COMPLAIN OR OPINION
เมื่อเลือกแล้วต้องเดินต่อไปของ"ยุวดี" ::
จากคอลัมน์นิเทศศาสตร์นอกตำรา จุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เดือนพฤศจิกายน 2544

เมื่อเลือกแล้วต้องเดินต่อไปของ"ยุวดี"(1)

ถ้าจะให้คำนิยามบริษัท มีเดียออฟมีเดียส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีโฆสิต สุวินิจจิต และยุวดี บุญครอง สองสามีภรรยาผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ว่าเป็นบริษัท "แมวเก้าชีวิต" คงไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะบริษัทนี้ ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง ถึงขนาดกวาดที่นั่งรายการโทรทัศน์ต่างๆ ในช่อง 5 ถึง 10 กว่ารายการ ช่อง 3 ถึง 4-5 รายการ และช่อง 9 กว่า 6-7 รายการ กระทั่งมีผู้ขนานนามให้ "ยุวดี บุญครอง" เป็นเจ้าแม่ช่อง 5? เช่นเดียวกัน เมื่อถึงยุควิกฤติ ครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เอเยนซีหลายรายต่างถอนโฆษณากันอุตลุด เนื่องเพราะรายการต่างๆ ที่มีเดียถือครองอยู่นั้น ต่างอยู่ในเครือข่ายของทหาร และทหารทำร้ายประชาชน ใครเล่าจะลงโฆษณาให้! เหตุนี้เอง จึงทำให้รายได้ที่มาจากการขายโฆษณาส่วนใหญ่พลอยหดหายไปตามๆกัน ทว่า "ยุวดี" กลับไม่ท้อถอย เฝ้าเดินหน้า เพราะเธอถือคติที่ว่าเมื่อเลือกทางเดินนี้แล้วต้องเดินต่อไป

ที่สุด มีเดียออฟมีเดียส์ ก็ค่อยๆ ทะยานขึ้นกลับมาอีกครั้ง? แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ในปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่มีเดียออฟมีเดียส์ ขยายงานอย่างเต็มกำลัง ประกอบกับบริษัทมีเงินกู้จากต่างประเทศ จึงทำให้สถานการณ์ของบริษัท ซึ่งขณะนั้น จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็น (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว จึงค่อนข้างสั่นคลอนพอสมควร แต่ "ยุวดี" กลับสงบนิ่ง แล้วค่อยๆ เรียนรู้บทเรียนธุรกิจบทใหม่ ซึ่งถึงตอนนี้เชื่อแน่ว่า เธอคงเข้าใจธุรกิจมากขึ้นแล้ว

มีกำไร ย่อมมีขาดทุน มีความสำเร็จ ย่อมมีความ ล้มเหลวซ่อนอยู่ และมีผิดหวัง ย่อมมีสมหวัง?

จึงไม่แปลก ที่คอลัมน์นิเทศศาสตร์นอกตำรา ถึงได้เลือก บริษัท มีเดียออฟมีเดียส์ จำกัด (มหาชน) ขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา

ทั้งนั้น เพราะช่วงผ่านมาถือได้ว่าบริษัทแห่งนี้ให้สาระ และบันเทิงแก่ประชาชนอย่างครบครัน ที่สำคัญ "ยุวดี บุญครอง" หาได้จบคณะนิเทศศาสตร์จากตักศิลาใดๆ ไม่ หากเธอเรียนรู้นิเทศศาสตร์จากนอกตำรา ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เธอเลือกแล้ว เมื่อครั้งลาออกจากข้าราชการครู

"อาจเป็นเพราะครอบครัวของดิฉันเป็นข้าราชการครู มาก่อน จึงทำให้ต้องเรียนครูด้วย เริ่มแรกดิฉันเรียนปกศ.ต้นที่วิทยาลัยครูจอมบึง จ.ราชบุรี จากนั้นจึงมาเรียนต่อปกศ.สูงที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จ และจบปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ ที่มศว ประสานมิตร" "ระหว่างที่เรียนอยู่นั้น ก็ทำงานบรรณารักษ์ไปด้วย จึงทำให้รู้ว่ากว่าเงินจะได้มาแต่ละบาทมันเหนื่อยยากเพียงใด เหตุนี้เอง ดิฉันจึงตอบแทนบุญคุณพ่อ ด้วยการไปทำงานเป็นครูอยู่โรงเรียนอำนวยวิทย์ จ.สมุทรปราการอยู่ระยะหนึ่ง เพราะพ่ออยากให้ดิฉันเป็นครู"

"แต่พอเป็นจริงๆ กลับได้คำตอบว่า มันไม่ใช่ตัวเราเลย เรารู้สึกว่าอาชีพครู เป็นอาชีพที่นิ่งเกินไป ตอนนั้นรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ ขณะที่ตัวเราเอง เราอยากพบปะผู้คน อยากคุยกับผู้คน เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะเป็นอย่างที่ฝันได้คือต้องลาออก" เมื่อลาออกแล้ว "ยุวดี" ลงมือสำรวจตัวเองอย่างจริงจัง จนพบคำตอบว่าสิ่งที่เราคิดไม่น่าจะผิด แต่จะทำอย่างไรเล่า ถึงจะเดินตามความฝันได้ ที่สุดจึงพบคำตอบว่าคงต้องไปเป็นเซลล์ขายโฆษณา !

"จริงๆ แล้วเซลล์มีอยู่หลายประเภท แต่ที่เลือกเซลล์ขายโฆษณา เพราะเชื่อมั่นว่า ตรงนี้น่าจะทำให้เราเรียนรู้ธุรกิจไปในตัว เพราะตอนนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจเลย มีแต่ความชอบ เป็นโชคดีด้วย ที่มาเป็นเซลล์ขายโฆษณาให้กับหนังสืออินเวสเตอร์ ซึ่งเป็นหนังสือของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย" "ซึ่งไม่เพียงจะมีโอกาสเจอกับเจ้าของธุรกิจโดยตรง เพราะสมัยนั้นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ในการลงโฆษณาไม่ใช่ฝ่ายการตลาดเหมือนทุกวันนี้ หากเป็นเจ้าของธุรกิจโดยตรง ซึ่งพอเราไปขาย ก็เหมือนกับเราได้รู้จักเขาไปด้วย" "เมื่อรู้จักแล้ว เราก็ได้ฟังถึงวิธีการทำงานของเขา วิธีคิดของเขา รวมไปถึงประสบการณ์ผ่านมา ของเขาว่าเขามาถึง ณ วันนี้ได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อดิฉันในเวลาต่อมา เหมือนกับคนค่อยๆ บ่มเพาะประสบการณ์เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ" กระทั่งวันหนึ่ง "ยุวดี" จึงมีโอกาสไปเจอกับ "บุญเก็บ โอสถจันทร์" ซึ่งทำงานอยู่ที่หนังสือพิมพ์เดลิมิเร่อร์ และคนๆ นี้นี่เอง ที่ทำให้เธอมีโอกาสรู้จักกับนักจัดรายการโทรทัศน์ชื่อดังทางช่อง 5 อาทิ กฤษดา นาคะเสถียร,บุญชาย ศิริโภคทรัพย์ และวิเชียร อัศวฤทธิกุล เมื่อรู้จักแล้ว เธอก็ไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ประกอบกับเธอมีอัธยาศัยไมตรีเป็นเลิศด้วย ทำไปทำมาเขาเหล่านั้นจึงให้เธอช่วยทำหน้าที่ประสานงานโฆษณากับลูกค้า

"ตอนนนั้นวงการโทรทัศน์บ้านเรายังไม่ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนอย่างตอนนี้ โทรทัศนก็ยังไม่แพร่หลาย และรายการโทรทัศน์ต่างๆ ก็ยังไม่ลงทุนอะไรมากมาย คู่แข่งก็น้อย ดิฉันเข้าไปเป็นผู้หญิงคนเดียว แต่อาศัยลูกขยัน สู้งานไม่ถอย" "ในที่สุด คุณบุญชาย,คุณวิเชียร ก็มอบหมายงานให้ดิฉันทำหน้าที่ประสาน งานโฆษณากับลูกค้า ซึ่งสมัยก่อนไม่ค่อยมี พอได้ทำตรงนี้ ดิฉันก็ได้เรียนรู้กร ะบวนการทำงานโทรทัศน์ไปในตัว ขณะเดียวกัน ก็ได้รับความรู้จากลูกค้าในเรื่องกา รลงโฆษณากับโทรทัศน์ด้วย"

ซึ่งใครจะเชื่อล่ะว่า ประสบการณ์จากการทำงานตรงนั้นนั่นเอง ที่ทำให้ "ยุวดี" เกิดสายตาพิเศษขึ้น จนวันหนึ่ง เธอได้แอบบอกตัวเองอย่างเงียบๆ ว่าเห็นทีความฝันในการเป็นเจ้าของธุรกิจคงใกล้มาถึงแล้ว ซึ่งก็เป็นจริง เพราะหลังจากเธอ บ่มเพาะประสบการณ์จนแก่กล้า เธอก็ได้อุบัติบริษัท มีเดียออฟมีเดียส์ จำกัด ขึ้นในปี 2527 แล้วจากนั้น เธอก็ใช้ประสบการณ์ทุกอย่างมาหลอมรวม จนทำให้เธอสามารถจับเงินล้านบาทแรกในชีวิต?

เมื่อเลือกแล้วต้องเดินต่อไปของ"ยุวดี"[2]

นับเป็นจังหวะที่ดี เพราะขณะนั้นผู้อำนวยสถานีช่อง 5 คือ "พล.ต.วิจิตร จุลภาค" กำลังมีแนวความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการ โดยเฉพาะรูปแบบรายการในภาคเช้า แต่เมื่อคุยกับผู้จัดรายการหลายราย กลับไม่มีใครเห็นด้วย เพราะเขาเหล่านั้นมองว่า ใครจะตื่นขึ้นมาดูรายการในภาคเช้า เพราะทุกคนต้องเร่งรีบกับชีวิต ไม่ว่าจะไปทำงาน ส่งลูกไปโรงเรียน หรือทำธุระอะไรต่างๆ ที่สำคัญ เอเยนซีหลายรายต่างมองไปในมุมเดียวกัน เพราะเชื่อมั่นคล้ายกันว่า โฆษณาที่ปรากฏออกไป ไม่น่าจะทำให้ผู้ชม หรือลูกค้าจำสินค้านั้นๆ ได้ อาจจะทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ !

เหตุนี้เอง จึงทำให้ "พล.ต.วิจิตร" เก็บงำความคิดนี้ชั่วคราว กระทั่งมีโอกาสพูดคุยกับ "ยุวดี บุญครอง" ความคิดนี้จึงเกิด ขึ้นเป็นรูปธรรม เพราะ "ยุวดี" เคยรีเสิร์ชเรื่องรูปแบบรายการมาก่อน ว่าผู้ชมอยากชมรายการอะไร ? รายการแบบไหน ? และช่วงเวลาไหนที่ผู้ชมอยากชมมากที่สุด ?

จนพบคำตอบว่า ผู้ชมหลายรายต้องการชมรายการวาไรตี้ ในลักษณะของการพูดคุยถึงบุคคลในข่าว และถ้าข่าวนั้นๆเกี่ยวเนื่องกับดารา นักแสดงด้วยแล้ว น่าจะทำให้ผู้ชมมีความสนใจมากขึ้น นอกจากนั้น คงเป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกาย ทั้งเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ รวมไปถึงการเสริมสวยความงามในรูปแบบต่างๆ

แต่กระนั้น จากข้อมูลที่รีเสิร์ช ก็ไม่ได้ระบุว่า รายการภาคเช้า เป็นช่วงเวลาที่ถูกเลือกมากเป็นอันดับหนึ่ง หากถูกเลือกเป็นอันดับรองๆ ลงไป กล่าวกันว่า สายตาพิเศษที่ "ยุวดี" มองเห็นเช่นนี้เอง จึงทำให้เธอกล้าตัดสิน ใจที่จะอุบัติรายการในภาคเช้าขึ้น เพราะเธอเชื่อว่ากลุ่มตัวอย่างที่ทำการรีเสิร์ช ขาดอยู่กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มแม่บ้าน และแม่บ้านทั่วประเทศไทยมีอยู่เป็นจำนวนมาก ?

ที่สำคัญ แม่บ้านเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค ทุกอย่างเข้าบ้าน และถ้าตอบสนองรายการโดยให้แม่บ้านรอบรู้ในเรื่องของบุคคลในข่าวนั้นๆ เรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกาย และวิธีรักษาความงามได้ เชื่อแน่ว่ารายการนี้ จะต้องไปได้แน่ๆ ที่สุดรายการบ้านเลขที่ 5 จึงเกิดขึ้น !

"ต้องยอมรับว่า ขณะนั้นไม่มีรายการภาคเช้าในลักษณะแบบนี้เลย และเราก็รู้อยู่เต็มอกว่า แม่บ้านคนไทยส่วนใหญ่เป็นแม่บ้านกันจริงๆ คือ ทำงานบ้านกันอย่างเดียว ไม่ค่อยมีโอกาสไปสังคมกับใคร ไม่ค่อยมีเวลารับรู้ข่าวสาร และไม่ค่อยได้ดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองเท่าไหร่" "เหตุนี้เอง จึงทำให้เราตัดสินใจทำรายการบ้านเลขที่ 5 ซึ่งไม่เพียงจะทำให้แม่ บ้านคนไทยส่วนใหญ่ ได้รับรู้สาระ และบันเทิงไปพร้อมๆ กัน เรายังเสริมจุดแข็งในเรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกาย การดูแลรักษาผิวพรรณ และความรู้ในด้านต่างๆ ไปพร้อมกันด้วย" "ตอนนั้น ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า บริษัทของเรามีเงินทุนอยู่ไม่มากเท่าไหร่นัก แต่เรามองเห็นว่าการทำรายการตรงนี้เป็นการทำเพื่ออนาคต ดิฉัน จึงบอกลูกน้องทุกคนว่า พี่มีเงินทั้งหมด 20 ล้านนะ ถ้าหมด 20 ล้านก็เลิกทันที เหมือนกับเป็นการแบไต๋ให้ทุกคนรู้ว่า เราจะต้องเอาจริงเอาจังกับการทำงานครั้งนี้" "เพราะฉะนั้น จะเห็นว่า แรกๆ ที่ทำทุกคนจะเหนื่อยมาก เพราะเป็นรายการสด ต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืด จันทร์-ศุกร์ ออกอากาศเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า เสาร์-อาทิตย์ ออกอากาศเจ็ดโมงถึงแปดโมง และทีมงานส่วนใหญ่จะเคยชินกับ การนอนดึกแล้วตื่นสาย แต่นี่ต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืด เพื่อมาทำงาน มันคนละเรื่องเลย

" แต่เมื่อผลตอบรับกลับมาดี พนักงานทุกคนก็หายเหนื่อย ยิ่งเฉพาะ "ยุวดี" ด้วยแล้ว เธอยอมรับว่าโจทย์ที่ "พล.ต.วิจิตร" ตั้งเอาไว้ แม้จะเป็นโจทย์ที่ยากในขณะนั้น แต่เมื่อเธอทำการรีเสิร์ช เธอก็รู้ทันทีว่าความคิดของ "พล.ต.วิจิตร" เป็นความคิดที่มองไปข้างหน้าเป็นอย่างมาก เพราะหาก "พล.ต.วิจิตร" ไม่จุดประกายความคิด รายการบ้านเลขที่ 5 คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ? จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ทำไมรายการบ้านเลขที่ 5 ถึงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และว่ากันว่า ความสำเร็จครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้ "ยุวดี" ภูมิใจเป็นอย่างมาก หากยังทำให้รายการบ้านเลขที่ 5 เป็นที่กล่าวขวัญสำหรับแม่บ้านทั่วประเทศด้วย "มันเหมือนเป็นความภูมิใจ เพราะสิ่งที่เราคิด เราทำ มันโดนใจแม่บ้านทั้งหลาย เหมือนเราไปสนองความต้องการที่เขาขาดได้พอดี อีกอย่างความคิดที่เรามองว่าแม่บ้านเป็นคนตัดสินใจซื้อของเข้าบ้านเป็นความคิดที่ถูก เพราะโฆษณาหลายรายที่เข้ามา ล้วนเป็นโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเครื่องอุปโภค บริโภคทั้งสิ้น" "นอกจากนั้น คงเป็นเรื่องของการให้ความรู้ สาระและบันเทิง รวมถึงความรู้ในเรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกายด้วย เหมือนกับไปช่วยยกระดับแม่บ้านของไทยให้เป็นคนทันสมัยมากขึ้น ตรงนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ภูมิใจเป็นอย่างมาก" เช่นเดียวกัน

เมื่อความสำเร็จถูกสอบผ่านไปในระดับหนึ่ง "ยุวดี" ก็เริ่มคิดว่า จะทำอย่างไรถึงจะให้กลุ่มแม่บ้านเหล่านี้มีโอกาสเดินทางไปในที่ต่างๆ บ้าง เพราะทางหนึ่งเธอเป็นคนชอบเดินทาง ทางหนึ่งเธอเป็นคนชอบเทคแคร์คน และทางหนึ่งเธอเป็นคนชอบทำอาหาร ที่สุดเธอจึงทดลองนำเสนอ สารคดีท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อชักชวนแม่บ้านเหล่านั้นร่วมเดินทางไปกับเธอด้วย ปรากฏว่าแม่บ้านเหล่านั้นต่างแห่จองทัวร์กันตรึม จนทำให้เธอต้องตั้งบริษัททัวร์ขึ้นมาอีกบริษัทหนึ่งเพื่อรองรับ ในชื่อที่ว่าบริษัท ทราเวล วิชั่น จำกัด ซึ่งใครจะเชื่อล่ะว่า บริษัททัวร์ที่เกิดขึ้นจากฐานของแม่บ้านจากรายการบ้านเลขที่ 5 นี่เอง ที่ทำให้บริษัท มีเดียออฟมีเดียส์ จำกัด เติบโตอย่างยากที่จะหยุดยั้งเสียแล้ว แต่อะไรล่ะที่ทำให้บริษัทมีเดียฯ กลายเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ เพราะฉะนั้นในตอนหน้าลองมา ติดตามกันในตอนจบของเมื่อเลือกแล้วต้องเดินต่อไปของ "ยุวดี บุญครอง"





>> อ่านต่อในหน้าต่อไปค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.