โดย..พัชรินทร์ เศวตสุทธิพันธ์
จุดมุ่งหมายของการบริหารงานโดยทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน จะมุ่งใช้ทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่อย่างประหยัด
แต่ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเต็มที่ ในจำนวนทรัพยากรการบริหาร
ซึ่งได้แก่ คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการจัดการนั้น "คนหรือทรัพยากรมนุษย์"
นับว่าสำคัญที่สุด เพราะแม้ส่วนอื่นๆจะขาดแคลนบกพร่องไปบ้าง
แต่ถ้า "คน" ดีก็อาจจะทำให้การบริหารงานบรรลุจุดมุ่งหมายได้
เนื่องจากขั้นตอนต่างๆของการบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การจัดองค์กร
การประสานงานหรือแม้แต่การควบคุมงาน ย่อมต้องใช้คนปฏิบัติทั้งสิ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักบริหารชั้นเลิศในทุกๆด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการบริหารงานบุคคล ทรงตระหนักถึงการใช้คนให้ปฏิบัติงานด้วยความพึงพอใจอย่างเต็มกำลังความสามารถ
และร่วมกันทำงานอย่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยมุ่งความสำเร็จของงานเป็นหลัก
ซึ่งจะทำให้พลังของการทำงานสูงขึ้น อันหมายถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานนั้นๆ
ดร.สุเมธ
ตันติเวชกุล เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธีชัยพัฒนา และเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
หรือ กปร.ผู้ซึ่งปฏิบัติงานสนองเบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิดมานาน
กล่าวถึงการบริหารงานบุคคลของพระองค์ท่านจากพระราชจริยวัตร ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีของนักบริหารว่า
นักบริหารจะต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ต้องหมั่นบริหารร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่
-
สภาพจิตใจจะต้องพร้อม คือพร้อมที่จะปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ
ไม่มุ่งผลประโยชน์ใดๆ
-
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ในการปฏิบัติงานไม่ต้องพะวงว่าจะทำไปเพื่ออะไรหรือทำเพื่อใคร
แต่ให้ทำในลักษณะการทำสังฆทานไม่เจาะจงผู้รับ ถ้าสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดได้
จะต้องรีบกระทำในทันที
-
ตัดอัตตา คือไม่ยึดติดในตนเอง แต่มีความสามัคคีในหมู่คณะและมีเอกภาพในการทำงาน
-
มีความเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเสมอหน้าและถ้วนหน้า
หมั่นดูแลทุกข์สุขการเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
-
มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก้มหน้าก้มตาทำงานให้งานคือความสุข
โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนอื่น นอกจากความสำเร็จของงานนั้นๆ
-
มีความประหยัด พยายามหาวิธีใช้ของที่มีค่าน้อยที่สุดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างคุ้มทุน ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
นอกจากนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีพระราชดำรัสบ่อยครั้งถึงการ
"รู้ รัก สามัคคี"ในการทำงาน
"รู้"
ในชีวิตการทำงาน จะต้องเริ่มจากคำว่า "รู้" การจะเข้าไปแก้ไขปัญหาในเรื่องใดๆ
จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆก่อนอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชดำรัสในเรื่องใด
จะทรงศึกษาข้อมูลข่าวสารอย่างมากมาย เพื่อให้ทรง "รู้"
ในเรื่องนั้นอย่างละเอียดและลึกซึ้ง
เมื่อ
"รู้" แล้ว จะต้องมีคำที่ 2 ตามมาคือ "รัก"
"รัก"
คือ ความต้องการ ความปรารถนาที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหานั้นๆ ขณะที่เรารู้ว่าปัญหาคืออะไร
และทางแก้ไขคืออะไร เราต้องมีความต้องการ ความปรารถนาที่จะเข้าไปแก้ไข
แต่การเข้าไปแก้ไขแต่เพียงลำพัง
คงไม่สามารถดำเนินการใดๆให้ลุล่วงไปด้วยดี จึงต้องมีคำที่ 3
"สามัคคี"
คือการรวมพลังกันเข้าไปแก้ปัญหา ตามความรู้ ความรักที่มีอยู่
ดังนั้นการ
"รู้ รัก สามัคคี" จึงเป็นหลักการบริหารที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน
ชีวิตข้าราชการ หรือแม้แต่ชีวิตในองค์กร เป็นข้อความที่เรียบง่าย
แต่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก
คุณสมบัติของการเป็นนักบริหารที่ดีเหล่านี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างให้ข้าราชบริพารและผู้ปฏิบัติงานถวาย
ได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่ยึดถือ
ไม่ยึดติดกับสิ่งใด มุ่งเพียงความสำเร็จของงานที่ทำ ขณะเดียวกันก็ให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างสมถะประหยัดมัธยัสถ์ตัดความปรารถนาในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจนหมด
มีความถ่อมเนื้อถ่อมตัว รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีความเป็นประชาธิปไตยในการทำงานสูงมาก โปรดที่จะซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นอยู่เสมอ
หากพระองค์ท่านมีแนวพระราชดำริในเรื่องใด แต่มีผู้ไม่เห็นด้วยจะทรงอธิบายอย่างละเอียด
เพื่อชี้แจงโน้มน้าวให้บุคคลเหล่านั้นให้ความร่วมมือ เพื่อผลสำเร็จของงาน
แม้แต่การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆ บางครั้งชาวบ้านไม่เห็นด้วยกับแนวพระราชดำริ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะประทับลงกับพื้นแล้วทรงกางแผนที่ประกอบคำอธิบายจนชาวบ้านฟังเข้าใจ
และบางครั้งพระองค์จะทรงรับความคิดเห็นของชาวบ้าน หากเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ด้วยทรงคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ อันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของนักบริหาร