ประวัติหาดใหญ่ ตอน Battle of Songkhla
ทหารเก่า ชีวิต สงคราม และความรัก
แม้วัยล่วงกว่า 80 ปี สองคนยังครองรักกันอย่างสุขสงบ ณ บ้านเลขที่ 64-66 ถนนรามัญ เมืองสงขลา อยู่ลำพังสองตายายเพราะทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกัน ความรักก่อเกิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2ขณะกองทัพญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกที่สงขลา ตอนนั้น พ.ต.เภรี หาญชนบท ยังเป็นทหารยศสิบตรี ประจำการอยู่ที่ค่ายทหารปืนใหญ่ ป.พัน 13 ที่สวนตูล (ปัจจุบัน คือค่ายพระปกเกล้า ถนนสงขลา-นาทวี) ส่วน จำเนียร เป็นช่างตัดเสื้ออยู่ในเมืองสงขลา คุณตาเภรี เล่าว่า ในคืนวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ราวตีสองกว่า ทหารในค่ายสวนตูล ทุกคนถูกปลุกรวมพล เพราะข้าศึกบุก นาทีนั้นไม่มีใครรู้ว่าข้าศึกเป็นใคร มาจากไหนด้วยซ้ำไป คำสั่งให้ขนกระสุน และอาวุธปืนออกมาเตรียมพร้อมเข้าที่ตั้งยิง จนถึงหกโมงเช้า ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มยิงตอบโต้กัน คุณตาเป็นผู้หมู่ปืนใหญ่ 1 ใน 4 กระบอกที่มีอยู่ในค่ายเขาเป็นลูกทหารเกิดในค่ายทหารที่พิษณุโลก จบชั้นมัธยม6 โรงเรียนประจำจังหวัดนครสวรรค์ ในปี พ.ศ. 2480 เข้าโรงเรียนนายสิบ รุ่นที่มี จอมพลสฤษต์ ธนะรัตน์ ขณะที่มียศ ร.อ.เป็น ผบ.กองร้อย ในปี พ.ศ. 2482 (นายสิบรุ่นนี้มี 160 คน ปัจจุบันมีชีวิตอยู่เพียง 59 คน) ลงมาประจำการที่สงขลา หลังจากนั้น 1 ปี เกิดสงครามหกโมงเช้าทหารราบก็ยิงกันสนั่นหวั่นไหว เราปืนใหญ่ก็เริ่มยิง โดยผู้ตรวจการ จะเป็นคนบอกพิกัดว่าให้ยิงลงตรงไหน ญี่ปุ่นขับเครื่องบินมาทิ้งระเบิด เสียงดังบึ้ม ๆ จุดระเบิดอยู่ห่างไปเพียง 100 เมตร เครื่องบินเล็กเรา 3 ลำถูกระเบิดใช้การไม่ได้ ส่วนปืนใหญ่จากเรือรบญี่ปุ่นนอกฝั่ง ก็ยิงถล่มกันเข้ามาสมทบไม่ขาดสาย เสียงเฟี้ยว...ตามมาด้วยบึ้ม สนั่นหวั่นไหว คุณตาเภรี ย้อนความหลัง การต่อสู้อย่างดุเดือด ดำเนินไปจนถึงเที่ยงคืน ปืนใหญ่ฝ่ายเราเปลืองกระสุนไป กว่า 140 นัด ทหารปืนใหญ่ฝ่ายไทยได้เปรียบตรงที่อยู่ในที่อับกระสุน จึงไม่สูญเสีย ขณะมีรายงานว่าเรือยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่นจมไป 2 ลำ ทหารญี่ปุ่นตายมากเพราะเป็นฝ่ายบุก ส่วนทหารราบไทยเสียชีวิตราว 6-7 คน บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้น มีคำสั่งจาก จอม ป. พิบูลสงคราม ผู้นำรัฐบาลไทยขณะนั้นให้หยุดยิง และอนุญาตกองทัพญี่ปุ่น ผ่านไทยได้ แต่การสู้รบยังดำเนินต่อ เพราะกองทัพอังกฤษตามมาบอมบ์ญี่ปุ่นต่อ ขณะที่ญี่ปุ่นยึดสงขลาเป็นฐานไปตีมาเลเซียและสิงคโปร์ รวมเวลาที่ญี่ปุ่นอยู่ในสงขลาราว 5 ปี วาตากูชิ หาดใหญ่ คุณยายจำเนียร บอกว่าถ้าจะไปหาดใหญ่ ต้องบอกทหารญี่ปุ่นด้วยประโยคดังกล่าว ดูเหมือนว่าคุณยาย ลูกสาวช่างรับเหมาก่อสร้าง จะรู้จักทหารญี่ปุ่น มากกว่า คุณตาเภรี แกยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน เมื่อเกิดสงครามขึ้น คุณยายจำเนียรเพิ่งสำเร็จการเรียนตัดเย็บมาจากเมืองหลวง ตอนนั้นช่างตัดเสื้อในตัวเมืองสงขลา หนีภัยสงครามโดยนั่งเรือข้ามไปอยู่ที่ฝั่งสิงหนครกันหมด บ้านเรือนในสงขลาขณะนั้น ทหารญี่ปุ่นเข้าอยู่อาศัยแทน คุณยายหลบภัยอยู่ที่วัดสุวรรณคีรีที่หัวเขา แต่กลับมาบ้านในตอนกลางวัน เพื่อช่วยตัดเสื้อให้ทหารอาสาสมัครไทย ตอนนั้นช่างตัดเสื้ออาชีพของเมืองสงขลาเหลือคนเดียวคือคุณยายจำเนียรนั่นเอง ข่าวที่ว่าคุณยายเป็นช่างตัดเสื้อให้อาสาสมัคร วันหนึ่งทหารญี่ปุ่นเข้ามาหา ชักซามูไรยาวเฟื้อย อ้าแขน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังเป็นภาษาญี่ปุ่น สั่งคุณยายให้ตัดเสื้อ ในห้วงสงครามอันแร้นแค้น ทหารญี่ปุ่นเองก็ขาดแคลนเสื้อผ้า คุณยายดูแบบที่ต้องการแล้วก็จัดแจงทำให้ แม้พยายามส่งภาษาว่าไม่อยากรับค่าจ้างแต่ทหารญี่ปุ่นพอใจฝีมือควักเงินดอลลาร์ให้หลายสะตังค์อยู่ หลังจากนั้น แกเห็นทหารญี่ปุ่นเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาแปะไว้ หน้าประตู และเมื่อทหารญี่ปุ่นเดินผ่านจะต้องยกมือทำความเคารพร้านตัดเสื้อทุกครั้งไป ทั้งไม่มีทหารญี่ปุ่นคนไหนกล้ามาแสดงท่าเกกมะเหรกเกเรอีกด้วย ใครขัดขืนคำสั่งจะถูกชกกระเด็นติดฝาบ้านทีเดียว ไม่มีทหารญี่ปุ่นคนไหน มาจีบยายหรอก แต่ชอบมาคุยด้วย ตอนนั้นตารี แกก็มาที่ร้านมาตัดเสื้อเหมือนกัน ทหารญี่ปุ่นเขาถามว่าแฟนหรือ เราก็บอกว่าไม่ใช่หรอกคุณยายเล่า คุณตาเภรีบอกว่า ทหารซามูไรมาพูดเรื่องคิดถึงลูกถึงเมียมันนั่นแหละ บางคนเจ้าน้ำตา พูดไปร้องไปก็มี ส่วนที่คุณตามชอบมาที่ร้าน ก็ตามประสาหนุ่มออกหาสาวๆ ตอนนั้นยายพูดภาษาญี่ปุ่นได้แล้ว เพราะมีคนเอาหนังสือภาษาญี่ปุ่น แปลไทยมาให้อ่าน นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ แกรู้จักทหารญี่ปุ่นหลายคน ยังจำชื่อได้มาถึงทุกวันนี้ ชื่อ ทานาก้า, ชายาชิดา (นายพันกองทัพอากาศ) และ มิคามิ (ยศร้อยเอก)อีตามิคามินี่ มาให้ ยายตัดชุดให้ เป็นแบบที่ใช้ผ้าขาวคลุมหน้า ไม่ให้ยุงกัด แต่ไม่รู้อย่างไร ยายลืม ทำแขนเสื้อไปข้างหนึ่ง อีกไม่นานเขาถูกระบิดแขนขาด มันเหมือนเป็นลาง ส่วนอีกคน ชื่อซูมิ ถูกระเบิดร่างขาดเป็นสองท่อน  ความทรงจำจากสงครามของคุณยายายังชัดเจนทั้งไทยและญี่ปุ่น ที่ถูกระเบิดสภาพศพจะน่าเวทนา แขนขาขาด ไส้ทะลัก หรือกระเด็นไปแขวนอยู่บนกิ่งไม้ มีเห็นเจนตาคนผ่านสงครามเมื่อมีทหารญี่ปุ่นตายจะมีการเผา ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ โดยเอาโต๊ะ เก้าอี้ มาเป็นเชื้อไฟ ที่ฝังแถวหน้าศาลสงขลาก็มี ยายจำ เนียรบอกว่า ดูสภาพแล้วหลุมศพไม่ต่างจากร่องมันเทศ หลังญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ยายจำเนียรไม่เคยได้ข่าวทหารญี่ปุ่นที่รู้จักอีกเลย เข้าใจว่า คงตายหมดแล้วหลังสงครามคุณตาเภรี และ คุณยายจำเนียร แต่งงานกัน คุณตานั้นหลังกรำศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ ขอไปรบที่สงครามเกาหลีและเวียดนามอีก แต่ไม่ได้ไป ตอนหลังจึงย้ายตัวเองเข้ากรมการรักษาดินแดน เป็นครูฝึก ร.ด. จนกระทั่งปี พ.ศ. 2511 ได้ลาออกราชการ คนทั้งสองหันหน้าไปทำสวนและปฏิบัติธรรม นอกจากตื่นเช้าไปสูดอากาศริมทะเล ทุกวันสองตายาย จะขับรถจากเมืองสงขลาไปยังสวนแถวบ้านน้ำกระจาย ตำบลพะวง อยู่ที่นั่นจนค่ำคิดตั้งแต่เป็นร้อยเอกแล้วว่า จะทำอะไรหลังจากลาออก หาซื้อที่ไว้ 10 ไร่กว่า แต่ตอนนี้ เหลือ 6 ไร่ ที่ทำสวนจริงก็ 3 ไร่ 3 งาน ปลูกหมด เงาะ ทุเรียน พืชล้มลุก ผักสวนครัว และสมุนไพร คุณตาบอก แกจวกดิน และใช้เครื่องตัดหญ้า วันละ 2-3 ชั่วโมง คุณยายจำเนียรเล่า แม้ล่วงวัยชรา แต่ทั้งคู่ก็ยังสุขภาพแข็งแรง พวกเขาบอกว่า ต่างก็เคยเป็นนักวิ่ง ระยะไกลกันมาก่อน เมื่อก่อนคุณตาวิ่งวันละ 14 กิโลเมตร คุณยายเคยวิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตร ได้รางวัลที่ 1 และเพิ่งหยุดไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ส่วนการปฏิบัติธรรมได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาไปอินเดียมาแล้ว 4 ครั้ง และศรีลังกา 2 ครั้ง คุณตายังมีหน้าที่ทางสังคม รับเป็นพิธีกรในกิจกรรมทางศาสนา ผ่านชีวิตมา 81 ปีแล้ว คุณตาให้ข้อคิดว่า อยากให้ชีวิตยืนยาวต้องคิดและทำดังนี้
1. อย่าเป็นคนอยากได้โน่นได้นี่ ต้องให้อย่างเดียว ให้อย่างไม่หวังผลตอบแทน ถ้าทำได้จะทำให้ใจเป็นสุข
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่าทิ้งแม้จะเป็นวัยชรา การเดินและวิ่งยืดอายุคนออกไปได้
3.กินอาหารครบ 5 หมู่ เลี่ยงอาหารรสจัดและอย่ากินมากเกินไป
4. หายใจยาวและลึก ไม่เครียด คำว่าไม่เครียด พูดง่าย แต่ทำยาก คุณตามีเคล็ดลับทางพุทธศาสนาเพียงแต่ว่า อย่าไปยึดติดอะไร ไปคิดว่าเป็นของเราอยู่ร่ำไป เรื่องอะไรที่รบกวนจิตใจมากนัก ก็คิดเสียว่า เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าไปยุ่งอย่าเอาจิตไปรับเรื่องร้าย แกยกตัวอย่างว่าเดินกลางแดด ก็อย่าได้ไปเดือดร้อน แดดมันร้อนก็เรื่องของแดด สิ่งใดเกิดมันก็เกิดขึ้นเอง สิ่งใดไม่เกิดก็ไม่เกิด แต่ต้องมีสติ ไม่ประมาท แล้วชีวิตจะดำเนินไปอย่างราบเรียบ นายทหารบางคน หลังเกษียณอายุก็เหงา เพราะลูกน้องที่เคยห้อมล้อม ก็ไม่มาดังเก่า ผมคิดว่า เป็นเรื่องของลูกน้องเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ก็ไม่ทุกข์ใจ คิดเสียว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ แต่เกิดมาเพื่อตาย สิ่งที่เราอยู่ในโลกนี้ เป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยเท่านั่นเอง การแสวงหากิน กาม เกียรติ ทั้งที่ไม่มีอะไรเลย คุณตาเภรีเล่า สำหรับบั้นปลาย แกเตรียมรับความตาย ที่จะมาเยือนเมื่อไร ไม่อาจกะเกณฑ์ แต่แกไม่กลัวตาย เพราะผ่านจุดนั้นมาแล้วตั้งแต่รบกับญี่ปุ่น คราวนั้น
ที่มา :
www.focuspaktai.com
บริษัท พีรพัฒน์ เคมี อุตสาหกรรม จำกัด Laemthong Hotel Hadyai
Search Now:
In Association with Amazon.com
 Use OpenOffice.org
Counter

June 28, 2008