หลวงพิธานอำนวยกิจ(จันฮกซุ่น) ประวัติศาสตร์การเติบโตของเมืองหาดใหญ่นั้น ไม่มีใครปฏิเสธว่ากลุ่มหลักที่ช่วยกันสร้างก็คือภาคเอกชน นับตั้งแต่คนรุ่นแรกๆ จนถึงรุ่นที่มีทายาทขยายเครือข่ายธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน แน่นอนในจำนวนนี้มีกลุ่มพิธานพาณิชย์ อยู่ด้วยกลุ่มหนึ่ง ทำให้น่าสนใจว่า กลุ่มธุรกิจนี้เป็นใครมาจากไหน โดยเฉพาะผู้ซึ่งสร้างพิธานพาณิชย์ขึ้นมา ซึ่งก็คือ หลวงพิธานอำนวยกิจ หลวงพิธานอำนวยกิจ เป็นคหบดีผู้สร้างฐานะขึ้นมาด้วยความวิริยะอุตสาหะ มีกิจการค้าหลายอย่างเป็นแบบอย่างของความสำเร็จของนักการค้าได้เป็นอย่างดี ต้นตระกูลของหลวงพิธานพาณิชย์ เดิมอยู่ที่อำเภอไฮเต้ง มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน แล้วเดินทางอพยพมาทางภาคใต้เพื่อสร้างหลักฐานในประเทศไทย ผู้ที่มาคนแรกได้แก่ปู่ทวดของหลวงพิธานฯ ชื่อ อิน ต่อมาปู่ทานชื่อเล่ง และบิดาชื่อ กวย (หรือจันกิมกวย) ได้ติดตามมาโดยมาทำการค้าที่ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี หลวงพิธานฯหรือเถ้าแก่จันฮกซุ่น เกิดที่ตำบลตะลุบันเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2440 ตอนวัยเยาว์ได้รับการศึกษาขั้นต้นจากโรงเรียนประชาบาล อีกประการหนึ่งท่านไม่ได้ละเลยภาษาบรรพบุรุษ ด้วยเหตุนี้บิดาจึงเชิญอาจารย์มาสอนภาษาจีนและลัทธิขงจื้อให้กับท่านเป็นเวลานานปี จากนั้นท่านก็ร่วมมือค้าขายกับเพื่อนๆ จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเขียน การคำนวณ และประเพณีจีนกับเพื่อนร่วมงาน เมื่อปี พ.ศ.2457 หลวงพิธานฯอายุได้ 18 ปี ได้ตัดสินใจแยกไปเสี่ยงโชคแต่ผู้เดียว โดยลงทุนเปิดร้านจันซุ่นเซ่ง ที่เมืองนราธิวาสเพื่อจำหน่ายน้ำมันก๊าดตรามงกุฎ อันเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทน้ำมันเชลล์ซึ่งบริษัทตั้งอยู่ที่เกาะปีนัง ขณะเมื่อหลวงพิธานฯอายุได้ 19 ปี บิดาของท่านได้ถึงแก่กรรม การค้าที่ร้านก็ตกต่ำลงทันที ท่านเองแม้อายุยังน้อยแต่พยายามประคับประคองฐานะเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวคือนอกจากได้อุปการะเลี้ยงดูมารดาด้วยความกตัญญู ขณะเดียวกันก็ต้องเลี้ยงน้องชายและน้องสาวด้วย เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี มารดาท่านป่วยหนัก หลวงพิธานฯจึงได้นำมารดาไปรักษา ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยไปพักอาศัยอยู่กับอาสาวท่านมีความรักอาเสมือนมารดา จากนั้นไม่นานมารดาหลวงพิธานฯได้ถึงแก่กรรมที่สิงคโปร์ ท่านได้นำศพกลับมาทำพิธีฝัง ณ ตำบลตะลุบัน และปฏิบัติภารกิจต่ออาเสมือนผู้บังเกิดเกล้า ทั้งการเงิน การอยู่เป็นเวลานานถึง 30 ปี หลวงพิธานฯได้บริหารกิจการค้าขาย โดยบรรจุบุคคลเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่ที่เหมาะสมทำให้กิจการการค้าค้ารุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ ขั้นต้นได้ตั้งร้านจันซุ่นฮวด ที่ตำบลตะลุบัน และตั้งร้าน จันซุ่นเซ่ง ที่นราธิวาส ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เอเชียติก เปโตรเลียม จำกัด โดยได้รับมอบหมายให้เป็นเอเยนต์จึงได้ตังร้านจันเอ็กเซ่ง ที่ปัตตานี กิจการการค้าได้ขยายออกไปตามลำดับ เป็นผลให้ท่านต้องรับภารกิจอย่างหนัก หลวงพิธานฯจึงมีจดหมายติดต่อไปยังประเทศจีน ชักชวนนายฮักเลี่ยม(แซ่โหง่ว) โกวิทยา มาช่วยกิจการ เพราะต่างเป็นลูกพี่ลูกน้อง ควรจะได้พึ่งพาอาศัยกันและกัน จากความขยันอดทนจึงทำให้พื้นฐานกิจการนับวันมั่นคงยิ่งขึ้น ต่อมาได้รับความเชื่อถือจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงในทวีปยุโรปและอเมริกา เช่น บริษัท ยาสูบอังกฤษและอเมริกา บริษัท เนสเล่ บริษัทขายรถเชฟโรเล็ต บริษัทขายน้ำอัดลม บริษัท เฟรเซอร์แอนด์นีฟ จำกัด บริษัท สยามซีเมนต์ จำกัด บริษัทยางรถยนต์กู๊ดเยียร์ เป็นต้น บริษัทต่างๆ ดังกล่าวนี้ได้ตั้งให้ท่านเป็นเอเยนต์ ขณะเดียวกันท่านได้หาที่ดินที่เหมาะสมเพื่อปลูกยางพารา พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติให้เพิ่มพูนผลิตผลและรับสินค้าในท้องถิ่นไปจำหน่ายต่างประเทศด้วย เพื่อขยายกิจการค้าขายให้กว้างขวางออกไปอีก หลวงพิธานฯได้เปิดร้านจันเต็กเซ่ง ที่สุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2473 ในปีนั้นบริษัท บริติชอเมริกันโตแม็กโก จำกัด(บี.เอ.ที.) ให้ความไว้วางใจแต่งตั้งหลวงพิธานฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์บุหรี่ในเมืองปัตตานีและนราธิวาส ต่อมาก็ได้รับการแต่งตังเป็นผู้แทนจำหน่ายบุหรี่ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลังในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กิจการร้านค้าต่างๆ ที่หลวงพิธานฯเปิดขึ้นนั้นได้เจริญรุ่งเรืองและขยายตลาดออกไปเรื่อยๆ หลวงพิธานฯยังสละเวลา ทรัพย์ กำลังกาย และกำลังใจ ทำบุญกุศล บริจาคเงินสร้างวัดวาอาราม โรงเรียนและโรงพยาบาล เพื่อสาธารณประโยชน์อันจะทำให้ท้องถิ่นมีความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้เองในปี พ.ศ.2474 จึงได้พระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จฯพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงพิธานอำนวยกิจ ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 35 ปี แต่หลวงพิธานฯก็ไม่ได้หยุดธุรกิจเพียงแค่นั้น ในปี พ.ศ.2479 หลวงพิธานฯมีความเห็นว่ากิจการขายน้ำมันเบนซินและผลิตภัณฑ์น้ำมันเกี่ยวโยงกับรถยนต์บรรทุก และรถยนต์โดยสาร มีแนวโน้มที่ดี จึงได้เจรจาขอเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถบรรทุกยี่ห้อเชฟโรเล็ต จากบริษัท เยนเนอรัลมอเตอร์ จำกัด แห่งสหรัฐอเมริกา จนสำเร็จในปีนั้นเอง และในปีต่อมาหลวงพิธานฯได้ทุ่มเทผลกำไรจากการค้าขายด้วยการเปิดร้านจันเอ็กเซ่ง ขึ้นอีกแห่งที่จังหวัดยะลา โรงเรียนสอนภาษาจีนในปัตตานีมีมาตั้งแต่ 70 ปีมาแล้ว ต่อมามีอุปสรรคเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ต้องหยุดกิจการถึง 2 ครั้ง ครั้นถึงปี พ.ศ.2472 ชาวจีนโพ้นทะเลในปัตตานีจึงได้ปรึกษาหารือที่จะตั้งโรงเรียนจีนขึ้นมาใหม่และแต่งตั้งหลวงพิธานฯ เป็นกรรมการเหรัญญิกดำเนินการ หลายสิบปีที่ผ่านมาท่านก็ไม่เคยทอดทิ้งหน้าที่นี้ นอกจากเป็นกรรมการโรงเรียนสอนภาษาจีนดังกล่าวแล้วยังเป็นกรรมการเหรัญญิกสมาคมชาวจีนจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสด้วย ท่านไม่เคยคำนึงว่าจะทำเพื่อชื่อเสียงหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างทำด้วยความศรัทธา งานกุศลและสาธารณประโยชน์อย่างอื่นก็เช่นกันท่านก็พยายามช่วยเหลือ ไม่มีครั้งไหนที่ท่านจะปฏิเสธร่วมมือกับกิจการเพื่อส่วนรวม เมื่อปี พ.ศ.2480 หลวงพิธานฯได้นำภรรยาและบุตรเดินทางไประเทศจีนโดยผ่านปีนัง สิงคโปร์ และโดยสารเรือไปทางฟิลิปปินส์ ฮ่องกง แล้วไปขึ้นฝั่งที่เซี่ยงไฮ้ ท่านได้ดูกิจการค้าทางอุตสาหกรรมที่เมืองเซี่ยงไฮ้แล้วจึงเดินทางไปที่เมืองนานกิง นอกจากได้ชมภูมิประเทศแล้วท่านยังไปคารวะสุสานดร.ซุนยัดเซ็น พร้อมกับดูการปกครองของจีนขณะนั้นด้วยต่อจากนั้นได้ข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง และโดยสารรถไฟผ่านมณฑลฮันงุย ชานตุง ไปจนถึงปักกิ่งและเทียนสิน เพื่อชมโบราณวัตถุและโบราณสถานต่างๆ ตอนเดินทางกลับผ่านเมืองชิงต่าวและเชอะเจียง ไปชมทัศนียภาพและทะเลสาบซีหู และชมคลื่นมหัศจรรย์แห่งเมืองจีน ณ เมืองไฮนิง จากนั้นได้เดินทางลงมาทางใต้แวะชมเมืองฮกเกี้ยน กวางตุ้ง มาเก๊า และเวียดนาม ท่านและครอบครัวมีความประทับใจต่อความอุดมสมบูรณ์ของเอเชียอาคเนย์และวัฒนธรรมของประเทศจีนเป็นอย่างมาก จึงเพิ่มความเคารพศรัทธาต่อวัฒนธรรมแห่งมาตุภูมิเป็นอย่างยิ่ง หลังจากการเดินทางคราวนั้น เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยอีกครั้ง หลวงพิธานฯได้ปรับรูปแบบธุรกิจตัวเองขนานใหญ่ ซึ่งได้กลายเป็นที่มาแห่งความเข้มแข็งในปัจจุบัน การปรับตัวที่ว่านั้นก็คือ เมื่อ หลวงพิธานฯกลับจากประเทศจีนในปี พ.ศ.2482 หลวงพิธานฯมีความเห็นว่าร้านค้าที่เปิดขึ้นไว้หลายแห่งนั้นยุ่งยากในการบริหารและวางแผนจึงได้ตัดสินใจรวบรวมกิจการเข้าเป็นรูปบริษัท โดยจดทะเบียนเป็นบริษัทพิธานพาณิชย์ จำกัด เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2482 และแต่งตั้งผู้จัดการสาขาต่างๆ ขึ้น ในปีเดียวกันนั้นเอง หลวงพิธานฯ มองเห็นการณ์ไกลว่ายางพาราเป็นสินค้าสำคัญของประเทศไทย จึงทุ่มเทกำลังสร้างสวนยาง 1,800 ไร่ ที่อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และที่อื่นๆ เช่น อำเภอตันหยงมัส อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ประชาชนได้อพยพไปอยู่ในชนบทเพื่อหนีภัยสงคราม ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเคยเป็นเมืองคึกคักกลับเงียบเหงาลง บรรดาพ่อค้าพากันละทิ้งกิจการค้าขาย แต่หลวงพิธานฯเล็งเห็นว่าอำเภอหาดใหญ่จะเป็นศูนย์การค้าภาคใต้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน ชุมทางรถไฟ รถยนต์ ท่านจึงได้ตัดสินใจซื้อที่ดินสร้างอาคารร้านค้าเพื่อเตรียมขยายธุรกิจต่อไป ปี พ.ศ.2488 หลวงพิธานฯได้เปิดสาขาการค้าขึ้นที่หาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งที่บริษัทจะขยายกิจการค้าไปทางภาคใต้ตอนกลางอันจะนำไปสู่ความรุ่งโรจน์ทางธุรกิจในอนาคต นอกจากนี้ท่านยังได้เปิดสาขาที่เกาะปีนังด้วย เป็นผลให้การค้าระหว่างบริษัทของท่านในประเทศไทยกับมาเลเซียประสานกันด้วยดีและมีความก้าวหน้าตามลำดับ เมื่อหลวงพิธานฯ อายุครบ 50 ปี ปรากฎว่าขณะนั้นเศรษฐกิจภาคใต้มีความเจริญก้าวหน้า ยางพารา และดีบุก มีราคาสูงกว่าเดิมประชาชนมีรายได้ดีขึ้น กิจการการค้ารถยนต์ของบริษัทเจริญตามไปด้วย บริษัท เยนเนอรัลมอเตอร์ จำกัด แห่งสหรัฐอเมริกาให้ความไว้วางใจ แต่งตั้งบริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์เชฟโรเล็ตทั่วภาคใต้ หลวงพิธานฯได้ดำเนินกิจการอย่างสม่ำเสมอ แต่ท่านมีโรคประจำตัวคือ โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง จึงจำเป็นต้องหยุดพักการทำงานเป็นครั้งคราว ในปี พ.ศ.2476 โรคเก่ากำเริบจนเกือบเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว แต่โชคดีที่แพทย์ช่วยเหลือไว้ทัน ท่านต้องรักษาตัวต่อไปเป็นระยะเวลานานถึง 1 ปี ร่างกายจึงจะสู่สภาพปกติ และได้ดำเนินกิจการค้าเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2497และนี่คือหนึ่งในผู้สร้างเมืองหาดใหญ่ ให้มีสภาพความเจริญดังที่เห็นในปัจจุบัน!! |
|
บริษัท พีรพัฒน์ เคมี อุตสาหกรรม จำกัด
![]() ![]() |
![]() |
![]() |
![]() |