ผมมีบันทึกของ คุณอนันต์ คนานุรักษ์ เรื่อง"๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นบุกปัตตานี" มานำเสนอ
ท่านเล่าเหตุการณ์ในเมืองไว้ละเอียดดี ขออนุญาตคัดลอกมาเพียงบางตอนนะครับ
เมืองปัตตานี เดือนธันวาคมเดือนนี้เป็นหน้ามรสุม น้ำในแม่น้ำมากเสมอตลิ่ง ถนนหนทางมีโคลนตมเป็นบางแห่ง
รุ่งเช้าของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในช่วงเวลาประมาณ ๔.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางด้านที่ตั้งของจังหวัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำปัตตานี มีทั้งเสียงปืนเล็ก ปืนกล ปืนใหญ่เบา ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะเป็นการซ้อมรบของทหารบ่อทอง ร. พัน ๔๒
แต่แล้วมีคนมาร้องเรียกที่หน้าประตูบ้าน บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว ภรรยาท่านข้าหลวงและภรรยานายอำเภออพยพมาอยู่ที่บ้านขุนธำรงฯ* แล้ว" ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง (* ขุนธำรงพันธุ์ภักดี พี่ชายของภรรยาข้าพเจ้า)
อีกเพียงชั่วครู่ พวกเด็กผู้หญิงอีก ๔ คนก็มาเรียกที่หน้าประตูอีก บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว" ข้าพเจ้าสอบถามเพิ่มเติมได้ความชัดเจนก็พอจะเชื่อถือได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่แท้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ นึกแต่ว่า ทหารคงจะไม่ทำอันตรายราษฎร ข้าพเจ้าจึงรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน
ครั้นพอเวลารุ่งสาง ข้าพเจ้าออกมายืนรอดูอยู่หน้าบ้าน ได้มีคนวิ่งผ่านมาและบอกว่า "มันขึ้นมาทางนี้แล้ว ไปช่วยกันเร็ว" ข้าพเจ้าจึงได้บอกให้เขารีบไปแจ้งขอกำลังตำรวจมาช่วยสมทบ และอีกเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวพวกราษฎรชาวปัตตานีต่างก็พากันวิ่งถือปืนออกไปทำการต่อสู้ต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นกัน แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าใครบ้าง
ข้าพเจ้าจึงรีบเข้าไปเอาพระเครื่องราง ลูกกระสุนปืนแฝด และลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ออกมาแจกจ่ายไปให้หลายคน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง
จากนั้นก็ให้คนเฝ้าประตูบ้านคอยดูแลต้อนรับพวกผู้หญิงและเด็กที่กำลังตื่นตระหนกตกใจวิ่งหนีกันเป็นที่สับสนวุ่นวายไม่รู้จะไปที่แห่งหนใด ให้เข้าไปหลบอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าก่อนเพื่อความปลอดภัย ทั้งหมดมีประมาณ ๖๐ คน และสั่งให้จัดแจงหุงหาอาหารมาดูแลกัน
ต่อมาก็เห็นนายมานิตย์ (เค่งฮ่วน) วัฒนานิกร เดินถือปืนมาที่หน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็แนะนำให้เขารีบไปสมทบที่กองตำรวจ
แล้วข้าพเจ้าก็รีบวิ่งขึ้นไปเรือนชั้นบนเพื่อตรวจดูทางหน้าต่าง ก็เห็นพวกเรายึดแนวตั้งยิงอยู่ริมทางหลังโรงฆ่าวัว ข้าพเจ้าจึงออกไปทางหลังบ้าน รีบวิ่งหลบหลีกวิถีกระสุนเข้าไปหาพรรคพวกและแจกลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ให้ พร้อมกับกล่าวเตือนสติปลุกใจ แล้วกลับเข้าบ้านมาออกตรวจดูทางหน้าบ้านและพูดให้สติแก่ผู้อพยพให้อยู่ในความสงบอย่าตื่นตกใจ
อยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง ความข้องใจก็มีขึ้นอีกข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกทางหลังบ้าน ครั้นพอโผล่หน้าออกประตูไป ก็เห็นมีผู้โบกมือห้ามไม่ให้ออกไป ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งเข้ายึดต้นมะพร้าวเพื่อใช้เป็นที่กำบัง แล้วจึงกวักมือเรียกให้เขามาหา เขาจึงลัดเลาะคลานบ้างวิ่งบ้างเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วบอกว่า เขายิงทหารญี่ปุ่นซึ่งเดินหลงมา ๑ คน ไป ๒ นัด แต่ไม่ถูก ทหารญี่ปุ่นคนนั้นวิ่งหนีหายไป ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้เขารีบตามไปดูทางบ้านนายโอ๊ะ
ส่วนข้าพเจ้าก็รีบวิ่งเข้าไปหาพรรคพวกทางด้านต้านทานปีกซ้าย แนะนำให้ประหยัดลูกกระสุน อย่ายิงโดยไร้ประโยชน์ เพราะลูกกระสุนเรามีน้อย และได้พูดปลุกปลอบใจให้ฮึกเหิมอีกครั้งก่อนกลับเข้าบ้านมา
ในระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็ได้คอยดูเวลาและวิ่งไปมาระหว่างหน้าบ้าน หลังบ้าน และบนเรือน เพื่อตรวจดูเหตุการณ์ข้างนอกและดูแลความเป็นอยู่ของบรรดาผู้ที่อพยพเข้ามาหลบอยู่ภายในบ้าน และให้คนใช้และคนที่เป็นผู้ชายซึ่งหลบภัยเข้ามาอาศัยด้วยได้ช่วยกันระดมขุดหลุมหลบภัยทางอากาศไว้กลางบ้านด้านหลัง ๑ หลุม ขนาดจุคนได้ประมาณ ๕๐ กว่าคน ซึ่งหลุมนั้นได้ขุดเสร็จตามประสงค์ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้สั่งให้ทลายกำแพงเปิดเป็นประตูตลอดกันกับบ้านขุนพจน์สารบาญ ผู้เป็นอาและบ้านนางเป้าเลี่ยง วัฒนายากร แม่ยายของข้าพเจ้า เพื่อให้เดินไปมาหากันได้จากภายในบ้าน
เมื่อข้าพเจ้าออกตรวจดูทางหน้าบ้านอีกครั้ง พบหมอเสถียร ตู้จินดา ได้วิ่งมาและแจ้งว่า ได้รับโทรเลขจากทางกรุงเทพฯ สั่งให้ระงับการต้านทานพวกทหารญี่ปุ่น เมื่อได้ทราบความดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกไปทางหลังบ้านเพื่อเข้าไปที่แนวต้านทานทางปีกซ้ายอีกเป็นคำรบที่ ๓ ข้าพเจ้าได้เรียกนายเกษม ทรัพย์เกษมและยกมือส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาหาข้าพเจ้า ๑ คน แต่พวกเขากลับพากันคลานคืบเข้ามาหาตั้ง ๕-๖ คน ข้าพเจ้าจึงส่งสัญญาณใหม่โดยยกนิ้วให้ ๑ นิ้วเพื่อให้เข้ามาหาเพียง ๑ คนและให้ที่เหลือตั้งมั่นรักษาแนวไว้เช่นเดิม แต่ในที่สุดแล้วก็เข้ามากัน ๒ คน
ข้าพเจ้าจึงบอกให้พวกเราระงับการยิงต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นไว้ แต่ให้ตั้งอยู่ในที่มั่นเช่นเดิมและคุมเชิงไว้โดยไม่ยิง โดยแจ้งข่าวที่รับมาจากหมอเสถียร และให้เขาแจ้งต่อๆ กันไปในตลอดแนวของพวกเราถึงแนวของตำรวจ และย้ำว่าอย่าเพิ่งถอย ให้รอจนกว่าเจ้าหน้าที่เขาจะมาแจ้งเองอีกครั้ง พวกนั้นจึงได้คลานกลับเข้ายึดแนวที่มั่นเดิมไว้อีกและส่งข่าวต่อๆ กันไป
ข้าพเจ้าจึงรีบกลับเข้าบ้านและแจ้งข่าวให้ผู้อพยพทั้งหมดทราบเพื่อให้คลายความหวั่นวิตก แล้วก็ออกมาทางหน้าบ้านอีก มีใครจำไม่ได้ อาจเป็นนายสำราญ พร้อมกับนายอำเภอเมืองและหมอแอสโมรี (...ซึ่งเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มาเปิดคลินิกรักษาในเมืองปัตตานี แต่ครั้นญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามก็แสดงตัวเป็นนายทหารยศพันตรีแห่งกองทัพญี่ปุ่น...) ได้นำธงห้ามการยิงกันทั้ง ๒ ฝ่ายมาด้วย โดยนำธงญี่ปุ่นแจ้งให้ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้
เมื่อทั้งหมดได้ทำความเข้าใจกันดีแล้ว ทหารญี่ปุ่น ตำรวจไทย และชาวปัตตานีต่างก็เข้าร่วมชุมนุมกันที่บริเวณสามแยกถนนนาเกลือกับถนนอาเนาะรู ตรงหน้าวัดนิกรชนาราม (วัดหัวตลาด) ข้าพเจ้าได้พูดคุยกันกับนายทหารญี่ปุ่นเป็นภาษาใบ้ซึ่งก็พอจะเข้าใจกันอยู่บ้าง
ผลจากการปะทะกันที่แนวต้านทานนี้ปรากฏว่า ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต ๓ นาย ฝ่ายเราไม่มีการเสียชีวิตเลย มีเพียงนายมานิตย์ วัฒนานิกร ถูกยิงที่ไหล่กระสุนทะลุออก แต่นับว่าโชคดีเพราะกระสุนไม่โดนกระดูกแต่อย่างใด
ในระหว่างที่ชุมนุมกันอยู่นั้นก็มีเสียงเครื่องบินดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา แลเห็นฝูงเครื่องบินรบบินเข้าแถวสลับฟันปลาแปรขบวนมุ่งออกไปทางทะเล ข้าพเจ้าทราบจากนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งว่าเป็นเครื่องบินของพวกเขาทั้งนั้น ข้าพเจ้าพอจะนับคะเนได้จำนวน ๔๐-๕๐ ลำ แต่เขาเพียงบินลาดตระเวณเฉยๆ ไม่ได้ทำลายชีวิตและทรัพย์สินอะไรของฝ่ายเราเลย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฝ่ายตำรวจไทยก็ได้ถอนกำลังทั้งหมดประมาณ ๑๒ นายกลับสถานีไป โดยมีนายร้อยเอกชายเป็นหัวหน้าชุดควบคุม ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นธุระของข้าพเจ้าช่วยจัดการทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่พวกทหารญี่ปุ่นในทุกทาง เช่นจัดหารถยนต์ให้เขาเพื่อบรรทุกทหารและศพทหารทั้ง ๓ นาย กลับไปพักหน้าจังหวัด ซึ่งในการนี้ก็ค่อนข้างขลุกขลักอยู่เป็นอันมาก
เมื่อเสร็จทางธุระเรื่องของทหารญี่ปุ่นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้รีบเดินทางไปที่หน้าสถานีตำรวจ แต่ก็ไม่พบกับท่านข้าหลวง (น.อ. หลวงสุนาวินวิวัฒน์, ร.น.) ซึ่งท่านได้เดินทางไปจังหวัดยะลา พร้อมกับนายมาโนช วัฒนานิกร (พี่ชายนายมานิตย์) และนายทหารญี่ปุ่น เพื่อเบิกทางและทำความเข้าใจกับกองต้านทานของจังหวัดยะลา ให้ระงับการต้านทานตามนโยบายรัฐบาล
| ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 12:10:31 วันอังคารที่ 23 ม.ค.50
|
|