ประวัติโคลงกำสรวญฯ | ร่ายนำ-โคลงบทที่๑๒ | โคลงบทที่๑๓-๒๔ |
โคลงบทที่๒๕-๓๖ | โคลงบทที่๓๗-๔๘ | โคลงบทที่๔๙-๖๐ |
โคลงบทที่๖๑-๗๒ | โคลงบทที่๗๓-๘๔ | โคลงบทที่๘๕-๙๖ |
โคลงบทที่๙๗-๑๐๘ | โคลงบทที่๑๐๙-๑๒๙ |
โคลงกำสรวญศรีปราชญ์ เป็น โคลงนิราศสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็น โคลงที่โด่งดัง และได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง นับแต่โบราณกาลมา ถือได้ว่าเป็นต้นแบบ ของนิราศคำโคลงเรื่องอื่นๆ ที่มีผู้แต่งเลียนแบบในภายหลัง แต่เดิมเชื่อกันว่าผู้แต่งโคลงกำสรวญนี้คือศรีปราชญ์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่งคร่ำครวญถึงคนรัก เมื่อคราวถูกเนรเทศไปนครศรีธรรมราช ความเชื่อนี้น่าจะมีมาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ดังมีโคลงบทหนึ่งในนิราศนรินทร์กล่าวไว้ว่า
กำสรวลศรีปราชญ์พร้อง | เพรงกาล |
จากจุฬาลักษณ์ลาญ | สวาทแล้ว |
ทวาทศมาสสาร | สามเทวษ ถวิลแฮ |
ยกทัดกลางเกศแก้ว | กึ่งร้อนทรวงเรียม |
และเมื่อพระยาปริยัติธรรมธาดา(แพ ตาละลักษณ์)แต่งตำนานศรีปราชญ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อที่มีมาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นว่า มีกวีที่ชื่อ "ศรีปราชญ์" ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นบุตรพระโหราธิบดี ในวัยเด็กมีปฏิภาณดี สามารถต่อโคลงถวายได้ บิดาจึงถวายตัวเป็นข้าราชบริพาร เมื่อรับราชการก็สามารถว่าโคลงสดโต้ตอบกับคนอื่นๆได้ทันที แต่ต่อมาไปแต่งโคลงโต้กับพระสนมเข้า จึงถูกเนรเทศไปอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาถูกเจ้าเมืองฯสั่งประหารชีวิตจึงเขียนโคลงแช่งไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราทราบกันโดยทั่วไป และเชื่อกันว่าศรีปราชญ์ผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้แต่ง "กำสรวญศรีปราชญ์" และ "อนิรุทธ์คำฉันท์"ด้วย
แต่นักวรรณคดีในรุ่นหลังๆมีความเห็นต่างออกไปว่า ศรีปราชญ์ในตำนานที่รู้จักกันดีนี้ไม่ใช่ผู้แต่งกำสรวญศรีปราชญ์ เหตุผลมีดังนี้
๑.ภาษาในโคลงกำสรวญเป็นภาษาเก่าแก่เกินสมัยพระนารายณ์ เมื่อพิจารณาดูจะเห็นว่าใกล้เคียงกับ ลิลิตยวนพ่าย ที่แต่งในสมัยพระบรมไตรโลกนาถมากกว่า
๒.ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ที่กล่าวถึงในโคลง เป็นตำแหน่งสนมเอกของพระเจ้าแผ่นดิน แม้ศรีปราชญ์ในตำนานจะกล่าวว่ามีชู้กับพระสนม แต่ไม่น่าจะกล้าเอ่ยชื่อตรงๆในบทประพันธ์ที่ตนแต่ง ทั้งการรำพันถึงก็เป็นไปอย่างเปิดเผยเหมือนสามีภรรยามากกว่า อีกทั้งในโคลงก็ใช้ราชาศัพท์หลายคำ บ่งบอกว่าผู้แต่งน่าจะเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
๓.การเดินทางในโคลงไม่เหมือนการถูกเนรเทศ ตอนลงเรือมีโคลงกล่าวว่า
สรเหนาะนิราษน้อง | ลงเรือ |
สาวส่งงเลวงเต็ม | ฝ่งงเฝ้า |
สระเหนาะพี่หลยวเหลือ | อกส่งง |
สารด่งงข้าส่งเจ้า | ส่งงตน |
จะเห็นได้ว่ามีผู้หญิงมาส่งผู้แต่งมากมาย ทั้งยังสามารถเรียกมาสั่งความได้ ไม่เหมือนคนต้องโทษเนรเทศ น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตมากกว่า
๔.ในการพรรณนาเส้นทางที่ขบวนเรือแล่นผ่าน เรือมิได้แล่นผ่านคลองลัดที่ขุดเชื่อมระหว่างคลองบางกอกน้อย กับ คลองบางกอกใหญ่ ซึ่งขุดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๐๘๕ ในสมัยพระชัยราชา ถ้าการเดินทางเกิดขึ้นในสมัยพระนารายณ์จริงก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางอ้อมเช่นนี้
๕.ทรงผมที่บรรยายในโคลงเป็นผมยาวเกล้าเป็นมวยซึ่งเป็นทรงผมของสตรีในสมัยอยุธยาตอนต้น ต่างกับสมัยพระนารายณ์ที่ไว้ผมสั้น
โดยสรุปมีหลักฐานที่ค่อนข้างเชื่อได้ว่าโคลงกำสรวญนี้แต่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ผู้แต่งเป็นคนละคนกับศรีปราชญ์ในตำนาน
ลักษณะคำประพันธ์เป็นโคลงดั้นบาทกุญชร มีร่ายดั้นนำ โคลงตกหล่นไปมากตามกาลเวลา ในที่นี้ได้คัดลอกมาจากฉบับของกรมศิลปากร ซึ่ง ธนิต อยู่โพธิ์ ได้ชำระไว้ และได้พิมพ์ตามหนังสือต้นแบบที่ตีพิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๑๓ ซึ่งใช้อักขรวิธีแบบโบราณ ผู้สร้างเวบไม่กล้าเปลี่ยนเป็นอักขรวิธีแบบปัจจุบัน ด้วยเกรงว่าจะทำให้ผิดเพี้ยนไป และแม้บางคำที่สงสัยว่าต้นฉบับจะพิมพ์ผิด แต่ก็คงไว้เช่นนั้น
คำที่มี ํ อยู่ข้างบนเท่ากับเป็นสระโ-ะ และมี-มสกด เช่น พํรหม อ่านว่า พรหม,ชํ อ่านว่า ชม
คำที่มีตัวสกดสองตัวข้างหลัง ให้อ่านเป็นสระ-ะ สกดด้วยตัวนั้น เช่น ต้งง อ่านว่า ตั้ง,น้นน อ่านว่า นั้น
ตัว ย เท่ากับสระเ-ีย เช่น จยร อ่านว่า เจียร
ส่วนที่โคลงขาดหายไปได้แทนด้วยเครื่องหมาย *