โดย..มนูญ มุกประดิษฐ์
หลายคนเมื่อได้ยินคำเช่นนี้
คงฉงนฉงายในใจ ใครหนอกล่าวคำเช่นนี้ นักธุรกิจและนักการค้าคงจะเห็นด้วยยาก
จะมีบ้างคงเป็นนักบุญและนักอุดมคติซึ่งจะหลงเหลือน้อยนัก อยู่ ณ
แห่งหนตำบลใด
คนช่างจำสักหน่อยหนึ่งคงจะระลึกได้ว่า
คำนี้ออกจากพระโอษฐ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดินของประชาชนชาวไทยเมื่อ
2-3 ปีมาแล้ว
ความเช่นนี้
มีความหมายอย่างไรเล่า คงไม่เสียเวลาเปล่าที่จะติดตามลำดับความสืบเนื่องดังต่อไปนี้...
เมื่อประมาณสองทศวรรษเศษๆ
ที่ผ่านมา ได้มีความเชื่อและมีการคาดการณ์กันอย่างจริงจังในบรรดานักทฤษฎีและนักวิเคราะห์ทางการเมืองว่า
ระบอบเสรีนิยมในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมทั้งประเทศไทยด้วยจะเรียงลำดับกันล่มสลายไปตามทฤษฎีโดมิโน
การคาดการณ์และความเชื่อดังกล่าวเกือบจะมีผลเป็นความจริง
หากเรียงลำดับแห่งการล่มสลายของประเทศเพื่อนบ้านตามทฤษฎีโดมิโนไม่มาสะดุดหยุดลงที่ประเทศไทย
ครั้งหนึ่งที่จังหวัดนราธิวาส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสว่า ทฤษฎีโดมิโนนั้นไม่มีผลต่อประเทศไทยของเรา
ด้วยว่าสังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่ "ให้" และ "เรายังให้กันอยู่"
ใครจะแปลความหมายที่ลึกซึ้งดังกล่าวเป็นประการใดก็สุดแล้วแต่วิสัยทัศน์และกรอบแห่งความคิดของแต่ละปัจเจกชน
แต่ "การให้" และ "เรายังให้กันอยู่" นั้น สัมพันธ์สอดคล้องกับพระราชดำรัสแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ได้พระราชทานแก่ตัวแทนของปวงชนชาวไทยที่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2535 ณ ศาลาดุสิดาลัย ภายในพระตำหนักจิตรดารโหฐาน
ความตอนหนึ่งว่า...
"ประเทศต่างๆในโลกในระยะ
3 ปีมานี้ คนที่ก่อตั้งประเทศที่มีหลักทฤษฎีในอุดมคติที่ใช้ในการปกครองประเทศ
ล้วนแต่ล่มสลายลงไปแล้ว เมืองไทยของเราจะสลายลงไปหรือ เมืองไทยนับว่าอยู่ได้มาอย่างดี
เมื่อประมาณ 10 วันก่อน มีชาวต่างประเทศมาขอพบ เพื่อขอโอวาทเกี่ยวกับการปกครองประเทศว่าจะทำอย่างไร
จึงได้แนะนำว่าให้ปกครองแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีมีเมตตากัน
ก็จะอยู่ได้ตลอด ไม่เหมือนกับคนที่ทำตามวิชาการที่เวลาปิดตำราแล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกเริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง ถ้าเราใช้ตำราแบบอะลุ้มอล่วยกัน
ในที่สุดได้ก็เป็นการดี ให้โอวาทเขาไปว่า "ขาดทุนเป็นการได้กำไรของเรา"
นักเศรษฐศาสตร์คงค้านว่าไม่ใช่ แต่เราอธิบายได้ว่า ถ้าเราทำอะไรที่เราเสีย
แต่ในที่สุดที่เราเสียนั้น เป็นการได้ทางอ้อม ตรงกับงานของรัฐบาลโดยตรง
เงินของรัฐบาลหรืออีกนัยหนึ่งคือ เงินของประชาชน ถ้าอยากให้ประชาชนอยู่ดี
กินดี ก็ต้องลงทุน ต้องสร้างโครงการซึ่งต้องใช้เงินเป็นร้อย พัน
หมื่น ล้าน ถ้าทำไปเป็นการจ่ายเงินของรัฐบาล แต่ในไม่ช้าประชาชนจะได้รับผล
ราษฎรอยู่ดีกินดีขึ้น ราษฎรได้กำไรไป ถ้าราษฎรมีรายได้ รัฐบาลก็เก็บภาษีได้สะดวก
เพื่อให้รัฐบาลได้ทำโครงการต่อไป เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ
ถ้ารู้ รัก สามัคคี รู้ว่าการเสียคือการได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า
และการที่คนอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้..."
นั่นคือจุดยืนและหลักการที่มั่นคงแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่มีต่อพสกนิกรและประเทศชาติ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปอย่างไร "การให้"
"การเสียสละ" และ "การขาดทุน...อันมีผลเป็นกำไร"
(คือความอยู่ดีมีสุขของประชาชน)นั้นมิได้เป็นเพียงวาทะแห่งนามธรรม
หากแต่ได้สะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในพระราชกรณียกิจหลากหลาย
และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ที่พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกาย
ดำเนินการอยู่อย่างจริงจังต่อเนื่องมานานถึง 50 ปี ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจ
สังคมและการเมืองของประเทศจะเป็นเช่นไร พระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์นี้ก็ยังทรงงานอยู่อย่างหนักไม่เคยว่างเว้น
และผลจากการนี้ก็ตกอยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง พระเกียรติคุณยิ่งใหญ่ของพระองค์ในสายตาของชาวโลกคือ
พระราชสมัญญาที่ว่า "กษัตริย์ผู้ทรงงาน" นั้นมิได้ความหมายเพียงว่า
พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น ห่วงใย อาทรในทึกข์สุขของพสกนิกร
จนต้องเสียสละและ "พระราชทาน"ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่พระวรกายและความสะดวกสบาย
ตลอดจนพระราชทรัพย์ ทุ่มเททำงานหนักให้ประชาชนเท่านั้น หากแต่ "กษัตริย์ผู้ทรงงาน"นั้นควรจะมีความหมายในรูปแบบที่สมบูรณ์ว่า
ทรงเป็นทั้งนักคิดที่มีอัจฉริยภาพสูงส่ง ในด้านศาสตร์ของการปกครองและการเมือง
และยังทรงเป็นนักปฏิบัติที่ยิ่งใหญ่ในด้านของการพัฒนาทุกด้านด้วย
จึงไม่น่าเป็นที่กังขาเลยว่า เหตุใดประเทศไทยจึงดำรงคงอยู่สถิตสถาพรและมีความเจริญก้าวหน้ามาจน
ณ บัดนี้อย่างมีศักดิ์ศรี