"สุวรรณภูมิ" อยู่ที่นี่
ที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพัน
ย่านแม่กลอง-ท่าจีน
โดย ศรีศักร วัลลิโภดม
คัดลอกจากวารสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2543
--------------------------------------------------------------------------------
พัฒนาการของสังคมในดินแดนประเทศไทยมีหลักฐานของการตั้งถิ่นฐานถาวรในที่ราบลุ่มเป็นสังคมหมู่บ้านที่มีอาชีพหลักในด้านกสิกรรม
แต่ราว ๓,๕๐๐ ปีที่แล้วมา ผู้คนส่วนใหญ่คือผู้ที่เคลื่อนย้ายจากภายนอก
คือจากประเทศจีนตอนใต้ผ่านประเทศเวียดนามเข้ามาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างในดินแดนประเทศไทย
การเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานนี้ หาได้ขาดการติดต่อกับถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมไม่
หากเป็นการขยายพรมแดนทางเศรษฐกิจเข้ามา
เพราะดินแดนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานนี้ไม่อุดมสมบูรณ์เฉพาะแหล่งทำกินและอยู่อาศัยเท่านั้น
หากยังมีความหลากหลายทางชีวภาพ และทั้งทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิด
ที่กลุ่มชนที่มีความก้าวหน้าทางความรู้และเทคโนโลยีจากจีนตอนใต้จะใช้เป็นประโยชน์ได้
อย่างน้อยก็มีทรัพยากรสองอย่างที่ทำให้เกิดการแสวงหาและแลกเปลี่ยนกับทางจีนตอนใต้อันเป็นถิ่นฐานแต่เดิมได้
คือพวกแร่ธาตุและของป่า ซึ่งทางบ้านเมืองเดิมและทางจีนเหนือต้องการ
ผลที่ตามมาก็คือพัฒนาการทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่สมัย ๒,๕๐๐ ปีลงมา
คือมีผู้คนจากจีนตอนใต้เคลื่อนย้ายลงมาเพิ่มเติม
เกิดความก้าวหน้าทางด้านการคมนาคมทั้งทางบกและทางทะเล
รวมทั้งกลุ่มคนที่เป็นพวกค้าขายทั้งทางบกและทางทะเลขึ้นในดินแดนประเทศไทย
พัฒนาการทางสังคมและเศรษฐกิจดังกล่าวแลเห็นได้จากการเติบโตและขยายตัวของชุมชนเป็นบ้านเป็นเมืองหลายแห่งหลายท้องถิ่นมีผู้คนหนาแน่นและสัมพันธ์กับการถลุงโลหะธาตุ
อันได้แก่ทองแดงและเหล็ก
โดยเฉพาะเหล็กนั้นมีพบมากมายหลายท้องถิ่นทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง
นับเนื่องเป็นกิจกรรมทางอุตสาหกรรมที่บ่งชัดว่าพัฒนาการบ้านเมืองในยุคนี้
หาได้มีพื้นฐานอยู่กับการทำกสิกรรม เช่นการปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักไม่
ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีหลายท่านให้คำอธิบายว่าการถลุงเหล็กและการนำเหล็กมาใช้นั้นน่าจะได้อิทธิพลมาจากอินเดีย
เพราะเหล็กดูเป็นของแปลกใหม่สำหรับจีนและจีนตอนใต้
อีกทั้งในขณะเดียวกันก็พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สัมพันธ์กับอินเดียหลายอย่างแต่สมัย
๒,๕๐๐ ปีลงมา
การสังสรรค์ทางเศรษฐกิจและสังคมกับภายนอก ทำให้เกิดพัฒนาการทางการเมืองและวัฒนธรรม
การเติบโตทางสังคมแต่สมัย ๒,๕๐๐ ปีลงมาหรืออีกนัยหนึ่งสมัยเหล็กนั้น
คือการขยายตัวของชุมชนหมู่บ้านอิสระมาเป็นกลุ่มของบ้านและเมือง
แต่ละเมืองก็มีหัวหน้าผู้ปกครอง และสาเหตุของการขยายตัวนั้นไม่ได้มาจากการกสิกรรม
ทำนาแต่อย่างใด หากเกิดจากการสังสรรค์กับภายนอกทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
ในด้านเศรษฐกิจนั้นพบว่ามีการขยายพรมแดนทางเศรษฐกิจเข้าไปตามพื้นที่ป่าเขาอันเป็นถิ่นที่อยู่ของกลุ่มชนบนที่สูง
เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าป่าและแร่ธาตุกับสินค้าจำเป็น
และสินค้าฟุ่มเฟือยจากแหล่งที่เป็นชุมชนบ้านเมือง
ซึ่งการแลกเปลี่ยนดังกล่าวนี้เป็นผลทำให้เกิดเส้นทางการค้าและคมนาคมจากที่ราบไปสู่ที่สูงตามป่าเขา
ลักษณะเช่นนี้แลเห็นได้จากหลักฐานทางโบราณคดีที่มีการค้นพบอยู่เรื่อยๆ ในปัจจุบัน
ดังเช่นในหุบเขาในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน
มีผู้ค้นพบถ้ำบนหน้าผาที่เป็นสุสานของคนโบราณ
มีโลงศพรูปร่างคล้ายเรือที่ขุดจากต้นซุงมากมาย
ภายในโลงศพพบโครงกระดูกและยังพบพวกเครื่องประดับ เช่น ลูกปัดทำด้วยหินและแก้ว
พบกำไลสำริดและเครื่องมือเหล็ก
ในขณะที่เบื้องล่างในหุบเขาพบเนินดินที่อยู่อาศัยของคนที่มีเศษภาชนะดินเผา
เครื่องประดับสำริด ลูกปัดแก้วและหินสี
รวมทั้งเครื่องมือเหล็กที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนสินค้าป่าและแร่ธาตุกับภายนอก
บริเวณลุ่มน้ำแควน้อยในเขตตำบลบ้านเก่า อำเภอเมือง
และเลยขึ้นไปตามลำแม่น้ำจนถึงเขตอำเภอไทรโยคจังหวัดกาญจนบุรี
นักโบราณคดีขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีอาวุธและเครื่องประดับที่ทำด้วยสำริด
ในเขตเมืองสิงห์ และที่ถ้ำองบะซึ่งอยู่เหนือน้ำขึ้นไปพบโลงศพรูปเรือที่ทำจากท่อนซุง
พบกลองสำริดแบบวัฒนธรรมดองซอนที่มาจากเวียดนามเหนืออันเป็นของที่นับเนื่องในยุคเหล็ก
สิ่งของเหล่านี้นับเป็นสมบัติของคนตายที่อยู่ในบริเวณชายขอบหรือบริเวณที่สูงที่มีการแลกเปลี่ยนกับคนบนพื้นราบในลุ่มน้ำแม่กลอง-ท่าจีนอย่างสม่ำเสมอ
โดยมีเส้นทางคมนาคมที่แสดงให้เห็นจากแหล่งโบราณคดีเป็นจุดๆ ไป
เมืองสิงห์ริมแม่น้ำแควน้อยนับเนื่องเป็นแหล่งชุมทางคมนาคมที่มีมาแต่สมัยยุคเหล็กอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ ก็เกิดเป็นเมืองขึ้น
ในขณะที่บริเวณรอบทะเลสาบจอมบึงในเขตจังหวัดราชบุรี
เคยเป็นแหล่งชุมนุมชนบนที่ราบลุ่ม ก่อนที่จะเกิดเมืองคูบัวและเมืองราชบุรี
อีกแหล่งหนึ่งที่เพิ่งพบไม่นานมานี้ก็คือ บริเวณเขาต้นน้ำแม่ลำพันในเขตตำบลตลิ่งชัน
อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย เป็นบริเวณที่เป็นเหมืองแร่เหล็ก
มีผู้ขึ้นไปทำการขุดเหล็ก ถลุงเหล็ก
และทำแหล่งอุตสาหกรรมทำเครื่องมือเหล็กและทำลูกปัดแก้วและดินเผาจนเป็นบริเวณใหญ่
เป็นแหล่งโบราณคดีที่นับเนื่องแต่ยุคเหล็กมาจนถึงสมัยทวารวดี
เป็นแหล่งที่สัมพันธ์กับศูนย์กลางการคมนาคมที่เมืองสุโขทัย
และแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการของเมืองสุโขทัยนั้นมีที่มาและสัมพันธ์กับแหล่งแร่ธาตุและของป่าในบริเวณต้นน้ำแม่ลำพันมาแต่สมัยก่อนประวัติและสมัยทวารวดีแล้ว
โดยเฉพาะในสมัยทวารวดีนั้นเส้นทางการค้าและสถานีการค้าแลเห็นได้จากการพบแหล่งโบราณคดีที่มีเหรียญเงินตราศรีวัสสะเป็นหลักฐาน
เมืองละโว้หรือลพบุรีเองก็เป็นเมืองที่เกิดมาจากศูนย์กลางคมนาคมแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์กับบรรดาแหล่งโลหะธาตุและชุมชนที่ถลุงโลหะ
โดยเฉพาะทองแดงบริเวณเทือกเขาวงพระจันทร์ในเขตอำเภอโคกสำโรง
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบแหล่งแร่ทองแดงที่ภูโล้น อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย
เป็นภูเขาอยู่ริมแม่น้ำโขงมีอายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปีลงมา
ในขณะที่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสงคราม แม่น้ำมูล
และแม่น้ำชีพบชุมชนขนาดใหญ่ที่มีกิจกรรมถลุงเหล็กและทำเกลือเป็นจำนวนมาก
ชุมชนเหล่านี้ล้วนมีพัฒนาการในการควบคุมน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของคนเป็นจำนวนมาก
ทำให้เกิดรูปแบบและเครือข่ายของชุมชนที่มีคูน้ำล้อมรอบ
มีแหล่งเก็บน้ำและแนวเขื่อนคันดินเพื่อการชลประทานมากมาย
ลักษณะเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้แลเห็นพัฒนาการของชุมชนเป็นบ้านเมืองอย่างชัดเจนแต่ราว
๒,๕๐๐ ปีลงมาอย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกันก็มีหลายชุมชนที่แสดงให้เห็นว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่มีการติดต่อกับภายนอก
เช่น บ้านเชียงในเขตอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
ที่พบโบราณวัตถุหลายชนิดที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับจีนตอนใต้และเวียดนามเหนือ
และจากบ้านเมืองโพ้นทะเล ยกตัวอย่างเช่น
เครื่องประดับสำริดและเครื่องมือสำริดมีหลายอย่างที่รวมสมัยเดียวกันกับวัฒนธรรมดองซอนในประเทศเวียดนาม
พบเปลือกหอยทะเลที่มีผู้นำมาเป็นเครื่องประดับที่แสดงให้เห็นว่าผ่านเข้ามาจากทางเวียดนาม
ยิ่งกว่านั้นพบลูกปัดแก้วสีน้ำเงินและลูกปัดหินสีที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอินเดียแต่สมัย
๒,๕๐๐
ปีลงมาแต่สิ่งที่ดูเด่นชัดกว่าเพื่อนในเรื่องของการติดต่อกับภายนอกเห็นจะได้แก่บริเวณทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตอำเภอพิมาย-โนนสูง
จังหวัดนครราชสีมา
ที่นักโบราณคดีไทยขุดพบตุ๊กตาดินเผารูปม้าในหลุมศพคนโบราณที่มีอายุแต่ ๒,๕๐๐ ปีลงมา
ซึ่งเป็นสิ่งสอดคล้องกันกับการขุดพบชิ้นส่วนกระดูกม้าในเขตตำบลโตนด อำเภอโนนสูง
ที่แสดงให้เห็นว่ามีม้าซึ่งไม่ใช่สัตว์พื้นเมืองในแถบนี้อยู่
ม้าและลาเป็นสัตว์พาหนะสำหรับการค้าระยะไกล
จึงน่าจะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นสถานภาพของการติดต่อทางบกระหว่างที่ราบสูงโคราชสมัยก่อนประวัติศาสตร์กับดินแดนที่ห่างไกล
เช่นทางเวียดนามและจีนตอนใต้อย่างชัดเจนการขยายตัวทางการค้าและพรมแดนทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศกับภายนอกประเทศดังกล่าวนี้ยังเป็นสิ่งนำมาซึ่งการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากภายนอก
โดยเฉพาะจากจีนตอนใต้และเวียดนามเข้ามาตั้งถิ่นฐานภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
ทั้งทางบกและทางทะเล
อย่างเช่นในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำมูล-ชีตอนล่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบแหล่งชุมชนโบราณที่เป็นบ้านและเมืองมากมายที่นอกจากสัมพันธ์กับการถลุงเหล็กอย่างเป็นกิจกรรมทางอุตสาหกรรมแล้ว
ยังพบประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง
หรือฝังกระดูกใส่หม้อไหมาแทนที่การฝังศพแบบใส่โลงที่เป็นประเพณีท้องถิ่นแต่เดิม
ซึ่งเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่ามีคนกลุ่มใหม่เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานประเพณีการทำศพแบบฝังหม้อกระดูกดังกล่าวนี้
พบมากตามชุมชนมนุษย์ที่อยู่ตามแถบชายฝั่งทะเล แต่จีนตอนใต้
เวียดนามและตามหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั่วไป
แต่เมื่อมีการศึกษาเปรียบเทียบแล้วเห็นว่าประเพณีทำศพแบบฝังหม้อกระดูกนี้
ดูคล้ายคลึงกับการฝังหม้อกระดูกของกลุ่มคนที่อยู่ในเขตเวียดนามกลางที่อยู่ในวัฒนธรรมซาหวีนมากกว่าที่อื่นความเป็นไปได้นี้ยังแลเห็นได้จากความใกล้ชิดกันในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์อีกด้วย
นั่นก็คือดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงทั้งฝั่งไทยและลาวนั้น
มีเทือกเขาขวางกั้นออกจากที่ราบชายทะเลในประเทศเวียดนาม
มีเส้นทางที่ผ่านสันปันน้ำมาตามช่องเขาและต้นน้ำลำธารจากฝั่งประเทศเวียดนามมายังลุ่มแม่น้ำโขงโดยไม่ยาก
จึงทำให้ดินแดนภาคอีสานหรือลุ่มแม่น้ำโขงเป็นดินแดนภายใน (hinterland)
ของเวียดนามไป
เกิดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างผู้คนที่อยู่ในที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลของเวียดนาม
กับกลุ่มชนชาวเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่บนเขาและที่สูง
กับกลุ่มชนที่อยู่ในที่ราบลุ่มสองฝั่งแม่น้ำโขงทั้งในประเทศลาวและไทยด้วย
การที่กล่าวว่ากลุ่มชนที่เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่งในบริเวณลุ่มน้ำมูล-ชีตอนล่างในยุคเหล็กน่าจะสัมพันธ์กันกับพวกวัฒนธรรมซาหวีนในเวียดนามกลางก็เพราะว่านอกจากรูปแบบในประเพณีฝังศพคล้ายคลึงกันแล้ว
พวกซาหวีนเองก็หาใช่กลุ่มชนที่มีอาชีพหลักในการกสิกรรมไม่
หากเป็นพวกที่ชอบเดินทางค้าขาย
แม้ว่าจะยังไม่พบร่องรอยทางโบราณคดีเกี่ยวกับการเดินทางค้าขายทางบกในขณะนี้
แต่การค้าขายและการเดินทางทะเลนั้นมีหลักฐานมากมาย
ผู้ที่พบร่องรอยการเดินทางค้าขายทางทะเลของพวกซาหวีนก่อนเพื่อนก็คือ ศาสตราจารย์วิลเฮล
จี. โซลไฮม แห่งมหาวิทยาลัยฮาวายอี ซึ่งเป็นนักโบราณคดีชาวอเมริกัน
โซลไฮมพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาชีพการเดินทางทะเลระหว่างพื้นแผ่นดินใหญ่กับหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และตามแหล่งโบราณคดีที่ชนกลุ่มนี้เหลือให้เห็นไว้
มักจะพบโบราณวัตถุชนิดหนึ่งซึ่งมักเป็นตุ้มหู หรือจี้ห้อยคอ ที่ ๑.
เป็นรูปสัตว์มีเขาสองหัว และ ๒. ตุ้มหูที่มียอดแหลมประดับสามยอด
ซึ่งทั้งสองประเภทนี้เรียกรวมๆ ว่า ลิง-ลิง-โอ โซลไฮมมักเรียกชนกลุ่มนี้ว่า ซาหวีน-กาลาไน
โดยเอาแหล่งที่พบโบราณวัตถุนี้ทางชายฝั่งของเวียดนามมาผสมกับแหล่งที่พบบนเกาะกาลาไนของฟิลิปปินส์
เพราะฉะนั้นในสายตาโซลไฮมชนกลุ่มนี้คือ
ผู้เดินทางระหว่างหมู่เกาะและพื้นแผ่นดินใหญ่ของเอเชียอาคเนย์นั่นเอง
ในดินแดนประเทศไทยความสัมพันธ์กับพวกซาหวีนทางทะเลนั้นพบร่องรอยมานานแล้ว
ผู้ที่พบก็คือศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี แห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร
อาจารย์ชินพบจี้รูปสัตว์มีเขาสองหัวในเขตเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
และได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างอู่ทองกับเวียดนาม
และหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตอนปลาย
โดยคล้อยตามความเห็นของโซลไฮมว่า อายุของโบราณวัตถุที่เรียกว่า ลิง-ลิง-โอ
นี้อยู่ในระหว่าง ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาลการพบจี้ห้อยคอที่เรียกว่า ลิง-ลิง-โอ
ที่อู่ทองนั้น คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าอู่ทองที่อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน
มีการติดต่อกับภายนอกทางทะเลที่มีความเก่าแก่แต่สมัยก่อนคริสตกาลทีเดียว
แต่เดิมบริเวณเมืองอู่ทองที่อยู่บนชายขอบที่สูงที่ลาดลงสู่บริเวณที่สบกันระหว่างลำน้ำจระเข้สามพัน
ที่ไหลมาแต่เขตอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี
กับลำน้ำท่าว้าที่เป็นลำน้ำสุพรรณบุรีสายหนึ่งแล้วรวมกันเป็นลำคลองสองพี่น้องไปบรรจบกับแม่น้ำท่าจีนที่อำเภอสองพี่น้องนั้น
เชื่อกันว่าเเป็นมืองสุพรรณภูมิที่พระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
แห่งกรุงศรีอยุธยาเคยครองอยู่
ต่อมาเกิดโรคระบาดทำให้ต้องทิ้งเมืองไปสร้างพระนครศรีอยุธยา
เมืองนี้จึงมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ เท่านั้น
แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในเขตเมืองอู่ทองกลับมีอายุอยู่ในสมัยทวารวดี
คืออย่างน้อยก็แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ขึ้นไป
ทำให้ขัดแย้งกับความเชื่อในทางประวัติศาสตร์
ต่อมายังมีการขุดค้นและสำรวจการศึกษากันมากขึ้น
เมืองอู่ทองก็มีอายุเก่าแก่ขึ้นไปกว่าสมัยทวารวดี จนถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์
เพราะมีการขุดพบโครงกระดูกและเครื่องมือหินขัดกัน รวมทั้งการพบลูกปัด เงินตรา
ดวงตราที่มาจากภายนอกโพ้นทะเล และเป็นเหตุให้นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส
คือศาสตราจารย์บวสเซอลิเย
เสนอว่าเมืองอู่ทองเคยเป็นเมืองศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนันที่มีอายุราว ๑,๗๐๐-๑,๘๐๐
ปีลงมา
การเสนอข้อคิดเห็นของบวสเซอลิเยนี้เป็นการลบล้างความเชื่อเดิมที่ว่า
ฟูนันอยู่ที่เมืองออกแก้วใกล้ปากแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเวียดนาม
แต่ว่านักโบราณคดีไทยท่านหนึ่งคืออาจารย์มานิต วัลลิโภดม
กลับให้อายุของเมืองอู่ทองย้อนหลังเก่าแก่ไปกว่าสมัยฟูนัน
คือกำหนดให้เป็นจุดสำคัญของดินแดนสุวรรณภูมิเลย
ทั้งนี้เพราะอาจารย์มานิตได้ศึกษาวิเคราะห์บรรดาโบราณสถานวัตถุ
ทั้งที่พบที่อู่ทองและบริเวณใกล้เคียงอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
โดยเฉพาะให้น้ำหนักกับบรรดาโบราณวัตถุที่ขุดพบหรือค้นพบโดยศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี
บ้านดอนตาเพชรที่เมืองกาญจน์คือประวัติศาสตร์ "สุวรรณภูมิ"
การขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี
ที่อยู่ห่างจากเมืองอู่ทองไปทางต้นลำน้ำจระเข้สามพัน
นับเป็นสิ่งที่คลี่คลายประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิอย่างสำคัญ
เพราะพบโบราณวัตถุที่นอกจากแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยีในยุคเหล็กแล้ว
ยังทำให้แลเห็นการติดต่อทางทะเลที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองโพ้นทะเลทั้งทางด้านตะวันตกคือทางอินเดีย
และทางตะวันออกคือเวียดนามอีกด้วย
ในด้านพัฒนาการทางเทคโนโลยีก็คือ พบเครื่องใช้สำริดที่หล่อได้ดี
และบรรดาเครื่องมือเหล็กชนิดต่างๆ
ที่แสดงให้เห็นความซับซ้อนของชนิดหน้าที่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นพัฒนาการทางสังคมว่าไม่ได้หยุดอยู่เฉพาะการเป็นสังคมหมู่บ้านอย่างแต่ก่อนแล้ว
ในขณะที่พวกลูกปัดที่ทำจากหินรัตนชาตินั้นได้รับการตกแต่งสอดสีและลายต่างๆ
สวยงามกว่าบรรดาลูกปัดที่พบในรุ่นก่อนๆ นักวิชาการเรียกลูกปัดชนิดนี้ว่า เอทชบีดส์
(atche beads) เป็นรูปแบบที่เป็นอิทธิพลอินเดียโดยตรง
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกับอินเดียอย่างชัดเจน พร้อมๆ
กับบรรดาลูกปัดและวัตถุสำริดและเครื่องมือเหล็กก็พบชิ้นส่วนของภาชนะสำริดที่จารเป็นลวดลายเรขาคณิตและรูปผู้หญิงใส่เสื้อและมีทรงผมรวมกับภาพของควายที่อย่างน้อยก็ทำให้แลเห็นลักษณะทรงผม
และการแต่งกายของคนในสมัยนั้นพอสมควรทีเดียว
ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี กำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชรไว้ประมาณ ๑,๗๐๐
ปีลงมา ซึ่งก็ประมาณสมัยฟูนันนั่นเอง
การพบโบราณวัตถุ เช่น ลูกปัดแบบตกแต่งลายด้วยความร้อน (atche beads)
ที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับอินเดียของศาสตราจารย์ชิน
อยู่ดีนี้สร้างความสนใจให้แก่ ดร.เอียน โกรฟเวอร์
นักโบราณคดีชาวอังกฤษจากสถาบันโบราณคดี มหาวิทยาลัยลอนดอนเป็นอย่างมาก
ได้ขออนุญาตทางกรมศิลปากรเข้ามาทำการขุดค้นต่อที่บ้านดอนตาเพชร
ซึ่งผลออกมาก็คือพบโบราณวัตถุเพิ่มขึ้น
แต่โบราณวัตถุที่สำคัญที่แสดงให้เห็นการติดต่อกับภายนอกอย่างชัดเจนก็คือ ๑.
จี้รูปลิง-ลิง-โอ และ ๒. จี้รูปสิงห์เผ่น ทั้งสองอย่างนี้ทำด้วยหินสีส้มที่เรียกว่า
คาร์นีเลียน ความแตกต่างกันระหว่างจี้ทั้งสองชิ้นที่ทำด้วยหินสีแบบเดียวกันก็คือ
จี้รูปลิง-ลิง-โอ เป็นแบบอย่างที่มาจากทางตะวันออก โดยเฉพาะทางเวียดนามและหมู่เกาะ
ในขณะที่จี้รูปสิงห์เผ่นเป็นแบบอย่างทางอินเดีย เพราะฉะนั้นบ้านดอนตาเพชรคือ
บริเวณที่ตะวันตกมาพบตะวันออกโดยแท้
นอกจากนี้
ดร.โกรฟเวอร์ยังพบโบราณวัตถุสำริดรูปกรวยสามเหลี่ยมที่คล้ายคลึงกันกับที่พบในอินเดียด้วย
ก็นับได้ว่าทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับอินเดียเพิ่มขึ้น
สำหรับการกำหนดอายุนั้นในชั้นแรก ดร.โกรฟเวอร์เห็นสอดคล้องกับศาสตราจารย์ชิน
อยู่ดีว่าประมาณ ๑,๗๐๐ ปี หรือประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๓ ลงมาก็นับอยู่ในสมัยฟูนัน
แต่ต่อมาเมื่อมีการกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น
ดร.โกรฟเวอร์ก็ให้อายุบ้านดอนตาเพชรสูงขึ้นไปอีกประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ปีก่อนคริสตกาล
คือประมาณ ๒,๔๐๐-๒,๓๐๐ ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็นับว่าอยู่ในสมัยยุคเหล็กนั่นเอง
หลังจากการพบแหล่งโบราณคดีที่แสดงการเกี่ยวข้องกับภายนอกทางทะเลที่บ้านดอนตาเพชรแล้ว
ก็มีการค้นพบแหล่งโบราณคดีในทำนองนี้ในหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะในเขตคาบสมุทร
คือบริเวณตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนครศรีธรรมราช เช่น
แหล่งโบราณคดีที่เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร
พบตุ้มหูที่มีมุมแหลมสามมุมซึ่งนับเป็นลิง-ลิง-โอ ชนิดหนึ่ง
พร้อมกันนี้ก็พบวัตถุสำริดและกลองมโหระทึกแบบวัฒนธรรมดองซอน
และอีกแห่งหนึ่งคือที่อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็พบลิง-ลิง-โอ
แบบที่ตุ้มหูเช่นเดียวกัน ที่เกาะสมุยและอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
รวมทั้งบริเวณตำบลท่าเรือ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ก็พบวัตถุสำริดและกลองมโหระทึกแบบวัฒนธรรมดองซอนเช่นเดียวกัน
ทำให้ได้ข้อคิดเห็นที่จะต้องนำมาตีความหลักฐานทางโบราณคดีกันใหม่
นั่นก็คือในการเดินทางติดต่อกันกับทางตะวันออก
คือทางเวียดนามและจีนใต้นั้นใครเป็นผู้เข้ามา
แต่ก่อนคนส่วนใหญ่มักจะเหมาเองว่าเป็นพวกในวัฒนธรรมดองซอนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำซองมาในเขตหัวบินเวียดนามเหนือ
เพราะบรรดาโบราณวัตถุที่แพร่หลายเข้ามาในสมัยเหล็กนั้นล้วนสัมพันธ์กับวัฒนธรรมดองซอนเกือบทั้งสิ้น
ดังตัวอย่างเช่น กลองมโหระทึกหรือกลองสำริดที่พบในที่ต่างๆ
ทั้งพื้นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะของภูมิภาค
เอเชียตะวันออก มาบัดนี้ได้พบโบราณวัตถุที่เป็นของวัฒนธรรมซาหวีนรวมอยู่ด้วย
อีกทั้งมีผู้เสนอว่าพวกซาหวีนนั้นเป็นนักเดินทางทะเลที่มีหลักฐานชัดเจนอีกด้วย
จึงทำให้ต้องมาคิดว่า
ผู้ที่เดินทางเข้ามาในดินแดนประเทศไทยจากเวียดนามและจีนใต้น่าจะเป็นพวกซาหวีนมากกว่าพวกดองซอน
หรือว่าเป็นทั้งสองพวกด้วยกัน
สำหรับพวกซาหวีนนั้นปัจจุบันมีการค้นพบหลักฐานใหม่อีกมากมายในประเทศเวียดนาม
คือพบถิ่นกำเนิดนี้อย่างแท้จริงในแถบชายทะเลของเวียดนามกลาง
รวมทั้งการกระจายไปถึงเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ด้วย
กล่าวคือแหล่งโบราณคดีหลายแห่งที่เคยเป็นหลุมฝังศพนั้น
พบจี้หรือตุ้มหูแบบลิง-ลิง-โอ ดังกล่าวนี้ฝังรวมอยู่เป็นจำนวนมาก
คือมากพอที่จะแสดงว่าเป็นของเฉพาะกลุ่มชนกลุ่มหนึ่ง
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นลักษณะเฉพาะของชนกลุ่มหนึ่งก็ว่าได้
โดยเหตุนี้บรรดานักโบราณคดีเวียดนามจึงให้ความสนใจและค้นคว้ากันหนัก
แล้วเสนอวัฒนธรรมของคนกลุ่มนี้ว่าซาหวีน
พร้อมกันก็แก้ไขสิ่งที่ศาสตราจารย์โซลไฮมเคยเสนอในเรื่องซาหวีน-กาลาไน
มาเป็นซาหวีนแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะยืนยันอย่างมั่นคงว่าเป็นกลุ่มชนที่มีถิ่นฐานอยู่ในเวียดนาม
ยิ่งกว่านั้นยังเสนอด้วยว่า
พวกซาหวีนเหล่านี้คือบรรพบุรุษของพวกจามหรือจามปาที่ปรากฏโฉมหน้ามาแต่สมัยฟูนันว่าเป็นพวกเดินเรือค้าขายและมีถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนกลางของเวียดนาม
ซึ่งต่อมาได้สถาปนารัฐจามปาขึ้นมาร่วมสมัยกับรัฐเจนละ ทวารวดี
และศรีเกษตรตามที่มีการกล่าวถึงในจดหมายเหตุจีนสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒
สุวรรณภูมิอยู่ที่นี่เอง
จากหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่สมัยยุคเหล็กที่กล่าวมาแล้ว
โดยเฉพาะสิ่งของที่พบในบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง
ซึ่งอยู่ทางซีกตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาปัจจุบัน
เรื่อยลงไปถึงคาบสมุทรทางภาคใต้ของประเทศไทยนั้น อาจตีความในขณะนี้ได้ว่า
เป็นบริเวณที่มีการติดต่อทางทะเลกับดินแดนโพ้นทะเลทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยที่มีคนจากทั้งตะวันตกและตะวันออกเข้ามาเกี่ยวข้อง จากทางตะวันตกก็คือพวกอินเดีย
ในขณะที่ทางตะวันออกคือพวกซาหวีน-ดองซอน
โดยที่ยังไม่ปรากฏร่องรอยของคนจีนแต่อย่างใด
การค้าขายระหว่างดินแดนประเทศไทยกับทางจีนคงผ่านกลุ่มคนที่เป็นนักเดินเรือคือ
พวกซาหวีน-ดองซอนเหล่านี้
ซึ่งในทำนองตรงข้ามกับทางด้านตะวันตกซึ่งน่าจะมีคนอินเดียเดินทางเรือเข้ามาแล้วแต่สมัยต้นพุทธกาลหรือประมาณ
๓๐๐-๔๐๐ ปีก่อนคริสตกาลดังที่มีหลักฐานยืนยันจากแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร
ซึ่งปัจจุบันหลักฐานการเดินเรือของชาวอินเดียก็ปรากฏเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
ที่เกาะบาหลีทางตอนเหนือในเขตสิงหราชาก็มีการขุดค้นทางโบราณคดี
พบเศษภาชนะของชาวอินเดียที่มีอายุประมาณ ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เป็นต้น
จึงมีความเป็นไปได้ว่าการเดินเรือของชาวอินเดียในชั้นแรกนั้น ผ่านช่องแคบมะละกา ชวา
และบาหลีมาสู่อ่าวไทย
เพื่อติดต่อกับบ้านเมืองที่อยู่บนคาบสมุทรมาเลย์และลุ่มน้ำเจ้าพระยาซีกตะวันตก
ซึ่งนับเนื่องเป็นดินแดนที่เรียกว่า "สุวรรณภูมิ"
และสุวรรณภูมิก็คือที่หมายในการเดินทางเข้ามาค้าขายเป็นสำคัญในการรับรู้ของคนอินเดียนั้น
หาได้มองสุวรรณภูมิเป็นดินแดนที่ต่ำต้อยเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ไม่
หากสุวรรณภูมิคือดินแดนแห่งความมั่งคั่งที่บุคคลหลายชั้นวรรณะมุ่งหวังที่จะมา
อย่างน้อยเรื่องชาดกพระมหาชนกก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความหมายเช่นนี้ของสุวรรณภูมิไม่มากก็น้อย
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในขณะนี้
คือสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่าพื้นที่ในสุวรรณภูมิที่มีความเก่าแก่ถึงยุคพุทธกาลก็คือบริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลองนี่เอง
และบริเวณที่เป็นบ้านเป็นเมืองที่สำคัญในขณะนั้น ก็คงอยู่ในเขตอำเภออู่ทอง
จังหวัดสุพรรณบุรี มาต่อกับอำเภอพนมทวนนั่นเอง
เพราะไม่มีที่ไหนได้พบหลักฐานที่แสดงการมีอยู่ของคนอินเดียเท่ากับบริเวณนี้ถ้าหากจะนำไปพิจารณาเชื่อมต่อกับเรื่องราวการส่งพระสมณทูตโสณะและอุตตระของพระเจ้าอโศกมาสั่งสอนพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิดังมีกล่าวถึงในตำนานมหาวงศ์ของลังกาแล้ว
บริเวณนี้ก็น่าจะมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาว่าเป็นที่สมณทูตของพระเจ้าอโศกมาขึ้นบกและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
บริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง คือศูนย์กลางของสุวรรณภูมิครั้งพุทธกาล
เป็นที่พบปะสังสรรค์ทางเศรษฐกิจของคนพื้นเมือง
กับผู้ที่มาจากทางตะวันตกคือพวกอินเดีย
และผู้ที่มาจากทางตะวันออกคือพวกซาหวีน-ดองซอน
อาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สุวรรณภูมิคือที่หมายของการค้าและการติดต่อของคนจากภายนอกทั้งตะวันตกและตะวันออกที่ดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องและเจริญเติบโตเข้าสู่ยุคคริสตกาล
หรือประมาณ ๑,๗๐๐ ปีลงมา
อันเป็นระยะเวลาที่บ้านเมืองรับเอาอารยธรรมอินเดียมาปรับใช้กับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม
ทำให้เกิดการนับถือศาสนาฮินดู พุทธ และมีระบบกษัตริย์
รวมทั้งพัฒนาการทางด้านอักษรศาสตร์ ศิลปกรรมและพิธีกรรมแบบอย่างอินเดียขึ้นมา
ก่อนการรับอารยธรรมอินเดียในสมัยต้นๆ ของยุคเหล็กนั้น
ประชาชนและบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทยและบ้านใกล้เรือนเคียงได้มีการรวมตัวเป็นหน่วยทางการเมืองที่มีหัวหน้าปกครองดูแลแล้ว
(Chiefdoms) หน่วยเหล่านี้บางหน่วยก็มีเผ่าพันธุ์เดียวกัน
บางหน่วยก็แตกต่างกันอันเนื่องมาจากความหลากหลายของชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานแต่สมัยก่อนยุคเหล็กแล้ว
และยังคงมีผู้คนที่ต่างชาติพันธุ์เหล่านี้เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
เป็นเหตุให้เกิดการขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลาจากหลักฐานทางโบราณคดีลักษณะที่เด่นของหน่วยเหล่านี้ก็คือ
ประกอบด้วยแหล่งชุมชนที่เป็นศูนย์กลางที่มีขนาดใหญ่และความซับซ้อนทางวัฒนธรรมกับแหล่งเล็กๆ
ที่เป็นบริวาร อาจกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะที่เหมือนกับเมืองและหมู่บ้านในสมัยหลังๆ
นั่นเอง ซึ่งในที่นี้จะขอเรียกว่าเป็นเมือง และแต่ละเมืองก็มีเจ้าเมืองดูแล
เมืองแต่ละท้องถิ่นมีขนาดและความเจริญไม่เท่ากัน
แต่ต่างก็มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมต่อกัน
บรรดาเมืองที่อยู่ตามลุ่มแม่น้ำใกล้ชายฝั่งทะเลหรือบนเส้นทางการค้าที่สำคัญ
คือพวกที่มีโอกาสจะเจริญเติบโต เพราะสามารถติดต่อกับภายนอกได้สะดวกทั้งด้านเศรษฐกิจ
เทคโนโลยีและวัฒนธรรม
หลายคนเชื่อว่าบรรดาเจ้าเมืองที่อยู่ใกล้ทะเลเหล่านี้คือผู้ที่ทำการค้าขายกับพ่อค้าชาวอินเดียและบรรดาผู้ที่มาจากโพ้นทะเล
โดยเฉพาะกับทางอินเดียนั้นมีผลประโยชน์อย่างมากมาย
เพราะไม่เพียงแต่จะขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าเพื่อความมั่งคั่งแล้ว ยังได้รับหลายๆ
อย่างทางอารยธรรมจากชาวอินเดียด้วย
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่าคนอินเดียที่เข้ามาเหล่านั้น
หาได้มีแต่บรรดาพวกพ่อค้าอย่างเดียวไม่ หากมีทั้งกษัตริย์ พราหมณ์
และผู้มีความรู้หลากหลายทางวิทยาการด้วย ที่เข้ามาเพื่อลี้ภัยทางการเมือง
เพื่อผจญภัยและเพื่อเผยแพร่ศาสนาโดยเฉพาะเรื่องเผยแพร่ศาสนานั้นเห็นได้ชัดจากตำนานมหาวงศ์ของลังกาที่กล่าวถึงการเข้ามาของพระโสณะและพระอุตตระในสมัยของพระเจ้าอโศก
ยังมีข้อถกเถียงตามมาเรื่องการเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาก็คือ
เผยแพร่อย่างไรเพียงพระสงฆ์เข้ามาสั่งสอนชาวบ้านที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ
หรือเข้ามาสั่งสอนหัวหน้าของหมู่บ้านที่ยังป่าเถื่อนจนเกิดความเลื่อมใส
แล้วสนับสนุนให้เกิดการยอมรับกันทั่วไปในขั้นแรกสมัยที่หลักฐานทางด้านโบราณคดีมีน้อย
นักปราชญ์ฝรั่งโดยเฉพาะพวกฝรั่งเศสมักมีความเห็นว่าคนอินเดียเข้ามาขยายอาณานิคมด้วยการปราบปรามคนพื้นเมือง
แต่งงานกับลูกสาวของผู้นำชนท้องถิ่นแล้วนำเอาศาสนาขนบประเพณีระบบกษัตริย์
ตลอดจนความเจริญทางอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ต่างๆ ของอินเดีย
มาทำให้คนพื้นเมืองมีวัฒนธรรมเป็นแบบคนอินเดียไป
ความเชื่อนี้เป็นเหตุให้มองคนพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าโง่และสร้างอารยธรรมของตนเองไม่ได้
จึงต้องเป็นอาณานิคมของคนอินเดียไป
ซึ่งอย่างน้อยการเรียกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ว่า เกรตเตอร์อินเดีย
(Greater India) ก็ดี และเรียกบ้านเมืองของคนเหล่านี้ว่าเป็นอินเดียนไนซ์สเตท
(Indianized states) ก็คือสิ่งสะท้อนให้แลเห็นความคิดและความเชื่อดังกล่าว
จากหลักฐานและตีความหมายทางโบราณคดีตามที่กล่าวมานี้
ย่อมแสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์หรือพราหมณ์จากอินเดียมาปราบปรามคนพื้นเมืองแล้วบังคับให้รับนับถือศาสนาและอารยธรรมอินเดียอย่างแน่นอน
เพราะดินแดนเอเชียอาคเนย์ที่คนอินเดียสมัยนั้นเรียกว่า สุวรรณภูมิ
นั้นมีพัฒนาการเป็นบ้านเป็นเมือง มีหัวหน้าและผู้
ปกครองบ้านเมืองอยู่แล้วการติดต่อกับคนอินเดียทั้งการค้าขายและด้านวัฒนธรรมนั้น
เป็นสิ่งที่ต้องผ่านการรู้เห็นและการยินยอมของบุคคลที่มีอำนาจและเป็นหัวหน้าก่อนเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น การส่งพระมหินทรเถระ
และพระสังฆมิตตาเถรีพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเจ้าอโศกไปยังศรีลังกานั้น
ที่ลังกาก็มีพระมหากษัตริย์ปกครองอยู่แล้วคือ พระเจ้าเทวานัมปิยดิสสะ เป็นต้น
จึงทำให้ศาสนาและวัฒนธรรมอินเดียที่ผ่านเข้าไปนั้นอยู่ในสถานที่มีการศึกษาไตร่ตรองและผสมผสานกับประเพณีพิธีกรรมและลัทธิความเชื่อที่มีอยู่แล้วในพื้นเมืองในกรณีพระโสณะและอุตตระที่เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมินั้นก็คงไม่ใช่เป็นผู้เผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์เพียงกลุ่มเดียว
คงมีหลายกลุ่มหลายเหล่าหลายศาสนาและหลายนิกาย
เพราะสุวรรณภูมิคือเป้าหมายของการค้าทางทะเล จึงน่าจะมีผู้คนลัทธิศาสนาต่างๆ
ผ่านเข้ามา ซึ่งในระยะนั้นน่าจะมีทั้งพุทธ พราหมณ์ และฮินดู
ยิ่งกว่านั้นการรับนับถือศาสนาก็ดูเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจดุลพินิจของบุคคลที่เป็นเจ้าเมืองและผู้ปกครองด้วย
เหตุนี้จึงปรากฏให้เห็นจากหลักฐานทางโบราณคดีที่มีทั้งพุทธ พราหมณ์ ฮินดู
และพุทธมหายานปะปนกันอยู่ในท้องถิ่นเดียวกันหรือต่างกันไปตามท้องถิ่น
บางท้องถิ่นอาจจะเริ่มแต่พราหมณ์ และจึงเปลี่ยนมาเป็นพุทธ
หรือจากพุทธแล้วกลายมาเป็นพราหมณ์ ฮินดูอะไรทำนองนั้น
ความไม่แน่นอนเช่นนี้มีที่มาจากกระบวนการเลือกและการรับรู้ของบุคคลที่เป็นหัวหน้าหรือผู้มีอำนาจนั่นเอง
แต่ทว่าจากหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทางเอกสารโบราณอีกเช่นเดียวกัน
ที่แสดงให้เห็นว่าการรับนับถือศาสนาจากอินเดียนั้นหาได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สัมพันธ์กับอะไรไม่
หากต้องเป็นสิ่งสัมพันธ์กับสถานภาพของบุคคลที่เป็นหัวหน้าผู้ปกครองด้วย
คือต้องเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับระบบกษัตริย์ทีเดียว
นั่นก็คือการที่พระพุทธศาสนาจะแพร่หลายเข้ามาได้นั้นเป็นเรื่องที่หัวหน้าหรือผู้ปกครองของบ้านเมืองเป็นผู้เชื้อเชิญเข้ามา
และการที่จะเชื้อเชิญให้เข้ามานั้นบุคคลที่เป็นผู้ปกครองก็ต้องเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตนและสถานภาพของตน
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเวลาศึกษาเรื่องราวของศาสนาที่ผู้คนในดินแดนประเทศไทยหรือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับถือกันแล้ว
ก็จะพบว่าบรรดาประเพณีพิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนานั้นแยกกันไม่ออกจาก
สถาบันกษัตริย์ ที่ใช้คำว่า สถาบันกษัตริย์ ในที่นี้
หมายถึงว่าเป็นสถาบันของผู้ปกครองที่พัฒนาขึ้นภายหลังจากที่รับนับถือศาสนาจากอินเดียแล้วทั้งพุทธและพราหมณ์
ก่อนรับศาสนาจากอินเดียมีศาสนาดั้งเดิมอยู่แล้ว
เมื่อมาถึงตรงนี้ก็เกิดคำถามว่า
ก่อนหน้าการนับถือศาสนาจากอินเดียไม่ว่าพุทธหรือพราหมณ์นั้น
ผู้คนและบ้านเมืองตลอดจนหัวหน้าผู้ปกครองไม่นับถือศาสนาหรือไม่มีศาสนาหรือ
คำตอบก็คือมีแน่
เพราะศาสนาเป็นสถาบันสากลที่วิวัฒนาการควบคู่กันมากับความเป็นมนุษย์ของคนเรา
ศาสนาเป็นสิ่งที่ให้ความมั่นคงทางจิตใจแก่มนุษย์และจรรโลงความสัมพันธ์ทางสังคมที่ทำให้มนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่เหล่าในลักษณะพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
การนับถือศาสนานั้นแสดงออกให้เห็นทั้งในด้านนามธรรมและรูปธรรม
ในด้านนามธรรมก็คือความเชื่อในสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ
หรือสิ่งที่มีพลังบางอย่างที่แพร่หลายหรือถ่ายทอดทั้งในด้านมีลายลักษณ์และไม่มีลายลักษณ์
ส่วนในด้านรูปธรรมนั้นคือการแสดงในเรื่องความเชื่อที่ผ่านการประกอบประเพณีพิธีกรรม
เป็นกิจกรรมร่วมของคนในกลุ่มหรือชุมชน
ในสมัยก่อนการนับถือศาสนาพุทธและพราหมณ์จากอินเดีย
เราเห็นร่องรอยของศาสนาและพิธีกรรมจากหลักฐานทางโบราณคดี
เช่นจากประเพณีการฝังศพร่วมกันของคนในชุมชนที่เป็นบ้านเป็นเมือง
นั่นคือมีความเชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้วยังมีวิญญาณดำรงอยู่ที่อาจสื่อสารด้านการประกอบพิธีกรรม
อีกทั้งมีการจัดพื้นที่ให้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งฝังศพ
การกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์จากการสร้างศาลหรือการปักหินตั้งที่แสดงเขต
รวมทั้งการแกะสลัก ปั้นรูปและเขียนรูปแสดงเรื่องราวและเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น
บรรดาผนังถ้ำหรือเพิงผาที่มีการเขียนภาพเขียนสี เป็นต้น
ซึ่งพบมากตามเขาเกือบทั่วประเทศในดินแดนประเทศไทย สถานที่เหล่านี้คือ
ศาสนสถานที่ประกอบประเพณีพิธีกรรมทั้งสิ้น
บางภาพแสดงให้เห็นถึงบุคคลสำคัญที่มีอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ
ซึ่งอาจจะเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์
ผู้ปกครองหรือหมอผีที่ทำหน้าที่สื่อสารกับอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าบรรดาหลักฐานทางโบราณคดีที่พบขณะนี้ส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นพิธีกรรมที่สำคัญในชีวิตของคนในชุมชนอยู่สองอย่างคือ
พิธีศพ และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์
พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทำศพนั้นเห็นได้จากการขุดค้นพบประเพณีการฝังศพของชุมชนตามที่กล่าวมาแล้ว
ซึ่งในหลายๆ
แห่งทีเดียวที่พบร่องรอยของศพคนที่มีความสำคัญของชุมชนที่สังเกตเห็นได้ว่าเครื่องประดับหลุมศพ
หรือความมั่งคั่งของแหล่งฝังศพในชุมชนหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่น
ยกตัวอย่างเช่น
การขุดพบบรรดาเครื่องประดับและเครื่องมือเครื่องใช้ของผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานในลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลองตามที่กล่าวมาแล้ว
ส่วนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์นั้นเห็นได้จากแหล่งภาพเขียนสีตามถ้ำตามเพิงผา
ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังบอกว่าเป็นของบรรดาผู้คนที่อยู่บนที่สูง
แต่ในที่นี้ข้าพเจ้าใคร่ตั้งข้อสังเกตว่าหลายๆ
แห่งทีเดียวเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมร่วมกันทั้งผู้ที่อยู่ตามที่ราบลุ่มกับที่สูง
เพราะคนทั้งสองพวกนี้หาได้แยกกันอยู่ตามลำพังไม่ หากมีการสังสรรค์กันทางเศรษฐกิจ
สังคม
และวัฒนธรรมระหว่างกันตลอดเวลาอย่างไรก็ตามยังมีหลักฐานในระบบความเชื่อทางศาสนาที่อยู่ในระบบภูมิภาคที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนในเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ทั้งพื้นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะต่างก็มีระบบความเชื่อที่คล้ายคลึงกันมาก่อนที่จะรับนับถือศาสนาพุทธและพราหมณ์จากอินเดียนั่นก็คือการมีกลองสำริดที่สะท้อนให้แลเห็นทั้งศาสนา
พิธีกรรมและการแพร่หลาย
กลองสำริดพัฒนาขึ้นในรัฐเดียนหรือเทียนที่มีศูนย์กลางอยู่รอบทะเลสาบคุนหมิง
ในมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีน ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล คือราว ๓,๐๐๐
ปีที่แล้วมา
กลองนี้ได้แพร่หลายมาตามเส้นทางการค้าผ่านเวียดนามเหนือเข้ามายังบ้านเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งบนพื้นแผ่นดินใหญ่
คาบสมุทรและหมู่เกาะ
จากภาพประดับบนกลองและลวดลายขีดสลักบนหน้ากลองและตัวกลองเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความคิดของมนุษย์ในเรื่องจักรวาล
และมีพิธีกรรมสังเวยเทพบนท้องฟ้า เพื่อความอุดมสมบูรณ์หรืออาจกล่าวได้สั้นๆ
ว่าเป็นความเชื่อเรื่องฟ้าดินคล้ายๆ กับระบบความเชื่อทางศาสนาของคนจีนก็ว่าได้
กลองนี้เมื่อแพร่หลายเข้ามานั้นมักเป็นของประจำกลุ่มชน
โดยเฉพาะอยู่ในความครอบครองของบุคคลที่เป็นหัวหน้าเผ่าหรือผู้ปกครอง
ซึ่งเมื่อเวลาที่สิ้นชีวิตไปแล้วจะถูกนำมาฝังไว้ในหลุมศพ
ในเมืองไทยกลองชนิดนี้มีพบทั้งจากบริเวณที่ฝังศพและบริเวณที่ประกอบพิธีกรรม
การแพร่หลายของกลองสำริดที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนานี้
นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่ามีมาแต่ ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ ๒,๕๐๐ ปีลงมา
แต่กลองที่พบมากในดินแดนประเทศไทยนั้นมักมีอายุแต่ ๒,๓๐๐ ปีลงมาจนถึง ๑,๗๐๐-๑,๘๐๐
ปี ซึ่งก็นับเนื่องในยุคเหล็กและเป็นระยะเวลาที่มีการติดต่อกับทางอินเดีย
ดังนั้นในที่นี้อาจกล่าวได้ว่าบรรดาหัวหน้าหรือผู้ปกครองบ้านเมืองในสมัยที่มีการติดต่อกับชาวอินเดียนั้น
ส่วนใหญ่มีระบบศาสนาและพิธีกรรมคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว
และการมีกลองสำริดครอบครองก็คือสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานภาพของบุคคลเหล่านั้น
แต่ทว่าเพียงการครอบครองกลองสำริดและมีระบบความเชื่อตลอดจนประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับฟ้าดิน
และความอุดมสมบูรณ์นั้น
ยังหาได้สร้างความโดดเด่นที่ทำให้เจ้าเมืองคนหนึ่งได้รับการยกย่องว่าเหนือกว่าคนอื่นๆ
ไม่ ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้ว่าในระยะที่มีการติดต่อกับอินเดียนั้น
บุคคลผู้เป็นเจ้าเมืองหรือหัวหน้ากลุ่มชนก็มีฐานะเท่ากับราชาของบ้านเมืองต่างๆ
ในอินเดีย ยังหามีผู้หนึ่งผู้ใดสถาปนาตนเองเป็นมหาราชาไม่ แต่การนำเอาระบบศาสนา
ประเพณีพิธีกรรมและระบบกษัตริย์มาปรับใช้แล้ว
ก็สามารถทำให้เจ้าเมืองหรือผู้นำที่สำคัญมีสภาพและฐานะที่แตกต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาได้
ก็คงเป็นเพราะเหตุที่วัฒนธรรมอินเดียในเรื่องนี้มีศักยภาพในการสื่อสารได้สูงกว่าประเพณีและวัฒนธรรมพื้นเมืองดังกล่าว
จึงเป็นเหตุให้บรรดาผู้นำของบ้านเมืองในท้องถิ่นต่างก็ยินยอมรับวัฒนธรรมอินเดียทั้งในด้านศาสนา
ระบบกษัตริย์ ศิลปวิทยาการและอักษรศาสตร์เข้ามาเป็นของตน
ข้าพเจ้าคิดว่าการรับอารยธรรมอินเดียนั้นเป็นสิ่งที่บรรดาเจ้าเมืองหรือผู้นำของท้องถิ่นได้ประโยชน์มากกว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไป
เพราะทำให้คนสำคัญเหล่านี้เปลี่ยนสภาพจากคนธรรมดาเป็นกษัตริย์เป็นผู้ที่สัมพันธ์กับสวรรค์หรือสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ
ซึ่งภาวะเช่นนี้มีความหมายมากในสภาพสังคมของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์
ยากแก่การสร้างบูรณาการทางวัฒนธรรมให้เกิดเป็นบ้านเมืองใหญ่โตเป็นรัฐหรืออาณาจักรได้
ถ้าหากเพียงยกวัฒนธรรมของชนเผ่าใดเผ่าหนึ่งขึ้นมาเป็นวัฒนธรรมกลางถ้าจะมองให้ลึกลงไปอีกในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับสถาบันกษัตริย์ก็คือ
เป็นเรื่องของความสัมพันธ์
ระหว่างอำนาจกับผู้ใช้อำนาจในการปกครองและการยอมรับของบุคคลที่อยู่ใต้อำนาจนั่นเอง
ลัทธิศาสนา คือสิ่งที่สร้างอำนาจโดยชอบธรรมให้แก่ผู้ปกครองหรือกษัตริย์
แต่ก็หาได้เป็นไปในเรื่องให้ความสำคัญกับผู้มีอำนาจแต่ฝ่ายเดียวไม่
หากยังมีการกำหนดกฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนในด้านคุณธรรมทางศาสนาที่จะต้องทำให้ผู้จะเป็นพระราชาหรือกษัตริย์ได้
ต้องประพฤติและปฏิบัติ
และสิ่งเหล่านี้มักสื่อสารกันได้ระหว่างชนชั้นปกครองและผู้อยู่ภายใต้การปกครองโดยการประกอบประเพณีพิธีกรรม
โดยเฉพาะพิธีกรรมที่เปลี่ยนสถานภาพทั้งในเวลาที่จะขึ้นครองราชย์ หรือราชาภิเษก
และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการตายที่จะส่งกษัตริย์ผู้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดากลับสู่สวรรค์
ความเด่นชัดอีกอย่างหนึ่งที่ลัทธิศาสนาจากอินเดียสามารถแพร่หลายเป็นที่ยอมรับของผู้คนโดยทั่วไปได้รวดเร็วก็คือ
ความคิดในเรื่องโลกหน้า เช่น สวรรค์และนรกที่ชัดเจนทั้งเหตุผลและภาพพจน์
ภาษาและอักษรศาสตร์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องสนับสนุนการแพร่หลายของอารยธรรมอินเดีย
เพราะนอกจากเป็นภาษาที่มีลายลักษณ์สื่อสารได้กว้างไกลแล้ว
ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์
ถูกนำมาใช้ทั้งในกิจกรรมด้านศาสนาและการปกครอง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแต่พุทธศตวรรษที่ ๓-๔ อันเป็นเวลาที่มีการแพร่หลายพุทธศาสนา
หรือศาสนาพราหมณ์ก็ดีในดินแดนสุวรรณภูมินั้น
ได้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม อย่างค่อยเป็นค่อยไป
คือบรรดาเจ้าเมืองหรือหัวหน้าผู้ปกครองกลุ่มชนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์เหล่านั้น
รับวัฒนธรรมและลัทธิความเชื่อใหม่เข้ามาแล้วผ่านลงสู่เบื้องล่างในหมู่ชนทั่วไป
เกิดที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางวัฒนธรรมจากอินเดียเข้ามาเป็นครู เป็นปุโรหิต
ผู้ประกอบประเพณีพิธีกรรมให้ ทำให้ค่อยๆ
เกิดสถาบันกษัตริย์ขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มชนที่หลากหลายทั่วไป
พอมาถึงสมัยประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๓ หรือพุทธศตวรรษที่ ๗-๘
อันเป็นเวลาที่มีการค้าขายอย่างกว้างขวางระหว่างตะวันออกคือจีน
และตะวันตกคืออินเดียนั้น จึงมีบันทึกและคำบอกเล่าของพวกพ่อค้ากรีก โรมัน อินเดีย
และจีนที่กล่าวถึงบ้านเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าประกอบด้วยกลุ่มของแคว้นหรืออาณาจักรเล็กๆ
มากมาย โดยเฉพาะตามแถวชายฝั่งทะเล
ซึ่งบรรดารัฐหรืออาณาจักรเหล่านี้ล้วนรับอิทธิพลทางศาสนา ระบบกษัตริย์
และการปกครองจากอินเดียแทบทั้งนั้น แทบทุกแห่งล้วนมีพราหมณ์ปุโรหิตเป็นที่ปรึกษา
มีคนพื้นเมืองบวชเป็นพระภิกษุ
รวมทั้งมีประเพณีพิธีกรรมที่อ้างอิงเทพเจ้าในศาสนาของอินเดีย อีกทั้งมีวัด
มีปราสาทราชวัง
และรูปเคารพที่ได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมอินเดีย
และที่สำคัญบรรดากษัตริย์และเจ้านายแต่ละแว่นแคว้นล้วนเป็นบุคคลที่มั่งคั่งมีข้าทาสบริวารแวดล้อม
หรืออีกนัยหนึ่งมีพัฒนาการของชนชั้นระหว่างผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครองชัดเจน
จีนเข้ามาสุวรรณภูมิก็เปลี่ยนไป
ภาพพจน์ของสังคมและบ้านเมืองตลอดจนวัฒนธรรมแห่งพุทธศตวรรษที่ ๗-๘
หรืออีกนัยหนึ่งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๓ ลงมาดังกล่าวนี้
คงมีผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๕-๖ อันเป็นเวลาที่มีการค้าขายติดต่อกับคนจีนแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นลงมานั่นเอง
ก่อนหน้าสมัยราชวงศ์ฮั่น จีนยังเดินเรือไม่เป็น
อีกทั้งไม่ใคร่สนใจในเรื่องการค้าขายทางทะเล
การติดต่อกับทางสุวรรณภูมิและอินเดียนั้นมักเป็นไปโดยคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำการค้าขายให้
ก็คงจะเป็นพวกซาหวีน-ดองซอนนั่นเอง
แม้กระทั่งการค้าขายของคนจีนทางทะเลที่เข้ามาที่สุวรรณภูมิในสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้นในจดหมายเหตุจีนก็ระบุว่าอาศัยเรือของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามา
การปรากฏตัวของจีนที่เห็นได้จากหลักฐานทางโบราณคดีนั้นที่สำคัญมี ๒ อย่างคือ
การมีหลุมศพของพวกฮั่นในเวียดนามเหนือ เป็นแหล่งที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมดองซอน
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นเข้ามามีอิทธิพลและใช้บ้านเมืองชายทะเลในเวียดนามเหนือเป็นเมืองท่าหรือสถานีพักสินค้า
ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือการพบภาชนะและเศษภาชนะเครื่องปั้นดินเผาเคลือบตลอดจนภาชนะสำริด
อาวุธและเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นสำริดของจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นในแหล่งชุมชนโบราณของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างเช่นที่ตามเกาะหลายเกาะในอินโดนีเซียมีผู้พบภาชนะดินเผาเคลือบแบบราชวงศ์ฮั่น
และในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์พบกลองสำริดแบบดองซอนร่วมกับภาชนะสำริดของราชวงศ์ฮั่น
ในขณะที่อื่นๆ พบมีดดาบสั้นและอาวุธแบบสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นต้น
การปรากฏตัวของจีนแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ได้ทำให้การเป็นศูนย์กลาง
หรือจุดหมายปลายทางในการค้าขายของสุวรรณภูมิเปลี่ยนไป
กลายมาเป็นบริเวณที่เป็นทางผ่านของเส้นทางการค้าระหว่างตะวันตกคืออินเดีย
กับตะวันออกคือจีนไป
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้หาเป็นเรื่องที่ทำให้ความสำคัญที่มีอยู่แต่เดิมถดถอยไปไม่
หากมีการขยายตัวในเรื่องการค้า
การคมนาคมและการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองใหญ่โตมากมายในเวลาที่ตามมา
บริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลองที่เคยมีความสำคัญเป็นศูนย์กลางของสุวรรณภูมิก็กลายมาเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งคือ
เมืองอู่ทองที่เรือสินค้าจากภายนอกสามารถแล่นเข้ามาตามเส้นทางน้ำโบราณจนถึงบริเวณหน้าเมือง
ในขณะเดียวกันก็เกิดเมืองท่าร่วมสมัยกันอีกหลายแห่ง
แต่ที่มีหลักฐานโบราณคดียืนยันแน่ชัดนั้นมี ๒ แห่ง ในที่นี่คือ ที่ควนลูกปัด
อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ แห่งหนึ่ง
กับที่เมืองออกแอวใกล้ปากแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนามอีกแห่งหนึ่ง
แห่งแรกที่ควนลูกปัดนั้นอยู่ในเขตชายทะเล
อ่าวพังงาเป็นเมืองท่าบนเส้นทางข้ามคาบสมุทรจากอินเดีย หรือลังกามายังคลองท่อม
แล้วจากคลองท่อมก็เดินทางบกผ่านคาบสมุทรมาออกชายทะเลด้านตะวันออกในเขตอ่าวไทย
ซึ่งบนเส้นทางข้ามคาบสมุทรนี้พอมาถึงกึ่งกลางอาจแยกออกไปออกฝั่งทะเลในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชก็ได้
หรือจะเดินทางต่อไปตามลำน้ำตาปี ไปออกฝั่งทะเลที่อ่าวบ้านดอน
จากหลักฐานทางโบราณคดีและตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ คลองท่อมน่าจะเป็นเมืองตักโกลา
ที่มีการกล่าวถึงในเอกสารโบราณ
ซึ่งมีนักปราชญ์หลายท่ายเคยเสนอว่าอยู่ที่ตะกั่วป่าในเขตจังหวัดพังงา
แต่เมื่อนำโบราณวัตถุที่พบ ณ ที่นั้นมาเปรียบเทียบกับที่พบที่คลองท่อมแล้ว
ของที่พบที่ตะกั่วป่ามีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔
ลงมาเป็นอย่างมาก ในขณะที่ทางคลองท่อมมีดวงตรา ลูกปัดและเครื่องประดับอื่นๆ
ที่มีอายุร่วมสมัยกับของในพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ลงมา
ซึ่งพบคล้ายคลึงกันกับแหล่งที่สองคือ ที่เมืองออกแอวในประเทศเวียดนาม
เมืองออกแอวหรือบางท่านเรียกว่า ออแก้ว
นั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่มต่ำที่น้ำทะเลท่วมถึง
หรืออาจจะเรียกว่าอยู่แถวบริเวณชายทะเลตมที่เป็นป่าชายเลนก็ว่าได้
ซึ่งก็เป็นลักษณะภูมิประเทศเดียวกันกับบริเวณควนลูกปัด
การตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองที่เป็นทั้งเมืองท่าและสถานีขนถ่ายสินค้านี้คงเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยเครื่องไม้บนเสาสูง
และเป็นแหล่งที่มีเส้นทางน้ำไปออกทะเลได้สะดวก
สิ่งที่บ่งแสดงว่าออกแอวเป็นเมืองท่าค้าขายในสมัยราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ลงมา
ก็คือบรรดาโบราณวัตถุที่เป็นเหรียญโรมัน ดวงตรา ลูกปัด
รวมทั้งรูปเคารพในทางศาสนาที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย
รวมทั้งเหรียญและวัตถุที่มาจากจีนด้วยนักปราชญ์เป็นจำนวนมากลงความเห็นว่าออกแอวคือ
เมืองท่าที่สำคัญของรัฐฟูนันที่มีกล่าวถึงในจดหมายเหตุจีนว่าเป็นรัฐที่มีอานุภาพมากสามารถปราบปรามบ้านเล็กเมืองน้อยที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลในอ่าวไทยและพื้นที่ใกล้เคียงไว้ในอำนาจ
อาจกล่าวได้ว่าเป็นรัฐสำคัญหรืออาณาจักรสำคัญแห่งแรกในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โบราณก็ว่าได้
แต่ในที่นี้ความสำคัญของฟูนันอยู่ที่เป็นรัฐใหญ่ที่มีระบบกษัตริย์และศาสนาพุทธและพราหมณ์ที่รับมาแต่อินเดีย
และเป็นราชสำนักที่มีการติดต่อทางการทูตและการค้าขายกับอินเดียและจีนพัฒนาการของรัฐฟูนันในจดหมายเหตุจีนที่มีหลักฐานทางโบราณคดีสนับสนุนที่ออกแอวนี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในสมัยแต่พุทธศตวรรษที่
๗-๘ ลงมาอย่างชัดเจน
นั่นก็คือความสำคัญของสุวรรณภูมิที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายและการคมนาคมด้วยตัวของตัวเองได้หมดไป
แล้วเกิดเมืองและรัฐฟูนันขึ้นมาแทนที่ในฐานะเป็นศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลระหว่างตะวันตกคืออินเดีย
และบ้านเมืองใกล้เคียงกับจีนที่อยู่ทางตะวันออก
ในการรับรู้ของนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการโดยทั่วไป
มักเห็นยุคสมัยประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โบราณเริ่มแต่การปรากฏตัวของรัฐหรืออาณาจักรฟูนันแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่
๓ หรือประมาณ ๑,๗๐๐ ปีที่ผ่านมา เพราะมีหลักฐานทั้งด้านเอกสารโบราณ
และโบราณคดีสนับสนุน อีกทั้งยังค่อนข้างมีความคิดที่เป็นเอกฉันท์ ด้วยว่า
ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองฟูนันที่สำคัญนั้นอยู่แถวปากแม่น้ำโขง
โดยเฉพาะที่เมืองออกแอวตามที่กล่าวมาแล้ว
สิ่งที่สนับสนุนความคิดในเรื่องนี้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ
การสืบเนื่องของฟูนันนั่นคือพัฒนาการของรัฐเจนละ
ที่เป็นต้นเค้าของการเกิดอาณาจักรกัมพูชา หรือเมืองพระนครในสมัยหลังลงมา
แต่ในที่นี้จากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีเพิ่มเติมในปัจจุบันที่ทำให้แลเห็นพัฒนาการของบ้านเมืองที่ชัดเจนในยุคเหล็กนั้น
ทำให้สามารถขยายยุคเวลาทางประวัติศาสตร์ออกมาถึงประมาณต้นพุทธกาลคือ ๕๐๐
ปีก่อนคริสตกาลได้
ซึ่งในช่วงเวลานี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการติดต่อกับอินเดียแล้ว
และทางอินเดียก็เรียกดินแดนนี้ว่า สุวรรณภูมิ
ดังปรากฏในหลักฐานตำนานมหาวงศ์ของลังกาที่ว่า
พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระสมณฑูตโสณะและอุตระมาสั่งสอนพระพุทธศาสนา
เราอาจเรียกสมัยเวลาในยุคนี้ได้ว่า สุวรรณภูมิ
อันเป็นเวลาที่ดินแดนนี้เป็นที่หมายปลายทางของการค้าขายในตัวเอง
คือคนอินเดียก็เดินทางเข้ามาค้าขาย
ในขณะที่มีคนมากมายหลายเผ่าพันธุ์จากทางตอนใต้ของประเทศจีนเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งหลักแหล่งชุมชนอย่างต่อเนื่อง
คนเหล่านี้คือผู้ที่ทำการค้าขายเชื่อมโยงไปถึงชาวจีนที่อยู่ทางเหนืออีกทีหนึ่ง
พัฒนาการของสังคมที่เป็นบ้านเป็นเมืองเกิดขึ้นก็เนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายและการค้าขายของกลุ่มชนเหล่านี้นั่นเองจนกระทั่งประมาณ
๑๐๐ ปีก่อนคริสตกาล คือราวพุทธศตวรรษที่ ๙
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองก็เกิดขึ้นอันเนื่องจากจีนราชวงศ์ฮั่นขยายอำนาจเข้าครอบงำจีนตอนใต้และเวียดนาม
ทำให้จีนมีการค้าขายกับ สุวรรณภูมิกับทางตะวันตก
คือทางอินเดียไปจนถึงทางตะวันออกกลาง
จึงเป็นเหตุให้สุวรรณภูมิที่เคยเป็นศูนย์กลางและจุดหมายปลายทางในการค้าขาย
เปลี่ยนมาเป็นเมืองท่าและเมืองบนเส้นทางการค้าขายทางทะเลระหว่างจีนและอินเดียไป
ในช่วงเวลานี้มีหลักฐานให้เห็นว่าเกิดเมืองสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าขายอย่างน้อย๒
แห่งคือ บริเวณคลองท่อม
จังหวัดกระบี่ในอ่าวพังงาที่คุมเส้นทางข้ามคาบสมุทรทางฝั่งทะเลอันดามัน
และเมืองออกแอวใกล้ปากแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนาม
แห่งแรกน่าจะตรงกับที่เอกสารจดหมายเหตุนักเดินเรือโบราณเรียกว่า ตักโกลา
ในขณะที่แห่งหลังคือ ฟูนัน
ที่นอกจากจะเป็นเมืองท่าแล้วยังเป็นแว่นแคว้นสำคัญที่เด่นชัดแต่พุทธศตวรรษที่ ๘--๙
ลงมาทีเดียว
จาก "สุวรรณภูมิ" ถึง "ฟูนัน"
การปรากฏตัวขึ้นของฟูนันแต่พุทธศตวรรษที่ ๘ หรือประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๓ ลงมานั้น
อาจนับได้ว่าเป็นเวลาที่บ้านเมืองในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านพ้นยุคเหล็ก
หรือสมัยสุวรรณภูมิเข้าสู่สมัยใหม่
ซึ่งในที่นี้ให้ชื่อว่าเป็นสมัยฟูนันพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญในสมัยฟูนันก็คือ
ประการแรกแลเห็นการรับอารยธรรมอินเดียอย่างชัดเจน โดยเฉพาะลัทธิศาสนา
สถาบันกษัตริย์ และการใช้ภาษาบาลี สันสกฤต เป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์และภาษาทางราชการ
ดังมีการกล่าวถึงแคว้นหรืออาณาจักรต่างๆ
ซึ่งแต่ละแคว้นมีราชสำนักและกษัตริย์และภาษาทางราชการ
ดังมีการกล่าวถึงแคว้นหรืออาณาจักรต่างๆ
ซึ่งแต่ละแคว้นมีราชสำนักและกษัตริย์ตลอดจนพราหมณ์ปุโรหิตผู้ประกอบประเพณีพิธีกรรม
กล่าวถึงพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู และวัฒนธรรม รวมทั้งการใช้ภาษาบาลี
สันสกฤตในทางราชการ โดยเฉพาะการขนานพระนามของเทพเจ้ากษัตริย์ ขุนนาง และสถานที่
ประการที่สองแลเห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองระหว่างแคว้นใหญ่
หรือรัฐใหญ่กับรัฐเล็กในการที่จะมีการรวบรวมให้เกิดเป็นรัฐหรืออาณาจักรใหญ่ขึ้นมา
ความเด่นชัดในเรื่องนี้เห็นได้จากหลักฐานทางเอกสารโบราณที่กล่าวถึงการขยายอำนาจของรัฐฟูนันเอง
โดยที่กษัตริย์ฟูนันองค์สำคัญได้รบพุ่งปราบปรามบ้านเมืองใหญ่น้อยตามชายฝั่งทะเลเข้าไว้ในอำนาจ
และในขณะเดียวกันก็มีการติดต่อทางการทูตกับอินเดียและจีนทั้งในด้านการค้าและศาสนา
โดยเฉพาะกับทางจีนนั้นฟูนันถึงกับส่งรูปเคารพทางศาสนาไปให้ทีเดียว
จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้บรรดานักประวัติศาสตร์นำไปค้นคว้าต่อกับหลักฐานทางโบราณคดีแล้วให้ความหมายและสร้างภาพฟูนันเป็นมหาอาณาจักร
หรือจักรวรรดิของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคแรกๆ ทีเดียว
ซึ่งภาพพจน์ของฟูนันดังกล่าวนี้ทำให้เป็นภาพหลอนที่ทำให้เห็นว่าบรรดาบ้านเมืองที่พัฒนาขึ้นในสมัยฟูนันนั้น
มีฟูนันเป็นศูนย์กลางและเมืองอื่นๆ แว่นแคว้นอื่นๆ เป็นบริวาร
อีกทั้งเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเข้าใจประวัติศาสตร์เอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ไปในลักษณะที่เป็นแนวตั้ง (Vertical)
มากกว่าจะแลเห็นความหลากหลายในด้านแนวนอน (horizontal) ที่ว่าเป็นแนวตั้ง
ทั้งเป็นการมองแคบและลึก
ทำให้เห็นว่าฟูนันคือศูนย์อำนาจหรืออาณาจักรที่สำคัญเพียงแห่งเดียว
แล้วฟูนันก็ส่งทอดความเจริญมาให้อาณาจักรเจนละที่พัฒนาต่อในพื้นที่เดียวกัน
และต่อจากเจนละก็มาถึงเมืองพระนคร
หรืออาณาจักรกัมพูชาที่ปรากฏร่องรอยของศาสนสถานบ้านเมืองมากมาย
การมองแบบนี้แทบจะทำไม่ให้แลเห็นพัฒนาการของบรรดารัฐหรือบ้านเมืองร่วมสมัยได้
ในขณะที่การพิจารณาหลักฐานบ้านเมืองร่วมสมัยในแนวราบหรือแนวนอนนั้นจะทำให้เห็นมิติที่กว้างออกไปว่า
ยังมีรัฐอื่นบนเส้นทางการค้าขายและการคมนาคมทางทะเลที่มีพัฒนาการเช่นเดียวกัน
ซึ่งในที่นี้จะบอกกล่าวแต่เพียงบรรดาบ้านเมืองที่พัฒนาขึ้นในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันเท่านั้น
ถ้าหากย้อนหลังกลับไปสมัยสุวรรณภูมิ
ก็คงต้องยอมรับกันว่าจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในขณะนี้ไม่มีที่ไหนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งบนพื้นแผ่นดินใหญ่
บนคาบสมุทรและหมู่เกาะที่จะให้ภาพพจน์ของศูนย์กลางความเจริญของสุวรรณภูมิได้ดีเท่ากับบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลองทางซีกตะวันตกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในขณะนี้
และเพื่อเน้นให้เด่นชัดมากที่สุดก็อาจกล่าวได้ว่าอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำจระเข้สามพัน
อันเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำท่าจีน-แม่กลองนั่นเอง
ในสมัยฟูนันบริเวณนี้มีเมืองอู่ทองพัฒนาขึ้นเป็นเมืองร่วมสมัยกันกับเมืองออกแอวที่ต่างก็อ้างว่าเป็นเมืองสำคัญของฟูนัน
ซึ่งถ้าจะว่ากันทั้งตำแหน่งที่ตั้งนอกเมืองและสภาพแวดล้อม
รวมทั้งหลักฐานทางโบราณสถานวัตถุแล้ว อู่ทองมีมากและหนักแน่นกว่าออกแอวเป็นอย่างมาก
และความมากมายของหลักฐานเช่นนี้ได้ทำให้ครั้งหนึ่ง ศาสตราจารย์ช็อง บวสเซอลิเย
นักประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเสนอว่าเมืองอู่ทองเคยเป็นเมืองหลวงของฟูนัน
และให้ความเห็นว่า หลักฐานที่พบส่วนใหญ่ของเมืองออกแอวนั้น เป็นของสมัยเจนละลงมา
ความคิดเช่นนี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในวงวิชาการมากพอสมคาร
ข้าพเจ้านับเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย
เพราะเห็นว่าตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเมืองฟูนันที่บ่งบอกในเอกสารจดหมายของจีน
และชาวต่างประเทศนั้น ไม่น่าจะอยู่ที่อู่ทองเลย น่าจะอยู่ทางปากแม่น้ำโขงมากกว่า
แต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑
ข้าพเจ้ามีโอกาสไปเวียดนามและได้ดูแหล่งโบราณคดีที่อยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงและแม่น้ำดงไน
รวมทั้งแลเห็นบรรดาโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ ณ เมืองไซ่ง่อนแล้ว
ก็เกิดความเข้าใจว่าเพราะเหตุใดศาสตราจารย์บวสเซอลิเยคิดเช่นนั้น
นั่นก็คือบริเวณที่ตั้งของเมืองออกแอวที่ว่าเป็นเมืองสำคัญของฟูนันนั้น
ล้วนเป็นพื้นที่ราบลุ่มต่ำน้ำท่วมถึง คือเป็นบริเวณที่เป็นทะเลตม
หรือป่าชายเลนมาก่อนอย่างแน่นอน
บริเวณเช่นนี้ยากที่จะเป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญที่เป็นศูนย์กลางทางการปกครองได้
จะเป็นได้ก็แต่เมืองท่าและสถานีพักสินค้าเท่านั้น
โดยเหตุนี้เองนักโบราณคดีประวัติศาสตร์สำคัญรุ่นก่อน เช่น ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส
จึงเสนอว่าเมืองหลวงหรือเมืองสำคัญของฟูนันอยู่ที่บาพนมอันเป็นบริเวณภายในที่มีลำน้ำจากชายฝั่งทะเลเข้าไปถึง
ข้าพเจ้าไม่คิดและไม่เชื่อว่าเมืองอู่ทองเป็นเมืองสำคัญของฟูนัน
แต่เห็นว่าเป็นเมืองร่วมสมัยที่สืบต่อความเจริญมาจากสุวรรณภูมิ
เมืองนี้น่าจะตรงกันกับเมืองหรือแคว้นกิมหลิน
หรือแคว้นทองที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีนว่าเป็นเมืองร่วมสมัยกับฟูนัน
และกษัตริย์ของฟูนันเคยยกกองทัพเรือเข้ามาโจมตีและได้ชัยชนะ
ซึ่งในทำนองนี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่าอู่ทองเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองของฟูนันก็ว่าได้
จัดทำและดำเนินการโดย ชมรมซอดแจ้งสามัคคี Zodjang Unity Club