: Reflections :
Author
Anonymous
Illustion A piece of leaf
Disclaimer
This story just a work of author imagination, none of this event claim to be happened in the real life.
Special Thanks Anonymous for let me post this cool story in my hp.With some reason she decide to renounce from the QUEST but I still love her fiction so much.
" Reflections "

 

 

คุณครับ…

คุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่า ตัวเองอ่อนแอ

ไม่มีกำลังหรือแรงบันดาลใจจะก้าวไปถึงจุดที่ฝัน

เคยไหมที่ก่อนจะลงมือทำสิ่งที่มุ่งหวังไว้

คุณต้องปล่อยให้ความรู้สึกบางอย่างครอบงำตัวคุณ

ความปรารถนาอันรุนแรง ที่อยู่ตรงข้ามกับสติสัมปชัญญะ

ถ้าไม่เคย

ผมขอแนะนำให้คุณปิดมันลงทันทีที่อ่านถึงบรรทัดนี้

แต่ถ้าเคย

บ่อยแค่ไหน

 


 

“CUT!!”

กว่าการถ่ายทำสำหรับวันนี้จะสิ้นสุดลงก็บ่ายคล้อยไปมากแล้ว ทุ่งหญ้าที่ถูกกำหนดไว้เป็นฉากยุทธภูมิระหว่างทัพจากไอเซนการ์ดกับโรฮันถูกย้อมด้วยสีเหลืองอมส้มของดวงอาทิตย์ที่อีกไม่นานนักก็จะอัสดง หลังจากที่เช็คภาพจากมอนิเตอร์เรียบร้อยแล้ว Director ก็ประกาศให้ทุกคนเตรียมตัวเก็บข้าวของกลับที่พักกันได้

ผมยืนรอให้ staff คนอื่น ๆ เก็บของเรียบร้อยแล้วเราจะกลับโรงแรมพร้อมกัน พลางบิดตัวไปมาด้วยความเหนื่อยล้าจากการงาน
การแสดงตัวเป็นอีกคนหนึ่งที่แทบจะไม่มีบุคลิกคล้ายกับตัวคุณเลย เป็นงานที่ยากลำบากมาก โดยเฉพาะกับบทสิ่งมีชีวิตที่มีพลังอำนาจเหนือมนุษย์ด้วยแล้ว

ในระหว่างนั้น
สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับชายคนหนึ่งที่ยืนแยกห่างออกไปจากกลุ่มคนที่กำลังเดินกันขวักไขว่
เขาเป็นอย่างนี้เสมอ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัว มีเขาเท่านั้นที่หยุดนิ่ง

เขาตรึงสายตาผมไว้ได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน หรือทำอะไรอยู่

แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเดียว นอกจากยืนค้างอยู่ในท่านั้น กุมดาบเปลือยคมกระชับ ดวงตาสีโลหะทอดยาวมองจรดขอบฟ้า
เหมือนกษัตริย์ที่กำลังทอดตามองแผ่นดินใต้การปกครองของตัวเอง แสงแดดยามเย็นทอทาบบนดั้งจมูกและโหนกแก้ม ก่อให้เกิดแสงเงากลมกลืนเหมือนงานประติมากรรม

นี่ถ้าผมเป็นช่างภาพหรือกวี คงจะได้ผลงานชิ้นเยี่ยมวันนี้เอง

เสียงตะโกนโหวกเหวกมาจากอีกทางหนึ่ง ทำให้รูปประติมากรรมของผมขยับตัว ผมรีบเบือนสายตาไปหาต้นเสียงทันที ผมไม่อยากให้เขารู้สึกถึงสายตาของผม

เพื่อน ๆ อีกห้าคนนั่งล้อมวงกันอยู่ใกล้ ๆ รถขนอุปกรณ์การถ่ายทำ อาศัยเงารถหลบแดด พลางตะโกนร้องเรียกเราสองคน …ผมและเขา… ให้ไปร่วมวงด้วยกัน

ผมอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นว่าพ่อครัวในเรื่อง กำลังไสน้ำแข็งเหย็ง
โดยมีเจ้านายของเขาถือช้อนและขวดน้ำหวานเตรียมไว้รอท่า

ผมเบือนหน้าไปมองคนที่ถูกชวนอีกคนเป็นทำนองหารือ เขามองนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ

ดาบถูกสอดเข้าฝัก เขายกมือขึ้นขยี้ที่หัวคิ้วคล้ายกำลังเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลีย
ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ และพยักเพยิดให้ผมเข้าไปร่วมวงกับพวกนั้น ส่วนตัวเขาเองเดินไปเสียอีกทางหนึ่ง

ผมมองตามด้วยความเสียดาย…


“ไปให้พ้น!”

เสียงแหบห้าวที่เจือด้วยอารมณ์อันรุนแรงดังก้องจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ถ้วยน้ำแข็งไสที่จะเอามาฝากเกือบหลุดจากมือ ดีแต่ผมคว้าเอาไว้ทัน

“ไล่ฉัน? นายแน่ใจหรือว่านายไม่ต้องการฉันแล้ว?”

ผมกำลังจะสงสัยอยู่เชียวว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าผมเข้ามา ในเมื่อผมย่องออกเงียบกริบ เขาไม่ได้พูดกับผมหรอก แต่กำลังพูดกับใครอีกคนหนึ่ง

“ฉันไม่ต้องการได้ยินเสียงของนาย ฉันไม่ต้องการเห็นภาพของนาย นายก้าวก่ายชีวิตของฉันมากเกินไปแล้ว ไปให้พ้นฉันเสียที!”

ความสงสัย ทำให้ผมทำสิ่งที่ผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต

“อย่าพูดให้ขำดีกว่า”

ผมยื่นหน้าเข้าไปในมุมมืดของท้ายรถที่เป็นสถานที่เก็บเครื่องแต่งตัวของบรรดานักแสดง
ส่วนหนึ่งถูกดัดแปลงไว้เป็นที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ด้วยความสงสัยว่าคู่สนทนาของผู้ที่ผมตั้งใจจะมาหานั้นเป็นใคร

แสงอาทิตย์สีส้มที่เข้มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา ลอดผ่านรอยแยกของประตูท้ายรถ
สาดส่องเข้าไปข้างใน สะท้อนกับกระจกเงาบานยาวมาแยงตาผมจนต้องหรี่ตาหนีหามุมที่เหมาะสมกว่านั้น

“นายทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าไม่มีฉัน วิก หรือจะพูดให้ถูกต้องขึ้นคือ ไม่มี ‘เรา’ ไม่มีวันที่จะมาถึงจุดนี้ ไม่มีทางที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของนายอยู่เดี๋ยวนี้ นายมันไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีความกล้า ไม่มีความสามารถ ไม่มีอะไรเลย … พอมาถึงวันนี้ นี่คือสิ่งที่นายตอบแทนสำหรับทุกอย่างที่เราทำมาให้นายงั้นเหรอ นายต้องการให้ฉันไป ถ้าต้องการแบบนั้นก็ได้ แต่คิดจะทำยังไงกับสิ่งที่ยังเหลือค้างอยู่ล่ะ”

“ฉันไม่รู้…แต่ฉันปล่อยให้นายอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”

ภาพที่ตาผมเห็น เป็นคนละภาพกับที่จินตนาการ

ใช่…ถึงตอนนี้ คุณก็คงพอจะเดาเรื่องราวในตอนต่อไปได้แล้ว… และบางทีคุณอาจจะตระหนักถึงอะไรที่ควรตระหนักได้มากกว่าผมในตอนนั้น…

ร่างสองร่างยืนอยู่เคียงข้างกัน หันหน้าเข้าหากัน ศอกต่อศอกประชิด เช่นเดียวกับใบหน้าก้มต่ำที่สะท้อนกันและกัน ร่างกายทั้งสองร่างเปลือยเปล่า นอกเสียจากเสื้อคลุมยาวที่คลุมทับอยู่บนไหล่

“ทำไม? วิก? นายกังวลใจอะไรเรื่องการคงอยู่ของฉันอย่างนั้นหรือ? สิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมดไม่ได้สร้างนายขึ้นมาเป็นอย่างทุกวันนี้หรือไง?”

ผมเห็นดวงตาสีเหล็กทั้งสองคู่สบกัน

“แต่มันชัดเจนเกินไปแล้ว…”

“แล้วมีอะไรไม่ดีหรือ วิก?”

“ฉันกำลังจะเป็นบ้า…”

“แรงบันดาลใจไม่ใช่ความบ้าคลั่ง”

“นายไม่สมควรจะมายืนพูดอยู่ตรงนี้”

“ทำไมฉันถึงไม่สมควรจะมาอยู่ตรงนี้”

“เพราะนายมันไม่มีตัวตน นายเป็นสิ่งที่จินตนาการของฉันสร้างขึ้นมา ฉันย้อมวิญญาณตัวเองเป็นบุคคลที่ฉันต้องการเป็น แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ความเป็นจริง นายไม่ควรจะมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเองจนกระทั่งมายืนเถียงฉันอยู่อย่างนี้!”

ร่างสองร่างหอบตัวโยนด้วยฤทธิ์โทสะ แต่เสียงลมหายใจท่ามกลางความเงียบสงัดมีเพียงเสียงเดียว

มีเพียงชีวิตเดียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากระจกเงาบานนั้น

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะวิก ที่จะโชคดีจนได้มายืนเถียงกับตัวเองอยู่อย่างนี้ รู้เสียมั่งว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน” ร่างทั้งสองร่างยักไหล่พร้อมกัน

“ทุกคนอาจจะเคยพูดกับตัวเองที่หน้ากระจก แต่นั่นเป็นแค่ความคิดคำนึง”

“งั้นแกก็กลับไปเป็นแค่ความคิดคำนึงเสียที” เขายกสองมือขึ้นปิดหน้าอย่างอ่อนระโหยและใกล้ยอมแพ้เต็มทน

“ทำไมนายต้องเดือดร้อนด้วยนะ ฉันไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อนายหรอกหรือ ฉันคือแรงบันดาลใจ ฉันคือพรสวรรค์ ฉันคือความสามารถ…”

“ทุกชีวิตล้วนดำรงอยู่ด้วยประสบการณ์ที่พบ และย้อมตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมา”

“แล้วใครจะบอกได้ว่า วินาทีไหนคือตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง”

“ดูดี ๆ สิวิก นายนั่นแหละ จินตนาการ…”


มือทั้งสองของผมถูกรวบขึ้นมาจูบ ก่อนที่ใบหน้าก้มต่ำจะเงยขึ้น ดวงตาสีโลหะคมกล้าตวัดมองผม เรียกความรู้สึกปั่นป่วนให้บังเกิดขึ้นในอกของผม

ผมเบือนหน้าไปทางกระจกเงา เขาเบือนตาม

ตอนนี้ใบหน้าที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาเปลี่ยนไปแล้ว

ดวงตาสีเดิม แต่มีประกายแตกต่าง

ร่างกายยังอยู่ที่เดิม แต่บางสิ่งบางอย่างสลับที่

เหมือนที่ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าสลับที่จาก ‘ผู้สังเกตการณ์’ มา ‘ร่วมเหตุการณ์’ ได้อย่างไร

“แม้แต่เด็กคนนี้ก็เหมือนกัน”

เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานของเขากระซิบอยู่ที่ข้างหู เสียง…ที่เขาไม่เคยใช้กับผมมาก่อนเลย

ความอบอุ่นของร่างกายโอบล้อม ไม่รู้ว่าอะไรส่งผลให้ร่างกายของผมไม่สามารถขยับเขยื้อน

“สิ่งที่นายรักในตัวฉันคืออะไร ออลี่” เสียงนั้นถาม

“ความสามารถของฉัน พรสรรค์ของฉัน ฉันคือแรงบันดาลใจของนาย คือต้นแบบที่นายต้องการจะเป็น”

ความจริงที่ไม่แตกต่างจากความฝัน หรือมนต์สะกดจากดวงตาสีเหล็กคู่นั้น

“ทุกสิ่งที่นายรักคือฉัน และฉันคนนี้ ยินดีที่จะตอบสนองความรู้สึกของนายด้วยความสมหวัง”

ผมสบตาเขา

ผมเห็นตัวเองพิจารณารอยยิ้มจากชายที่ผมหลงใหลด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม สะท้อนมาจากดวงตาคู่นั้น

“ไม่…มันไม่เหมือนเดิม”

รอยยิ้มของเขาจางไป

“อะไร”

“ผมไม่ปฏิเสธว่าหลงใหลในสิ่งที่คุณเอ่ยถึง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รักความเอื้ออารี การคิดถึงคนอื่น และความเสียสละที่อยู่ในตัวคุณ”

สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไป ดวงตาคู่นั้นมีประกายลึกลง

เพลิงโทสะลุกไหม้อยู่ในนั้น


สีแดง…


ครอบคลุมทุกหนทุกแห่ง…

เปลวไฟ…กำลังลามเลีย

ไฟโทสะ ไฟโมหะ และไฟราคะ…

ผมมองดู ด้วยสายตาที่ปราศจากความรู้สึก

ความเจ็บปวดแทรกเสียดร่างกายราวจะฉีกทำลายให้สลายออกเป็นชิ้น แต่ไม่สามารถสะกิดภวังค์แห่งการรับรู้

ผมมอง…เหมือนยืนแยกห่างออกมาจากมัน…เหมือนภาพสะท้อนตรงหน้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวผม

ภาชนะที่ผมถือมาด้วยล้มกลิ้งอยู่มุมหนึ่ง ของเหลวสีแดงสดเจือจางรินไหลไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ

แสงสีแดงของอาทิตย์อัสดงลอดเข้ามาตามรอยแยกของประตูที่ปิดกั้นระหว่างวินาทีนี้กับโลกภายนอกไว้ ผมยังเห็นเพื่อน ๆ ยังนั่งล้อมวงกันอยู่ที่เดิมผ่านทางกระจกเงา

พวกเขาจะนึกสงสัยกันบ้างไหมว่าผมหายไปไหน

ผมเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ข้างหน้า ตัวผม…หรือไม่ใช่ตัวผม…

ส่วนไหนเป็นตัวผม…ส่วนที่กำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวดอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ หรือส่วนของความคิดคำนึงที่ล่องลอยอยู่ตอนนี้กันแน่…

ใครอยู่ในเงา…แล้วใครกันที่อยู่ตรงนี้…

มือของเขาขยับลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของผม มันอาบด้วยของเหลวสีแดงฉาน…เหมือนกับร่างทั้งร่างของผมในขณะนี้…

สีแดงจากร่างกายของเราทั้งสองคน…

แวบหนึ่ง ผมมองเห็นดวงตาสีเหล็กคู่นั้นประสานสายตากับผมออกมาจากในภาพสะท้อน

ดวงตาคู่เดิม ที่ผมรัก…

ประกายโอบอ้อม เอื้ออาทร ห่วงหา ลุแก่โทษ และโศกเศร้า

ดวงตาที่อาบด้วยเลือดของผมปิดลง

ผมไม่เคยอิจฉาอะไรมากเท่าเงาของตัวเองในกระจกเงาบานนั้นเลย…

 


“วิก…เอาดิบหรือสะ…ว๊ากกกก”

วิกโก้เงยหน้าขึ้นจากสมุดโน้ตที่ก้มหน้าก้มตาเคร่งเครียดอยู่เป็นนานสองนาน
เมื่อออลี่ที่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากในครัว แหกปากร้องลั่นพร้อมกับเต้นหรับ ๆ เข้ามากระชากสมุดจากมือไปกอดแน่น

“ช้าไปแล้ว อ่านจบแล้ว” ชายหนุ่มพูด แกล้งไม่สนใจกับสีหน้าที่ทั้งเบะทั้งเบี้ยวแถมน้ำตาร่ำ ๆ จะหยดของอีกฝ่าย “ก็อ่านเพลินดีเหมือนกันนะ เขียนต่อสิ”

“วิก…วิก…วิก…” ออลี่พูดไม่ออก ได้แต่เต้นไปเต้นมา “คุณ…คุณ…”

“น่า…ฉันไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์ที่เอาฉันไปเป็นตัวละครของนายหรอก” วิกโก้พูดยิ้ม ๆ

“ผม…ผมจะขยำมันทิ้งแล้ว” ออลี่งึมงำ หน้าแดงจัด

“ทำไมล่ะ ดีออก รู้มั้ยว่าพลังจินตนาการน่ะมาจากความปรารถนาส่วนลึกในจิตใจของผู้สร้างสรรค์นะ” วิกโก้ลุกขึ้นมาโอบหนุ่มน้อยไว้ในอ้อมแขนจากทางด้านหลัง แล้วซุกใบหน้าลงข้าง ๆ ใบหู
“ไอเดียของนายน่าทึ่งดีออก”

“จริงเหรอ?” ออลี่เริ่มมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขาเอี้ยวตัวมาพยายามสบตา แต่ไม่สำเร็จ เพราะอ้อมแขนของฝ่ายนั้นกอดไว้แน่นหนา

“จริงสิ…” หนุ่มใหญ่งับหูเจ้าเด็กแสบ พลางกระซิบ “จินตนาการฉันบรรเจิดเลยละ พรุ่งนี้ถ่ายเสร็จแล้วอย่าเพิ่งเปลี่ยนชุดล่ะ”

ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะประทับบนต้นคอ เขาก็ต้องร้องอุทานออกมาเมื่อถูกเจ้าเด็กแสบเตะหน้าแข้งเข้าให้เต็มเปา ออลี่แลบลิ้นให้วิกโก้ก่อนจะกอดสมุดวิ่งโครมครามขึ้นไปชั้นบน

“ออลี่!” วิกโก้ร้องอย่างฉุน ๆ พลางคลำหน้าแข้งป้อย “ลงมาเดี๋ยวนี้นะ! แล้วไข่ดาวของฉันล่ะ!”

“อยากมาแอบอ่าน fic ของผม กินไข่ไหม้ไปเถอะวิก!”

วิกโก้ส่ายหน้า โมโหก็โมโห ขำก็ขำ ที่สำคัญกลิ่นเหม็นไหม้ลอยมาจากในครัวแล้ว ขืนช้าคงจะมีควันและไฟตามมา เขารีบวิ่งเข้าไปจัดการกระทะที่เจ้าตัวยุ่งทิ้งไว้

“วิก” ออลี่โผล่หน้ามาจากบันได

“อะไรอีกล่ะ!”

“แล้วพรุ่งนี้คิวคุณจะหมดซักกี่โมง?”

เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบา ๆ พร้อมทั้งเสียงตอกไข่ใบใหม่ และอีกไม่นาน กลิ่นหอมของอาหารค่ำก็จะโชยตามมาในค่ำคืนอันสุขสงบ

 

Thank you for reading.
Please feel free to leave comment or message to the author

 

This homepage is owned by noname since 1999.All rights reserved.