Battle of Haadyai

๘ ธันวาคม (ภาค ๔)
จาก ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ส่งเวลา 05:55:58  วันพุธที่ 17 ม.ค.50
ต่อเรื่องญี่ปุ่นบุกสงขลานะครับ
ต่อจาก "๘ ธันวาคม (ภาค ๓)" ดังที่ผมได้เรียนให้ทราบแล้วว่าสงขลาเป็นพื้นที่หลัก ที่ญี่ปุ่นจะยกเข้ามลายู
ซึ่งจุดนี้ "เสือร้ายแห่งมลายา" นายพล Yamashita คุมมาเอง

กองเรือญี่ปุ่น มาถึงสงขลา ก่อนตีสองเล็กน้อย จอดเรือใกล้เกาะหนูเกาะแมว
ชาวประมงเห็นผิดสังเกต จึงรีบไปแจ้งหลวงอรรถโกวิทวที อัยการจังหวัด ซึ่งท่านได้รีบโทรศัพท์ แจ้งท่านข้าหลวง
ท่านก็ได้แจ้งต่อไปยัง พ.ท. หลวงประหารศึก (สรอย นีละพันธ์) ผบ. จทบ. สงขลา กำลังของฝ่ายเราที่สงขลา
มีเพียง ร. พัน ๔๑ และ ป. พัน ๑๓ แถม ผบ. ร. พัน ๔๑ ป่วยเสียอีก และไม่สามารถติดต่อ ร. พัน ๔๒(ปัตตานี)
และ ร.พัน ๕ (ค่ายคอหงษ์ หาดใหญ่) แนวที่ ๕ ของญี่ปุ่น ตัดสายโทรศัพท์ตั้งแต่เริ่มระบายพลแล้ว

กำลังส่วนแรกของ ร. พัน ๔๑ เริ่มปะทะข้าศึกเมื่อเวลาประมาณตีสี่ บริเวณบ้านสำโรง วางแนวถึงเขาลูกช้าง

ดูแผนที่นะครับ


ผมไม่แน่ใจว่าคนสงขลาเรียก "เขาลูกช้าง" หรือ "เขารูปช้าง" นะครับ
แต่เอาเป็นว่าแนวตั้งรับของเราอยู่ประมาณนั้น

ป.พัน ๑๓ เข้าที่ตั้งยิงที่สวนตูลเรียบร้อยประมาณ หกโมงเช้า
แสดงว่า กำลังของ ร.พัน ๔๑ เข้าปะทะโดยไม่มีปืนใหญ่สนับสนุนอยู่สองชั่วโมงกว่า
(ความจริงก็สนับสนุนไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ามืด ตรวจการณ์กระสุนตกไม่ได้)

ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตั้งแต่สมิหรา ยันเก้าเส้ง ลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทธภัณฑ์กันจ้าละหวั่น
กำลังส่วนหน้าของญี่ปุ่นยึดมาถึงบ้านสำโรง ปะทะกับ ร.พัน ๔๑ ดังที่กล่าวแล้ว
ญี่ปุ่นพยายามเจาะแนวเพื่อเปิดทางไปหาดใหญ่ให้ได้ โดยส่งกำลังส่วนหนึ่ง เล็ดรอดเข้าไปยึดแนวบ้านน้ำน้อย
หลังแนว ของ ร. พัน ๔๑ ไว้ เพื่อต้านทาน ร. พัน ๕ มิให้ยกมาช่วย ร. พัน ๔๑(ดูภาพเล็ก)

ฟ้าสาง ญี่ปุ่นส่งทั้งเครื่องบินและปืนเรือ เข้ามาช่วยถล่ม ปืนใหญ่ญี่ปุ่นเข้าที่ตั้งยิงปลายสนามบิน
กำลังของญี่ปุ่นขึ้นที่สงขลานั้นเหลือคณานับ เกินกว่าที่หนึ่งกองพันทหารราบและหนึ่งกองพันทหารปืนใหญ่เราจะรับไว้ได้
ญี่ปุ่นทุ่มกำลังทหารราบบีบเข้ามาเกือบจะเป็นครึ่งวงกลม ร.พัน ๔๑ รบสุดใจขาดดิ้น
จนกระทั่งมีคำสั่งให้หยุดรบเมื่อ ๑๑.๓๕ น.

ตอนนี้ดูภาพก่อนนะครับ เดี๋ยวมาคุยเรื่อง ร.พัน ๕ รบที่บ้านน้ำน้อย

ภาพนี้เป็นตัวเมืองสงขลาสมัยนั้น ถ่ายจากเขาเก้าเส้ง



อีกภาพเป็นการระบายพลจากเรือของญี่ปุ่น

ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 07:04:23  วันพุธที่ 17 ม.ค.50

อีกภาพที่ญี่ปุ่นบอกว่าเป็นการบุกสงขลา แต่ผมไม่มั่นใจ
น่าจะเป็นที่ท่าแพ นครศรีธรรมราช มากกว่า

ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 07:11:16  วันพุธที่ 17 ม.ค.50

Test ..
นาง สราญรัตน์ รัตนนัยนานนท์, punfun_67@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 14:52:23  วันพฤหัสบดีที่ 18 ม.ค.50

ต่อเรื่องวีรกรรมของ ร.พัน ๕ นะครับ

ร.พัน ๕ ได้รับข่าวเพียงว่าญี่ปุ่นบุก หลังจากนั้นสายโทรศัพท์ก็ถูกตัด
ไม่มีข้อมูลว่า ร.พัน ๔๑ ตั้งรับที่จุดไหนอย่างไร?
ญี่ปุ่นเล็ดรอดอ้อมแนวต้านทานของ ร.พัน ๔๑ แล้วเคลื่อนที่เข้ามาตามถนนสายสงขลา-หาดใหญ่

ตรงนี้มีข้อมูลที่เป็นข้อกังขาว่า รถบรรทุกทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นมาจากไหน?

พ.ท. หลวงแถวเถกิงพล(แถว ทองเนียม) ผบ.ร.พัน ๕ ตัดสินใจตั้งรับในพื้นที่หาดใหญ่
ร.พัน ๕ วางแนวกำลังหลักที่ช่องเขาน้ำน้อย กำลังส่วนหน้าอยู่ที่ควนแม่เตย ห่างประมาณ ๒ กม.
(ดูแผนที่ในกรอบเล็กนะครับ)

ประมาณตีสาม กำลังส่วนหน้าปะทะทหารญี่ปุ่น ยิงกันทั้งมืดๆ
กำลังส่วนหน้านั้นไม่ใช่กำลังหลัก ปะทะได้ครู่เดียวก็ต้องถอนตัว ญี่ปุ่หนุนเนื่องเข้ามาเรื่อยๆ

กำลังส่วนหน้าถอนตัวมารวมกับกำลังหลัก ญี่ปุ่นรุกตามเข้ามา
การรบที่ช่องเขาน้ำน้อย ญี่ปุ่นเสียเปรียบ กำลังหนุนของญี่ปุ่นถูก ร.พัน ๔๑ ยันไว้ที่แนวคลองสำโรง

ร.พัน ๕ อาศัยภูมิประเทศที่ได้เปรียบ ยันญี่ปุ่นสุดความสามารถ ข้าศึกตายเกลื่อน
ญี่ปุ่นยกธงขาวขอเจรจา ไทยนึกว่าญี่ปุ่นเล่นมุข ไม่ยอมหยุดยิง
สรุปว่า ร.พัน ๕ ค่ายคอหงษ์ ยันญี่ปุ่นไว้ได้ จนกระทั่งได้รับคำสั่งหยุดยิงตอนเกือบเที่ยง

การรบที่สงขลาและหาดใหญ่ ฝ่ายเราเสียชีวิต ๘ นาย
ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 23:10:18  วันพฤหัสบดีที่ 18 ม.ค.50

ภาพตัวเมืองหาดใหญ่ ก่อนสงคราม


ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 00:27:49  วันศุกร์ที่ 19 ม.ค.50

วันนี้ขอต่อเรื่องวีรกรรมของ ร. พัน ๔๒ ก่อนนะครับ จะได้จบภาคใต้ไปเลย
แล้วจะได้ต่อเรื่องบางปู ที่ลุงต้อยขอมา

เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ นั้น ร.พัน ๔๒ เพิ่งจะตั้งมาได้เพียงปีกว่า อัตรายังไม่ครบดี มี พ.ต.หลวงอิงคยุทธบริหาร(ทองสุก อิงคะกุล)เป็น ผบ.พัน

ดูภาพของหลวงอิงคยุทธบริหาร "พ่อขุนอิงค์"ของชาวค่าย นะครับ

ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 22:13:23  วันจันทร์ที่ 22 ม.ค.50

กำลังของญี่ปุ่นที่ขึ้นปัตตานี ประกอบด้วยหนึ่งกองพลทหารราบ
และสองกรม นย. เพิ่มเติมกำลัง(ส่วนนี้เอกสารญี่ปุ่นว่าเป็นกองพลน้อย : Brigade)

ในส่วนของกองพลทหารราบนั้น มุ่งลงใต้เพื่อเข้าตีสิงคโปร์
ส่วนกองพลน้อย นย. นั้นเพื่อยึดครองพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง จนถึงบริติชมลายา

ญี่ปุ่นขึ้นบกที่บริเวณปากน้ำปัตตานีเป็นจุดแรก มุ่งยึดตัวเมือง และสถานที่ราชการ
กำลังส่วนที่สอง ซึ่งเป็นกำลังส่วนใหญ่ขึ้นที่ชายหาดรูสะมิแล บางส่วนของกำลังส่วนนี้ เคลื่อนที่เข้าปะทะกับ ร.พัน ๔๒
กำลังส่วนที่สาม ขึ้นบกที่หาดบางตาวา จะด้วยความจำเป็นที่ต้องใช้พื้นที่หาดกว้าง
หรือญี่ปุ่นรู้ว่าต้องปิดล้อม ร.พัน ๔๒ ไม่ให้เคลื่อนที่เข้ามาในตัวเมือง

ดูแผนที่นะครับ

ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 00:46:07  วันอังคารที่ 23 ม.ค.50

สารวัตรกำนัน ต. รูสะมิแล เห็นสิ่งผิดปกติในทะเล เมื่อเวลาประมาณตีสอง จึงรีบไปแจ้งให้ปลัดจังหวัดทราบ
จากนั้น นอ. หลวงสุนาวินวิวัฒน์ รน. ข้าหลวงจังหวัด ได้สั่งให้ระดมพลเข้าต่อสู้
กำลังของ จว.ปัตตานี ประกอบด้วยตำรวจ ยุวชนทหาร จากหน่วยยุวชนฯที่ ๖๖ และประชาชน
ร.ต.ต. ประดิษฐ์ ศรสุชาติ เดินทางฝ่าแนวไปแจ้งขอกำลังจาก ร.พัน ๔๒ แต่ปรากฏว่า ร.ต.ต. ประดิษฐ์ ถูกญี่ปุ่นยิงเสียชีวิต

ร. พัน ๔๒ ทราบข่าวศึกเมื่อเวลาประมาณตีสาม กำลังที่พร้อมที่สุดคือหมวดรักษาการณ์ มีรถบรรทุกติดปืนกลหนัก ๑ คัน
ขุนอิงค ฯ ผบ.พัน ท่านจึงออกคำสั่งให้หมวดรักษาการณ์นี้ เป็นกำลังส่วนหน้า เคลื่อนที่ไปก่อน

ร. พัน ๔๒ อยู่ห่างจากตัวจังหวัด ๑๖ กม.

เมื่อรวมพลเรียบร้อยแล้ว ผบ.พันท่านจึงสั่งให้ ร้อย ๒ ซึ่งเป็นร้อย ปก.เบา เคลื่อนที่ตามไป
ร.ต. ลิบ วีรวัฒน์ ผบ.ร้อย ๒ ออกคำสั่งหน้าแถวทหาร
"จากกิโล ๑๖ ถึงกิโล ๐ พบข้าศึกตรงไหน ให้หยุดมันไว้ที่นั่น ให้มันถอย ไม่ใช่เราถอย"

และคำสั่งสุดท้ายหน้าแถวทหาร ของ"พ่อขุนอิงค์ ฯ" ก็ดังแทรกขึ้นมา
"ไป ลิบ ไป"

ขณะนั้นฝนตกพรำ หนทางเป็นหลุมเป็นบ่อ
รถบรรทุกกำลังส่วนหน้า ปะทะเข้ากับกำลังของญี่ปุ่น ตั้งแต่ยังไม่ออกถนนใหญ่ ขณะนั้นประมาณ ๔.๐๐ น.
ปะทะกันได้ไม่นาน ญี่ปุ่นซึ่งยึดพื้นที่ได้ก่อน ครองความได้เปรียบ
รถบรรทุกปืนกลหนักฝ่ายเรา ถูกยิงไฟไหม้ทั้งคัน พลประจำรถตายหมดทั้งหกนาย

กำลังของ ร้อย ๒ เคลื่อนที่ตามมาใกล้จะถึงจุดปะทะ รถลากปืนใหญ่เกิดติดหล่ม ขบวนหยุดอยู่ตรงนั้น

ผบ.พัน นั่งรถเก๋งตามมา ขณะนั้นมือสนิท พลประจำรถจึงหักหลบระยะกระชั้นชิด
เป็นเหตุให้รถคว่ำ ขุนอิงค์ ฯ บาดเจ็บที่ศรีษะ แต่ยังออกจากรถมาบัญชาการรบต่อ

ร.พัน ๔๒ ถูกยันไว้ตั้งแต่ออกจากประตูบ้าน

ขุนอิงค์ ฯ ท่านบัญชาการรบทั้งที่บาดเจ็บ ถูกกระสุนจากข้าศึกเข้าอีกหลายนัด
เสนารักษ์ นำตัวท่านออกจากแนว ไปรักษายังสุขศาลา
"พ่อขุนอิงค์ฯ" ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจไปก่อนที่เสียงปืนจะสงบลง

แนวของ ร.พัน ๔๒ ยังคงถูกญี่ปุ่นยันไว้จนกระทั่งมีคำสั่งให้หยุดยิงเมื่อประมาณ ๑๑.๐๐ น.

ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 01:19:49  วันอังคารที่ 23 ม.ค.50

ผมมีบันทึกของ คุณอนันต์ คนานุรักษ์ เรื่อง"๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นบุกปัตตานี" มานำเสนอ
ท่านเล่าเหตุการณ์ในเมืองไว้ละเอียดดี ขออนุญาตคัดลอกมาเพียงบางตอนนะครับ

เมืองปัตตานี เดือนธันวาคมเดือนนี้เป็นหน้ามรสุม น้ำในแม่น้ำมากเสมอตลิ่ง ถนนหนทางมีโคลนตมเป็นบางแห่ง

รุ่งเช้าของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในช่วงเวลาประมาณ ๔.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางด้านที่ตั้งของจังหวัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำปัตตานี มีทั้งเสียงปืนเล็ก ปืนกล ปืนใหญ่เบา ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะเป็นการซ้อมรบของทหารบ่อทอง ร. พัน ๔๒

แต่แล้วมีคนมาร้องเรียกที่หน้าประตูบ้าน บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว ภรรยาท่านข้าหลวงและภรรยานายอำเภออพยพมาอยู่ที่บ้านขุนธำรงฯ* แล้ว" ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง (* ขุนธำรงพันธุ์ภักดี พี่ชายของภรรยาข้าพเจ้า)

อีกเพียงชั่วครู่ พวกเด็กผู้หญิงอีก ๔ คนก็มาเรียกที่หน้าประตูอีก บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว" ข้าพเจ้าสอบถามเพิ่มเติมได้ความชัดเจนก็พอจะเชื่อถือได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่แท้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ นึกแต่ว่า ทหารคงจะไม่ทำอันตรายราษฎร ข้าพเจ้าจึงรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน

ครั้นพอเวลารุ่งสาง ข้าพเจ้าออกมายืนรอดูอยู่หน้าบ้าน ได้มีคนวิ่งผ่านมาและบอกว่า "มันขึ้นมาทางนี้แล้ว ไปช่วยกันเร็ว" ข้าพเจ้าจึงได้บอกให้เขารีบไปแจ้งขอกำลังตำรวจมาช่วยสมทบ และอีกเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวพวกราษฎรชาวปัตตานีต่างก็พากันวิ่งถือปืนออกไปทำการต่อสู้ต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นกัน แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าใครบ้าง

ข้าพเจ้าจึงรีบเข้าไปเอาพระเครื่องราง ลูกกระสุนปืนแฝด และลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ออกมาแจกจ่ายไปให้หลายคน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง

จากนั้นก็ให้คนเฝ้าประตูบ้านคอยดูแลต้อนรับพวกผู้หญิงและเด็กที่กำลังตื่นตระหนกตกใจวิ่งหนีกันเป็นที่สับสนวุ่นวายไม่รู้จะไปที่แห่งหนใด ให้เข้าไปหลบอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าก่อนเพื่อความปลอดภัย ทั้งหมดมีประมาณ ๖๐ คน และสั่งให้จัดแจงหุงหาอาหารมาดูแลกัน

ต่อมาก็เห็นนายมานิตย์ (เค่งฮ่วน) วัฒนานิกร เดินถือปืนมาที่หน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็แนะนำให้เขารีบไปสมทบที่กองตำรวจ

แล้วข้าพเจ้าก็รีบวิ่งขึ้นไปเรือนชั้นบนเพื่อตรวจดูทางหน้าต่าง ก็เห็นพวกเรายึดแนวตั้งยิงอยู่ริมทางหลังโรงฆ่าวัว ข้าพเจ้าจึงออกไปทางหลังบ้าน รีบวิ่งหลบหลีกวิถีกระสุนเข้าไปหาพรรคพวกและแจกลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ให้ พร้อมกับกล่าวเตือนสติปลุกใจ แล้วกลับเข้าบ้านมาออกตรวจดูทางหน้าบ้านและพูดให้สติแก่ผู้อพยพให้อยู่ในความสงบอย่าตื่นตกใจ

อยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง ความข้องใจก็มีขึ้นอีกข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกทางหลังบ้าน ครั้นพอโผล่หน้าออกประตูไป ก็เห็นมีผู้โบกมือห้ามไม่ให้ออกไป ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งเข้ายึดต้นมะพร้าวเพื่อใช้เป็นที่กำบัง แล้วจึงกวักมือเรียกให้เขามาหา เขาจึงลัดเลาะคลานบ้างวิ่งบ้างเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วบอกว่า เขายิงทหารญี่ปุ่นซึ่งเดินหลงมา ๑ คน ไป ๒ นัด แต่ไม่ถูก ทหารญี่ปุ่นคนนั้นวิ่งหนีหายไป ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้เขารีบตามไปดูทางบ้านนายโอ๊ะ

ส่วนข้าพเจ้าก็รีบวิ่งเข้าไปหาพรรคพวกทางด้านต้านทานปีกซ้าย แนะนำให้ประหยัดลูกกระสุน อย่ายิงโดยไร้ประโยชน์ เพราะลูกกระสุนเรามีน้อย และได้พูดปลุกปลอบใจให้ฮึกเหิมอีกครั้งก่อนกลับเข้าบ้านมา

ในระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็ได้คอยดูเวลาและวิ่งไปมาระหว่างหน้าบ้าน หลังบ้าน และบนเรือน เพื่อตรวจดูเหตุการณ์ข้างนอกและดูแลความเป็นอยู่ของบรรดาผู้ที่อพยพเข้ามาหลบอยู่ภายในบ้าน และให้คนใช้และคนที่เป็นผู้ชายซึ่งหลบภัยเข้ามาอาศัยด้วยได้ช่วยกันระดมขุดหลุมหลบภัยทางอากาศไว้กลางบ้านด้านหลัง ๑ หลุม ขนาดจุคนได้ประมาณ ๕๐ กว่าคน ซึ่งหลุมนั้นได้ขุดเสร็จตามประสงค์ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้สั่งให้ทลายกำแพงเปิดเป็นประตูตลอดกันกับบ้านขุนพจน์สารบาญ ผู้เป็นอาและบ้านนางเป้าเลี่ยง วัฒนายากร แม่ยายของข้าพเจ้า เพื่อให้เดินไปมาหากันได้จากภายในบ้าน

เมื่อข้าพเจ้าออกตรวจดูทางหน้าบ้านอีกครั้ง พบหมอเสถียร ตู้จินดา ได้วิ่งมาและแจ้งว่า ได้รับโทรเลขจากทางกรุงเทพฯ สั่งให้ระงับการต้านทานพวกทหารญี่ปุ่น เมื่อได้ทราบความดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกไปทางหลังบ้านเพื่อเข้าไปที่แนวต้านทานทางปีกซ้ายอีกเป็นคำรบที่ ๓ ข้าพเจ้าได้เรียกนายเกษม ทรัพย์เกษมและยกมือส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาหาข้าพเจ้า ๑ คน แต่พวกเขากลับพากันคลานคืบเข้ามาหาตั้ง ๕-๖ คน ข้าพเจ้าจึงส่งสัญญาณใหม่โดยยกนิ้วให้ ๑ นิ้วเพื่อให้เข้ามาหาเพียง ๑ คนและให้ที่เหลือตั้งมั่นรักษาแนวไว้เช่นเดิม แต่ในที่สุดแล้วก็เข้ามากัน ๒ คน

ข้าพเจ้าจึงบอกให้พวกเราระงับการยิงต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นไว้ แต่ให้ตั้งอยู่ในที่มั่นเช่นเดิมและคุมเชิงไว้โดยไม่ยิง โดยแจ้งข่าวที่รับมาจากหมอเสถียร และให้เขาแจ้งต่อๆ กันไปในตลอดแนวของพวกเราถึงแนวของตำรวจ และย้ำว่าอย่าเพิ่งถอย ให้รอจนกว่าเจ้าหน้าที่เขาจะมาแจ้งเองอีกครั้ง พวกนั้นจึงได้คลานกลับเข้ายึดแนวที่มั่นเดิมไว้อีกและส่งข่าวต่อๆ กันไป

ข้าพเจ้าจึงรีบกลับเข้าบ้านและแจ้งข่าวให้ผู้อพยพทั้งหมดทราบเพื่อให้คลายความหวั่นวิตก แล้วก็ออกมาทางหน้าบ้านอีก มีใครจำไม่ได้ อาจเป็นนายสำราญ พร้อมกับนายอำเภอเมืองและหมอแอสโมรี (...ซึ่งเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มาเปิดคลินิกรักษาในเมืองปัตตานี แต่ครั้นญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามก็แสดงตัวเป็นนายทหารยศพันตรีแห่งกองทัพญี่ปุ่น...) ได้นำธงห้ามการยิงกันทั้ง ๒ ฝ่ายมาด้วย โดยนำธงญี่ปุ่นแจ้งให้ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้

เมื่อทั้งหมดได้ทำความเข้าใจกันดีแล้ว ทหารญี่ปุ่น ตำรวจไทย และชาวปัตตานีต่างก็เข้าร่วมชุมนุมกันที่บริเวณสามแยกถนนนาเกลือกับถนนอาเนาะรู ตรงหน้าวัดนิกรชนาราม (วัดหัวตลาด) ข้าพเจ้าได้พูดคุยกันกับนายทหารญี่ปุ่นเป็นภาษาใบ้ซึ่งก็พอจะเข้าใจกันอยู่บ้าง

ผลจากการปะทะกันที่แนวต้านทานนี้ปรากฏว่า ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต ๓ นาย ฝ่ายเราไม่มีการเสียชีวิตเลย มีเพียงนายมานิตย์ วัฒนานิกร ถูกยิงที่ไหล่กระสุนทะลุออก แต่นับว่าโชคดีเพราะกระสุนไม่โดนกระดูกแต่อย่างใด

ในระหว่างที่ชุมนุมกันอยู่นั้นก็มีเสียงเครื่องบินดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา แลเห็นฝูงเครื่องบินรบบินเข้าแถวสลับฟันปลาแปรขบวนมุ่งออกไปทางทะเล ข้าพเจ้าทราบจากนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งว่าเป็นเครื่องบินของพวกเขาทั้งนั้น ข้าพเจ้าพอจะนับคะเนได้จำนวน ๔๐-๕๐ ลำ แต่เขาเพียงบินลาดตระเวณเฉยๆ ไม่ได้ทำลายชีวิตและทรัพย์สินอะไรของฝ่ายเราเลย

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฝ่ายตำรวจไทยก็ได้ถอนกำลังทั้งหมดประมาณ ๑๒ นายกลับสถานีไป โดยมีนายร้อยเอกชายเป็นหัวหน้าชุดควบคุม ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นธุระของข้าพเจ้าช่วยจัดการทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่พวกทหารญี่ปุ่นในทุกทาง เช่นจัดหารถยนต์ให้เขาเพื่อบรรทุกทหารและศพทหารทั้ง ๓ นาย กลับไปพักหน้าจังหวัด ซึ่งในการนี้ก็ค่อนข้างขลุกขลักอยู่เป็นอันมาก

เมื่อเสร็จทางธุระเรื่องของทหารญี่ปุ่นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้รีบเดินทางไปที่หน้าสถานีตำรวจ แต่ก็ไม่พบกับท่านข้าหลวง (น.อ. หลวงสุนาวินวิวัฒน์, ร.น.) ซึ่งท่านได้เดินทางไปจังหวัดยะลา พร้อมกับนายมาโนช วัฒนานิกร (พี่ชายนายมานิตย์) และนายทหารญี่ปุ่น เพื่อเบิกทางและทำความเข้าใจกับกองต้านทานของจังหวัดยะลา ให้ระงับการต้านทานตามนโยบายรัฐบาล
ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 12:10:31  วันอังคารที่ 23 ม.ค.50

(ต่อ)

เมื่อไม่พบท่านข้าหลวงข้าพเจ้าจึงเดินกลับบ้าน ก็พอดีมีคนวิ่งมาบอกว่าพบเห็นทหารญี่ปุ่นอีก ๑ กองกำลังเพิ่งจะถึงมาใหม่ ข้าพเจ้าเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดกันและเกิดยิงต่อสู้กันขึ้นอีก จึงรีบไปหาหมอแอสโมรีและบอกให้รีบไปรับรองกองทหารญี่ปุ่นนี้เสีย ขณะออกเดินกันไปได้เพียงเล็กน้อยก็พบกับกองทหารที่กลางตลาด กำลังเดินแถวและคุมตัวนายซุ่ยเฉี้ยงเดินชูมือนำหน้าขบวนมา เมื่อหมอแอสโมรีได้ทำความเข้าใจกันดีแล้วทหารญี่ปุ่นก็ได้ปล่อยตัวนายซุ่ยเฉี้ยงเป็นอิสระ

ต่อมาเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ ข้าพเจ้าได้จัดเตรียมเข้าของเงินทองเพื่อจะฝังดินเอาไว้ ตามที่พรรคพวกเพื่อนฝูงทั้งหลายแนะนำให้อพยพออกจากศูนย์กลางตลาด เพราะเกรงการทิ้งบอมบ์จากฝ่ายอังกฤษ ขณะที่กำลังจัดเก็บเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มจวนจะแล้วเสร็จ ก็พอดีท่านข้าหลวงได้ส่งรถยนต์มาตามตัวข้าพเจ้าให้รีบไปพบ เมื่อไปถึงก็เห็นว่ามีนายพันโทโกบายาจิ แห่งกองทัพญี่ปุ่น นั่งอยู่ด้วยกับท่านข้าหลวงที่จวน กำลังปรึกษาหารือกันถึงเรื่องฉุกเฉินต่างๆ ว่าจะดำเนินการกันอย่างไร และผู้พันโกบายาจิได้ขอให้เราแจ้งแก่ราษฎรอย่าให้อพยพไปไหน ข้าพเจ้าจึงเรียนขออนุญาตท่านข้าหลวงรีบนำรถยนต์นั่งไปเที่ยวป่าวประกาศ บอกราษฎรว่าไม่ต้องตื่นตระหนกอพยพไปไหน เพราะเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว ซึ่งก็ได้ผลดีอยู่มาก แล้วข้าพเจ้าก็กลับไปที่จวนเพื่อเรียนให้ท่านข้าหลวงทราบ

ตลอดช่วงเวลาเช้าที่ผ่านมาของวันนั้น ปรากฏว่าบรรดาข้าราชการและราษฎรที่อาศัยอยู่ฝั่งที่ตั้งจังหวัดได้พากันอพยพข้ามสะพานเดชานุชิต และข้ามเรือมาอยู่ทางฝั่งตลาด และบ้างก็อพยพเลยต่อไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น สายหนึ่งอพยพไปที่ กิเซะ ยามู ตลอดระยะทางจนเข้าเขตอำเภอสายบุรี สายหนึ่งอพยพไปอยู่ที่บาระเหม กุโบโต๊ะอาเหย๊าะ แม่ฮ่อ ปุยุต บ้านลี้มอ ล่าเต๊ะ ยะลา ม่วงหมัง ส่วนอีกสายก็ไปทางท่าดาน ปะกาฆอ การอพยพครั้งนี้มีจำนวนทั้งหมดหลายพันคน ส่วนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้ชายเป็นผู้ดูแลควบคุมไป

การยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นที่จังหวัดปัตตานีเมื่อยามใกล้รุ่งของวันจันทร์ที่ ๘ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ นี้ ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกเป็นหลายทาง ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำ ยกพลขึ้นบกที่ตำบลรูสมิแล ริมฝั่งทะเลตลอดมาจนถึงด่านภาษี ที่บริเวณคอกสัตว์และถนนปากน้ำ วางแนวกันกว้าง ได้เกิดการปะทะยิงต่อสู้กับกองทหาร ร.พัน ๔๒ ส่วนด้านบริเวณที่ใกล้จังหวัดและบ้านพักราชการ มีกองตำรวจ ยุวชนทหาร ข้าราชการ ราษฎร ร่วมมือกันต้านทาน

การต่อสู้ต้านทานกองกำลังทหารญี่ปุ่นด้านจังหวัดนี้ ปรากฏว่ามีข้าราชการ ตำรวจ ยุวชนทหาร ราษฎร เสียชีวิตประมาณ ๒๔ คน เป็นยุวชนทหาร ๕ คน ทหารไทย ร.พัน ๔๒ เสียชีวิตประมาณ ๔๐ คน รวมทั้งผู้บังคับกองพัน พันตรีขุนอิงคยุทธบริหารก็เสียชีวิตไปด้วย ส่วนทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตมากมายถึงร้อยกว่านาย

ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำ ยกพลขึ้นบกที่ริมทะเลตรงข้ามกับด่านภาษี ยกขบวนไปตามถนนนาเกลือ ปะทะการต้านทานของเลือดไทยแท้ๆ ซึ่งมีปืนสั้น ปืนแฝด ปืนเดี่ยว ปืนเมาเซอร์ต่อด้าม แบบเลือดชาวบ้านบางระจัน ปะทะกันอยู่นานประมาณ ๕ นาที ก่อนที่กองกำลังตำรวจประมาณ ๑๐ นายได้เข้าทำการร่วมมือต่อสู้ต้านทานด้วย สามารถต้านทานอยู่นานถึง ๒ ชั่วโมง กว่าที่จะมีคำสั่งจากทางรัฐบาลให้ยุติการยิงต้านทาน

การปะทะกันด้านถนนนาเกลือนี้ ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต ๓ นาย ฝ่ายเรามีเพียงได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ไหล่ ๑ คน ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว

เวลาต่อมาเรือลำเลียงก็บรรทุกทหารแล่นเข้าลำน้ำปัตตานีเป็นขบวนยาวยืด ทหารและสัมภาระ รถทหาร ถูกลำเลียงขึ้นบกอย่างคับคั่ง พวกทหารแนวหน้าก็รีบจับหารถโดยสารยึดไปบรรทุกทหารรีบเร่งผ่านหน้าจังหวัดเลยไปยังจุดหมายปลายทางคือ เบตง

เรือลำเลียงทหารมองดูสุดสายตาซึ่งจอดอยู่ในทะเล ในระหว่างนั้น ท้องทะเลจะดูเต็มไปด้วยเรือรบหลายชนิดและเรือลำเลียงขนส่งทหารขึ้นบก มองดูบนถนนจะแลเห็นรถบรรทุกของทหารขนส่งสรรพวัตถุและเสบียง และขนส่งทหารเรื่อยๆ ไป ตลอดวันและค่ำคืน ทหารก็ทำการขนเข้าของขึ้นจากเรือกันอย่างหนักตลอดวัน ถนนหนทางในเมืองก็เต็มไปด้วยการสัญจรของพวกทหารอย่างหนาแน่น ท่าเรือริมแม่น้ำก็เต็มไปด้วยเรือลำเลียงเทียบตลิ่ง ทหารช่างก็ซ่อมแซมสะพานกันอย่างรีบเพื่อขึ้นของหนัก เช่นตัวรถทุกชนิดถึงรถแทงก์ และรถบดหินทำถนน จะเดินไปทางไหนก็จะต้องหลบหลีกทหารไปทุกหนทุกแห่ง ร้านค้ากลางตลาดก็ปิดหมด

กองทหารญี่ปุ่นก็พักกันอยู่อย่างหนาแน่นทั้งสองฝั่งแม่น้ำปัตตานี ทหารญี่ปุ่นได้เข้าอยู่อาศัยในเกือบทุกบ้านเรือนและสถานที่ราชการ วัตถุสัมภาระทุกชนิดและน้ำมันเชื้อเพลิงก็วางเต็มไปตามริมถนนหน้าจังหวัด ยวดยานของเอกชนก็ถูกเก็บขนไปใช้เพื่อการทหารเกือบหมด ไม่มีเหลืออยู่เลยนอกจากที่ได้มีการเก็บซ่อนไว้อย่างดี

สถานที่ราชการและบ้านเรือนราษฎรที่ทหารญี่ปุ่นเข้ายึดอาศัยอยู่มีมากมาย ดังนี้ บ้านพักแพทย์ ๓ หลัง บ้านพักอัยการ บ้านพักนายอำเภอ ที่ว่าการอำเภอ บ้านพักหลังอำเภอ อาคารในโรงพยาบาล ๓ หลัง

สโมสรข้าราชการ บ้านพักข้าราชการ ๕ หลัง โรงเรียนสตรี โรงเรียนช่างไม้ ๒ หลัง โรงเรียนชายประจำจังหวัด ศาลาในสนาม บ้านแขกแถวโรงไม้เจ๊ะอาลีจำนวนหลายหลัง

ที่ทำการป่าไม้ ที่ทำการสถานีตำรวจพิเศษเก่า ศาลากลางจังหวัดทั้งหมด ศาลจังหวัด ที่ทำงานเทศบาล บ้านขุนอนุกิจ ที่ทำการไปรษณีย์ ร้านแผงลอยเชิงสะพานเดชานุชิต ๓ หลัง ที่โกดังเก็บของหน้าสถานีตำรวจ

บางส่วนในวัดตานีนรสโมสร บ้านหวันอับดุลเล๊าะ บ้าน ๓ ชั้นของนายเคี่ยนไถ่ บ้านนายเต็กเฮี้ยน บ้านนายสมเกียรติ เวียงอุโฆษ บ้านแถวหน้าบ้านเอ๊กเซ่ง ๘ ห้อง บ้านนายมาโนช วัฒนานิกร ๒ ห้อง ห้องเช่าของขุนพิทักษ์รายาเลยโรงน้ำแข็งมาโนช ๕ ห้อง

บ้านเช่านายโป้โฮ้ง ที่โรงเรียนจีนเก่า บ้านฮะยีสุหรงหลังใหญ่ ตลาดเทศวิวัฒน์ ตลาดตรงข้าม เรือนแถวข้างบ้านหมอกลิ่น (หมอแผนโบราณ) บริษัทจังหวัด

เข้าของต่างๆ เก็บไว้ในที่ไม่จุ ต้องเก็บวางไว้ตามริมถนนเกลื่อนไปทุกแห่ง จำนวนทหารญี่ปุ่นทั้งสิ้นประมาณ ๕ หมื่นนาย

หลังจากการยกพลขึ้นบกได้ราว ๓ วัน ก็มีรถทหารวิ่งมามากมายนับจำนวนหลายร้อยคันดูเป็นแถวยาวยืดตามริมถนน เป็นรถบรรทุกทั้งสิ้น การขนส่งทหารและสัมภาระต่างๆ ได้ทยอยบรรทุกไปกันเรื่อยๆ ทุกวันมิขาดสาย ทางทะเลก็ขนขึ้นกับเรือยนต์บรรทุกของเรา เสียงเครื่องจักรดังตลอดเวลา รุ่งเช้าเข้าของก็เต็มไปทุกหนทุกแห่ง กลางวันก็มีเสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกและเครื่องบิน บินกำกับควบคุมกันตลอดเวลา

ข้าพเจ้าและครอบครัว แม้จะได้จัดเตรียมเข้าของเงินทองรูปพรรณบรรจุปี๊บฝังไว้ที่หลังบ้านแม่ยายของข้าพเจ้า โดยมีนายเกียดและนายหกเคียดเป็นผู้ขุดหลุมฝัง และจัดเตรียมเครื่องนุ่งห่มบรรจุหีบพอควรที่จะขนเอาไปได้ ส่วนที่เหลืออีกมากมายก็เก็บขนไว้ที่บ้านแม่ยาย แต่ในที่สุดแล้วก็ไม่ได้อพยพไปไหน เพราะตกลงกันเห็นว่าอยู่กับบ้านจะปลอดภัยดีกว่า

ในคืนวันแรกนี้ ข้าพเจ้าเกรงภัยทางอากาศจากฝ่ายอังกฤษจึงได้พากันนอนอยู่ที่ชั้นล่างของเรือน เพื่อจะได้สะดวกหากจะต้องลงไปหลบในหลุมหลบภัยที่ได้ขุดเตรียมไว้ และในคืนรุ่งขึ้นเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ดำเนินไปพอทำให้คลายวิตกลงบ้าง จึงกลับขึ้นไปนอนชั้นบนตามเดิม

คืนวันที่ ๑๐ ธันวา เวลา ๒๐.๒๕ น. มีคนมาตบประตูดังอยู่ราว ๓ นาที และในคืนวันที่ ๑๑ ธันวา เวลาเดียวกัน ก็มีคนมาตบประตูเรียกอีก เหตุการณ์ใน ๒ คืนนี้ทำให้เราในบ้านตื่นเต้นกันมาก ต้องดับไฟหมดและเตรียมอาวุธปืนและดาบพร้อมมือกัน คอยเวลาชี้ขาดของเหตุการณ์ การชี้ขาดตัดสินใจในเรื่องเป็นตายกันเช่นนี้รู้สึกว่าหนักใจมาก ชั้นต้นเราต้องรอคอยจนกว่าประตูจะพังทลายเข้ามา ถ้าเป็นเหตุทุจริตก็ต้องใช้อาวุธที่มีอยู่ต่อสู้ป้องกันตัวกันเท่านั้น เพราะไม่มีทางใดจะดีกว่านี้อีก แต่แล้วก็สงบเงียบไปอีก

รุ่งขึ้นผู้ที่ตบประตูจึงเข้ามาหาบอกให้รู้ว่าเขาเองเป็นผู้ตบประตูมาแล้วสองคืน คือทหารญี่ปุ่นที่เคยมาในบ้านเรานั้นเอง เป็นนายสิบเสนารักษ์ (...คุณลุงประเวศ คณานุรักษ์ บุตรชายนายอนันต์ได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า -- "นายทหารญี่ปุ่นกลุ่มนี้ได้ขอเข้ามาใช้สถานที่เพื่อรับฟังวิทยุจากแหล่งอื่น เพื่อดูว่าตรงกับข่าวที่ทางกองทัพญี่ปุ่นประกาศไว้หรือไม่ทุกคืน และยังได้ปิดตราสัญลักษณ์ทางทหารของญี่ปุ่นไว้ที่หน้าบ้านอีกด้วย ซึ่งทหารญี่ปุ่นทุกนายเมื่อเดินผ่านหน้าบ้าน ต้องหยุดทำความเคารพทุกครั้ง"...)

และในคืนเดียวกันนั้น (วันที่ ๑๑ ธันวา ๘๔) ก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่เริ่มยิงที่นอกทะเล ๑๒ นัด ดังเสียงอย่างกับฟ้าลั่น บ้านเรือนสั่นสะเทือนไหว เป็นที่น่าหวาดเกรงกันมาก รุ่งเช้าจึงทราบว่าเรือรบญี่ปุ่นยิงเรือดำน้ำอังกฤษที่โผล่เข้ามา

นับตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคมวันแรก ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมประชุมปรึกษาหารือกับท่านข้าหลวงที่จวนทุกวันจนถึงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ข้าพเจ้าเริ่มเหน็ดเหนื่อยมากตลอดวัน เพราะต้องคอยวิ่งเต้นหาคนงานและช่วยเหลือให้ความคิดเห็นเสนอท่านข้าหลวง ทั้งในแง่ขอกำลังเพื่อรักษาความสงบจากกองทหาร และคิดหาทางปราบปรามผู้ทุจริตคิดคดต่อชาติไทย ข้าพเจ้าได้เสนอให้ท่านสั่งยิงผู้ทุจริต และรีบจัดการสะสางหาตัวผู้ทุจริตมาลงโทษ ท่านข้าหลวงได้ให้ความไว้วางใจข้าพเจ้าในการเสนอความคิดเห็นจนข้าพเจ้ารู้สึกปิติและเป็นเกียรติยิ่ง

ภายในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งกลางวันกลางคืนก็คอยรู้สึกวิตกกังวลถึงเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ทุกระยะ

จากที่ข้าพเจ้าตามสังเกตดู ทหารไทย ร.พัน ๔๒ บ่อทอง มีความสนิทสนมรื่นเริงกับทหารญี่ปุ่นเป็นอย่างดีมาก แต่ติดต่อคุยกันเป็นภาษาใบ้ ทำให้ผู้ดูและผู้คุยรู้สึกสนุกและขบขันมาก ถึงพวกพ่อค้าราษฎรก็เช่นเดียวกัน

ทหารญี่ปุ่นนั้นมีพวกกิเลสหยาบปะปนอยู่บ้าง แต่ที่สร้างปัญหาให้กับราษฎรเราส่วนมากเป็นพวกทหารที่ถูกเกณฑ์มาจากเมืองขึ้นของญี่ปุ่น เช่น เกาหลีและไต้หวัน ถึงกระนั้นก็ดีเมื่อทางการชั้นนายเขาจับได้ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ถึงกับยิงเป้าไปแล้วก็มีไม่น้อย วินัยของเขาน่าชมมาก

ตาทุ้ย , Ta_tui_kohok@hotmail.com ตอบเมื่อ เวลา 12:12:04  วันอังคารที่ 23 ม.ค.50


ที่มา : www.navy.mi.th
อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติมได้ ที่..... ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นบุกปัตตานี : จากบันทึกของ นายอนันต์ คณานุรักษ์
June 30, 2008