
เขาสุมนกูฏ
พระสงฆ์ลังกาได้ถามว่า
ในบรรดารอยพระพุทธบาทที่มีอยู่ห้าแห่งนั้น
แห่งหนึ่งอยู่ที่เขาสุวรรณบรรพตในประเทศสยามเอง
ชาวสยามทำไมจึงไม่ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนั้น
เมื่อคณะสงฆ์ดังกล่าวเดินทางกลับมายังอยุธยา
จึงนำความเข้าทูลพระเจ้าทรงธรรม
พระเจ้าทรงธรรมจึงได้โปรดเกล้า
ฯ
ให้มีตราสั่งบรรดาหัวเมืองทั้งหลายให้ไปตรวจค้นดูตามภูเขาต่าง
ๆ
ว่ามีรอยพระพุทธบาทอยู่
ณ
ที่แห่งใดหรือไม่
ในครั้งนั้น
ผู้ว่าราชการเมืองสระบุรีสืบได้ความจากพรานบุญว่า
ครั้งหนึ่งตัวพรานบุญเองได้ไปล่าเนื้อในป่าริมเชิงเขา
ได้ใช้หน้าไม้ยิงถูกเนื้อตัวหนึ่งบาดเจ็บ
เนื้อนั้นได้วิ่งหนีขึ้นไปบนไหล่เขาเข้าเชิงไม้ไป
พอบัดเดี๋ยวก็เห็นเนื้อตัวนั้นวิ่งออกจากเชิงไม้ไปเป็นปกติดังเดิม
พรานบุญแปลกใจจึงขึ้นไปดูบนไหล่เขานั้น
ก็เห็นมีรอยอยู่ในศิลาเหมือนรอยเท้าคน
ขนาดยาวประมาณศอกเศษ
มีน้ำขังอยู่ในรอยนั้น
ก็สำคัญว่าเนื้อคงหายบาดเจ็บเพราะกินน้ำนั้น
จึงตักเอามาลองลูบตัวดู
บรรดากลากเกลื้อนที่ตนเป็นอยู่มาช้านานก็หายหมด
ผู้ว่าราชการเมื่อสระบุรีทราบดังนั้น
จึงไปตรวจดูเห็นมีรอยอยู่จริงตามที่พรานบุญเล่าให้ฟัง
จึงได้มีใบบอกเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าทรงธรรมจึงได้เสด็จออกไปทอดพระเนตรเห็นจริง
จึงทรงพระราชดำริว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาท
ตรงตามที่ลังกาบอกมาเป็นแน่แท้
ก็ทรงโสมนัสศรัทธาด้วยเห็นว่า
เป็นเจดีย์เนื่องชิดติดต่อถึงพระพุทธเจ้า
ประเสริฐกว่าอุเทสิกเจดีย์
เช่น
พระพุทธรูป
และพระสถูปเจดีย์
ซึ่งเป็นของสร้างขึ้นโดยสมมติ
จึงโปรดเกล้า
ฯ
ให้สร้างเป็นมหาเจดียสถาน
มีพระมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท
และมีสังฆารามที่พระภิกษุสงฆ์บริบาล
และสร้างบริเวณพระราชนิเวศน์ที่เชิงเขาพระพุทธบาทแห่งหนึ่ง
กับที่ท่าเจ้าสนุกริมลำน้ำป่าสักอีกแห่งหนึ่ง
สำหรับประทับเวลาเสด็จไปสักการะบูชา
แล้วโปรดเกล้า
ฯ
ให้ช่างชาวฮอลันดา
ส่องกล้องทำถนน
ตั้งแต่ท่าเรือขึ้นไปจนถึงสุวรรณบรรพต
เพื่อให้มหาชนเดินทางไปมาได้สดวก
ทรงพระราชอุทิศที่หนึ่งโยชน์ โดยรอบรอยพระพุทธบาท
ถวายเป็นพุทธบูชา
กัลปนาผลซึ่งได้เป็นส่วนของหลวงในที่นั้น
สำหรับใช้จ่ายในการรักษามหาเจดียสถาน
และให้บรรดาชายฉกรรจ์ที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเขตที่ทรงพระราชอุทิศนั้น
พ้นจากหน้าที่ราชการอื่น
โดยจัดให้เป็นขุนโขลนข้าพระ
ทำหน้าที่รักษาพระพุทธบาทแต่อย่างเดียว
บริเวณที่ทรงพระราชอุทิศนี้
ได้นามที่เรียกกันเป็นสามัญว่า
เมืองพระพุทธบาท
เกิดมีเทศกาลที่มหาชนไปบูชารอยพระพุทธบาท
ในกลางเดือนสามและกลางเดือนสี่เป็นประจำนับแต่นั้นมา
ความจริงรอยพระพุทธบาทอันเป็นที่มหาชนบูชาในประเทศไทย
มีมาก่อนสมัยพระเจ้าทรงธรรมแล้วช้านานและมีอยู่หลายแห่ง
โดยทำเป็นรอยพระพุทธบาทขนาดต่างกัน
4 รอย
อุทิศต่อพระพุทธเจ้าทั้ง
4 พระองค์
เช่นที่เขาในแขวงเมืองเชียงใหม่
ทำเป็นรอยพระบาททั้งซ้ายและขวา
ที่เป็นศิลาแผ่นใหญ่
เดิมอยู่ในเมืองชัยนาท
ปัจจุบันอยู่ที่วัดบวรนิเวศ
ฯ
และที่เรียกว่า
"พระยืน"
อยู่ในมณฑปใกล้พระแท่นศิลาอาส์น
เป็นต้น
การที่ทำแต่รอยพระพุทธบาทขวาข้างเดียวนั้นมีอยู่มาก
ที่สำคัญคือที่พระเจ้าธรรมราชาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย
ทรงสร้างไว้บนเขานางทอง
จังหวัดกำแพงเพชร
มีอักษรจารึก
อีกรอยหนึ่งไม่ปรากฎว่าผู้ใดสร้าง
ปัจจุบันอยู่ที่วัดพระรูป
จังหวัดสุพรรณบุรี
พระพุทธบาทรอยนี้จำหลักบนแผ่นกระดานไม้แก่น
ด้านหลังจำหลักรูปภาพเรื่องมารวิชัย
แต่ตรงที่พระพุทธรูปทำเป็นแท่นพระพุทธอาส์น
ไม่ได้ทำเป็นพระพุทธรูป
แสดงว่ารอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในประเทศไทย
ชั้นเดิมถือตามคติชาวมัธยมประเทศ
คือสร้างเป็นวัตถุที่สักการะบูชาแทนพระพุทธรูป
มิได้อ้างว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้
เพราะฉะนั้นการที่พบรอยพระพุทธบาท
ณ
เขาสุวรรณบรรพต
จึงทำให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาว่า
พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมา
ณ ที่นี้
ต่อมาได้เกิดเจดียสถานที่เชื่อกันว่าเป็นพุทธบริโภคอีกหลายแห่ง
คือ
พระพุทธฉาย
และพระแท่นดงรัง
เป็นต้น